ตอนที่ 199 ชิ่งอ๋องกลับเมืองหลวง
พอประตูกรงเปิดออก ซินโย่วก็กวักมือเรียกวานรในนั้น “รีบออกมาสิ”
เจ้าวานรเอียงศีรษะมองนาง ลองหยั่งเชิงมุดออกจากกรง
เดิมซินโย่วคิดว่าเจ้าวานรได้รับอิสระจะพุ่งทะยานเข้าป่า ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าวานรแสนรู้กลับปีนขึ้นไปบนกรง กระโดดไปมา
เสี่ยวเหลียนยิ้มขำกล่าวว่า “คุณหนู เจ้าวานรกำลังระบายอารมณ์”
ซินโย่วเองก็ขำ “อารมณ์ร้ายจริง”
จำได้ว่าสองผู้คุ้มกันจวนรองเจ้ากรมที่ติดตามนางมาที่ใต้หุบเขา ตอนจากกัน เจ้าวานรยังสาดน้ำใส่ผู้คุ้มกันเต็มใบหน้า
แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่อาจเอ่ยต่อหน้าพวกหัวหน้าหยาง
เจ้าวานรคล้ายกระโดดเหนื่อยแล้ว จึงกระโดดลงจากกรง แหงนหน้ามองซินโย่วส่งเสียงร้องเจี๊ยกๆ
ซินโย่วชี้ไปยังผืนป่ากว้างเป็นแนว “ไปหาบ้านใหม่เถอะ วันหน้าอย่าถูกคนจับไปอีก”
“เจี๊ยก…” เจ้าวานรวิ่งไปก็หันมามองตลอด
ซินโย่วยิ้มโบกมือ
เจ้าวานรถึงกับหยุดลง ยกมือโบกให้ซินโย่ว
เสี่ยวเหลียนตกใจ “คุณหนู เจ้าวานรฉลาดจริง!”
ซินโย่วไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก “เดิมเจ้าวานรก็ฉลาดมากอยู่แล้ว ว่ากันว่าวานรที่ฉลาดมากจะเหมือนกับเด็กอายุสิบขวบ”
ตอนเด็กได้ฟังเรื่อง ‘บันทึกการเดินทางแดนตะวันตก’ นางก็หลงใหลในราชาวานร รบเร้าคอยถามมารดาไม่หยุด
“มิน่าเล่า” ยามนี้เสี่ยวเหลียนไม่แปลกใจแล้ว
เด็กอายุสิบกว่าขวบย่อมจะทักทายได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
“คุณหนู เจ้าวานรกระโดดขึ้นต้นไม้ไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ซินโย่วมองตามเจ้าวานรไปตลอด เห็นเจ้าวานรกระโดดสองสามที สุดท้ายยังหันมามองอีกครั้ง ไม่นานก็หายลับไป
เส้นทางขากลับ เสี่ยวเหลียนรู้สึกเสียดาย “คุณหนู ความจริงพวกเราเลี้ยงเจ้าวานรไว้ได้ ลานด้านหน้าของพวกเรากว้างใหญ่เพียงนั้น”
“น่าจะปรับตัวไม่ได้”
เสี่ยวเหลียนยังตั้งสติไม่ทัน “คนในเรือนเรารู้สึกแปลกใหม่สักสองสามวันก็คงชอบแล้ว”
ซินโย่วยิ้มเอ่ยว่า “ข้าหมายถึงเจ้าวานรจะปรับตัวไม่ได้ มันไม่ใช่แมวหรือสุนัข สัตว์แสนรู้เกิดในป่าเขา อย่างไรก็ควรกลับไปใช้ชีวิตอิสระในป่าเขา”
นางเองต้องจากชีวิตอิสรเสรีมายังเมืองหลวงที่เป็นดังกรงขังเพื่อแก้แค้นก็ยังปรับตัวไม่ได้ นับประสาอันใดกับเจ้าวานร
“ก็จริง คุณหนูคิดการณ์ได้รอบคอบเจ้าค่ะ”
วันเทศกาลหยวนเซียว ซินโย่วกับเสี่ยวเหลียนไปส่งเจ้าวานรจึงไม่ได้ไปเดินงานเทศกาลโคมไฟ ความครึกครื้นของเทศกาลโคมไฟนี้กลับไม่ได้ลดลงเพราะขาดไปสองคน คนข้างพระวรกายฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พบว่า ปีนี้ฮ่องเต้ไม่ค่อยสนพระทัยชมโคมไฟมากนัก ลงจากอาคารสูงชมโคมกลับตำหนักบรรทมไปนานแล้ว
ไทเฮาทอดพระเนตรเห็นแล้วก็รู้สึกปวดพระทัย ถอนหายใจตรัสกับนางกำนัลข้างกายว่า “ฮ่องเต้คงทรงกังวลพระทัยเรื่องภัยติ้งเป่ยอยู่”
ความจริงฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทรงกังวลกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติติ้งเป่ย แต่ทรงกังวลเรื่องที่ให้เฮ่อชิงเซียวลงใต้มากกว่า ทางติ้งเป่ยได้ส่งรายงานมาเมื่อหลายวันก่อนแล้ว เขารู้ว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติไปถึงขั้นตอนใด ราบรื่นหรือไม่ แต่ทางใต้จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้ข่าวคราว
เฮ่อชิงเซียวจะหาซินซินพบหรือไม่
เทศกาลหยวนเซียวในปีรัชศกซิ่งหยวนที่ยี่สิบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงบรรทมไม่หลับ
วันที่สิบแปดเดือนหนึ่ง ร้านหนังสือชิงซงก็ติดประกาศ ‘บันทึกตะวันตก’ เล่มสองวางขายแล้ว
ในเวลานี้วันหยุดของบรรดาขุนนางก็จบลง นักเรียนก็กลับเข้าสำนักศึกษา บรรยากาศปีใหม่ก็ค่อยๆ จางลง การค้าของร้านค้าหลายร้านหลังผ่านความซบเซาช่วงหลังปีใหม่สั้นๆ แล้วก็กลับคืนสู่สภาพดังเดิม ร้านหนังสือชิงซงที่มีนิยายใหม่ขายก็ย่อมมีคนมาเข้าแถวยาวกันทันที ผู้ดูแลร้านหูรีบโยกย้ายคนมาช่วยงานก็พอรับมือได้อยู่
แต่พอข่าวแพร่ออกไปในวันที่สอง คนที่มาซื้อนิยายใหม่ท่านซงหลิงก็ยิ่งมากขึ้น
ผู้ดูแลร้านหูดีดลูกคิดมาหลายวัน สุดท้ายจัดระเบียบสมุดบัญชีชุดพิเศษมอบให้ซินโย่วดู “ท่านเจ้าของร้าน จวนเหล่านี้ล้วนซื้อร้อยเล่มขึ้นไป”
เหตุใดผู้ดูแลร้านหูรู้ว่าคนซื้อหนังสือเหล่านี้มาจากจวนใดกัน เขาบอกว่ารบกวนให้คนงานไปส่งที่จวน ก็ย่อมต้องแจ้งที่อยู่มาด้วย
เห็นชัดว่ามาเพราะเจ้าของร้าน วันหน้าต้องแสดงน้ำใจนี้คืนหรือไม่ ก็ให้เจ้าของร้านตัดสินใจเอง
ซินโย่วรับสมุดบัญชีมาผ่านตารอบหนึ่ง สมุดบัญชีถึงกับแบ่งออกเป็นสามหัวข้อ บรรดาเชื้อพระวงศ์ในวังหนึ่ง บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊หนึ่ง และคหบดีพ่อค้าอีกหนึ่ง
“ผู้ดูแลร้านจดบัญชีเก่งจริง” ซินโย่วอดชมไม่ได้
ผู้ดูแลร้านมองเจ้าของร้านงามราวบุปผาก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ล้วนเพราะมีประสบการณ์”
ยังเพราะได้แรงบันดาลใจจากเจ้าพวกหน้าเหม็นพวกนั้นที่คิดหมายปองเจ้าของร้าน!
ซินโย่วอ่านส่วนเชื้อพระวงศ์ก่อน มีจวนองค์หญิงใหญ่ไม่แปลก ยังเห็นจวนซิ่วอ๋อง และจวนอื่นๆ ที่ไม่เคยได้สมาคมกัน ได้แต่ถอนหายใจในใจ ผลจากงานเลี้ยงเหอหยวนไม่น้อยจริงๆ
พอถึงปลายเดือน การค้าร้านหนังสือก็เข้าสู่สภาวะนิ่งสงบ ซินโย่วได้รับเทียบเชิญจากจวนองค์หญิงใหญ่
“คิดเชิญเจ้ามาจวนนานแล้ว แต่ทำอย่างไรได้ปีใหม่การงานมากมาย คิดถึงว่าร้านหนังสือคุณหนูโค่ว ช่วงนี้ก็คงยุ่งเช่นกัน จึงได้ล่วงเลยมาถึงตอนนี้” องค์หญิงใหญ่เจาหยางยิ้มบาง ไม่ได้วางท่าองค์หญิงใหญ่ต่อหน้าซินโย่ว
หากจะกล่าวว่าเริ่มต้นเพราะคุณหนูโค่วช่วยบุตรสาวนางไว้ ทำให้นางปฏิบัติต่ออีกฝ่ายแตกต่าง แต่ต่อมาเพราะการกระทำต่างๆ ของคุณหนูโค่ว ทำให้นางนอกจากซาบซึ้งใจแล้วยังรู้สึกชื่นชม
ขอให้ซินโย่วอยู่กินข้าวต่อ ตอนดื่มน้ำชาบรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายลง องค์หญิงใหญ่เจาหยางลองเลียบเคียงถามว่า “ผ่านพ้นปีนี้ไป คุณหนูโค่วก็อายุสิบเจ็ดแล้วกระมัง ไม่ทราบว่ามีแผนการวันหน้าอย่างไรหรือไม่”
“ตั้งใจดำเนินกิจการร้านหนังสือและกิจการอื่นๆ ให้ดีเพคะ” ซินโย่วเอ่ยตอบออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไร
องค์หญิงใหญ่เจาหยางได้แต่ถามขึ้นตรงๆ ว่า “คุณหนูโค่วก็ได้วัยหารือเรื่องออกเรือนแล้ว จวนรองเจ้ากรมมีความคิดเช่นไรหรือไม่”
ซินโย่วตอบด้วยสีหน้านิ่งสงบว่า “หลังจากถวายพระพรปีใหม่ พวกท่านยายน่าจะไม่คิดอันใดอีกแล้ว”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่อาจกล่าวถึงความไม่ถูกต้องของมารดาตนต่อหน้าสาวน้อยตรงๆ ได้ ได้แต่เตือนอ้อมๆ ว่า “ไทเฮาทรงอายุมากแล้ว ความทรงจำก็ไม่ค่อยดี หากจะรอให้เสด็จแม่คิดหาคู่ครองให้เจ้า ก็ไม่รู้จะเป็นวันใด”
ซินโย่วมองออกว่าไทเฮาตรัสไปอย่างนั้น นางจึงได้สงบจิตใจนิ่งอยู่ได้เช่นนี้
แต่พอองค์หญิงใหญ่เจาหยางเอ่ยถึงเรื่องนี้…
“เรื่องการแต่งงาน หม่อมฉันไม่ร้อนใจเพคะ”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางทรงจ้องมองซินโย่ว เห็นสีหน้านางนิ่งเปิดเผย แววตากระจ่างใส ไม่ได้มีท่าทีเขินอายในแบบสาวน้อยทั่วไปยามเอ่ยถึงเรื่องนี้ เห็นชัดว่าคำพูดนี้มาจากใจแท้จริง
“ไม่ร้อนใจก็ดี” องค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่ได้เอ่ยมากความต่อ
นางเสียดายที่เด็กคนนี้ต้องมาถูกเสด็จแม่กระทำอย่างไร้เหตุผล แต่หากจะเข้าไปข้องเกี่ยวเพราะความสงสาร ก็คงสู้เสด็จแม่ไม่ได้อยู่ดี
เดิมองค์หญิงใหญ่เจาหยางคิดลองถามท่าทีคุณหนูโค่วต่อบุตรชายตน หากนางมีใจ นางก็จะทูลต่อไทเฮา แต่ในเมื่อคุณหนูโค่วไม่ร้อนใจ เช่นนั้นก็ไว้ก่อน อย่างไรรุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่ร้อนใจเช่นกัน
ในใจซินโย่วกระจ่างใจดี ไหนเลยจะไม่เข้าใจที่องค์หญิงใหญ่คิดเพื่อนาง แม้ไม่อาจรับไว้ได้ แต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่น
ทั้งสองคนเปลี่ยนเรื่องสนทนาคุยกันอีกพักหนึ่ง ซินโย่วก็เอ่ยอำลา
ก่อนออกจากจวน องค์หญิงใหญ่เจาหยางพลันเอ่ยว่า “ชิ่งอ๋องใกล้จะกลับมาแล้ว”
ซินโย่วอึ้งไปเล็กน้อย
“คุณหนูโค่วชื่อเสียงขจรไปไกล วันหน้าอาจจะเลี่ยงการสมาคมกับบรรดาเชื้อพระวงศ์ไม่ได้ แต่การสมาคมกับคนเหล่านี้ต้องระวังให้มากสักหน่อย”
“ขอบพระทัยที่ทรงเตือน หม่อมฉันจดจำได้แล้วเพคะ”
พอถึงเดือนสอง ชิ่งอ๋องก็กลับเมืองหลวง
ชิ่งอ๋องกลับเมืองหลวงมาครั้งนี้ถือว่าสร้างชื่อเสียงโด่งดัง ชาวเมืองหลวงต่างให้การต้อนรับ ท่ามกลางหมู่ธงโบกสะบัด มีร่มหมื่นราษฎร์ที่สะดุดตาเป็นพิเศษ
“นั่นคือร่มหมื่นราษฎร์กระมัง ชิ่งอ๋องทรงมีพระเมตตาต่อราษฎร ตรากตรำช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติมากมายเพียงนี้!” ราษฎรพากันชื่นชม