ตอนที่ 428 ภูตนับพันหมื่นล้วนอ่อนแอ
ตอนนี้รอบข้างไม่มีใคร จี้หยวนไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร ทักทายตามมารยาทเช่นกัน
“เทพแม่น้ำไป๋ไม่ต้องมากพิธี เป็นข้าคนแซ่จี้ที่ขัดขวางความสุขของท่านแล้ว”
ไป๋ฉีหันมองทางศาลเทพแม่น้ำ ยิ้มกล่าวว่า
“แค่เล่นสนุกเท่านั้น พาให้ใจฮึกเหิมสักหน่อย และทำให้เข้าใจความคิดของชาวบ้าน เข้าใจความคิดในใจพวกเขา”
ไม่พูดถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยจี้หยวนก็รู้สึกว่าไป๋ฉีในวันนี้แจ่มใสกว่าในอดีตไม่น้อย
“จริงสิ ท่านนี้คือหูอวิ๋นกระมัง ไม่ได้พบกันหลายแล้ว มรรควิถีก้าวหน้าว่องไว พรสวรรค์ไม่ธรรมดาเลย!”
ปีนั้นจิ้งจอกตัวนี้มาที่จังหวัดชุนฮุ่ยกับจี้หยวน อีกทั้งพบปะกับปลาชิงฮื้อและเต่าเฒ่าที่ริมแม่น้ำด้วย แน่นอนว่าไป๋ฉีรู้จักมัน
เทพแม่น้ำไป๋ผู้นี้กล่าวชมหูอวิ๋นจริงครึ่งลวงครึ่ง พร้อมกับที่ทำให้ผู้อวิ๋นรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง มันก็สงสัยนักว่าเทพแม่น้ำรู้จักตนเองได้อย่าง ทว่ามารยาทเป็นสิ่งที่ไม่ควรขาด มันยืดตัวตรง อุ้งเท้าหน้าสองข้างทำท่าทางเหมือนประสานมือคารวะ
“ข้าน้อยหูอวิ๋น คารวะใต้เท้าเทพแม่น้ำ!”
เห็นจิ้งจอกตัวนี้ทำความเคารพอย่าจริงจังเช่นนี้ ไป๋ฉีคิดดูแล้วก็ตอบกลับด้วยมารยาทเช่นกัน นับว่าเป็นการให้เกียรติหูอวิ๋นอย่างยิ่ง จากนั้นค่อยกลับไปสนอกสนใจจี้หยวนอีกครั้ง
“ท่านจี้อยากเที่ยวเล่นที่ศาลแห่งแรกของแม่น้ำวสันต์หรือไม่ ข้าจะนำทางและเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดเอง หลายปีมานี้มีบัณฑิตมาแต่งกลอนเขียนอักษรที่ศาลเทพนับไม่ถ้วน หลังจากนี้ช่างฝีมือและจิตรกรจะใช้พู่กันวาดทิวทัศน์ ทางเดินและกำแพงหลายแห่งในศาลเทพแม่น้ำล้วนกลายเป็นสมบัติล้ำค่า!”
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ไป๋ฉีไม่สนใจเรื่องเหล่านี้สักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อสัญญากับจี้หยวนแล้วว่าจะเป็นเทพแม่น้ำที่ดี เช่นนั้นไป๋ฉีจึงใส่ใจเผ่าวารีในแม่น้ำ คนและสัตว์ที่ใช้ชีวิตริมแม่น้ำทั้งสิ้น ต่อมายิ่งพบความล้ำค่าในศาลเทพแม่น้ำ
โคลงกลอนภาพวาดทิวทัศน์ที่มีอยู่ในศาลเทพแม่น้ำตลอดเวลามานี้ล้วนน่าหลงใหล
จี้หยวนกลับอยากเปิดหูเปิดตาสักหน่อยจริงๆ ทว่าหากดวงตาของเขาคู่นี้ไม่ได้เห็นสิ่งที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็เหนื่อยยิ่งนักที่จะมองเห็นชัดเจน
แม้ตอนนี้จะเชี่ยวชาญในบางด้านแล้วก็ตาม เช่นอ่านจดหมายหรืออ่านตำรา ก่อนหน้านี้จำเป็นต้องจับกระดาษฉลุลายหรือม้วนไม้ไผ่ถึงจะอ่านได้ราบรื่น หากเป็นตำราธรรมก็ต้องนำมาใกล้ดวงตามาก เหนื่อยทั้งกายและใจ
กระนั้นตอนนี้สัมผัสถึง ‘อารมณ์ตัวอักษร’ ได้โดยใช้ปลายนิ้วสัมผัสความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ
หากต้องการมองกำแพงศาลเทพแม่น้ำไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น คาดว่าในหลายๆ สถานการณ์ยังต้องเข้าใกล้ถึงมองเห็นภาพรวม โคลงกลอนยังพอว่า ถึงอย่างไรก็เป็นตัวอักษร มองเห็นภาพรวมแล้วก็มองออกว่าเป็นตัวอักษรอะไร ทำให้มองเห็นบทความทั้งหมดและความหมายของมัน แต่หากเป็นภาพวาดล่ะก็ เช่นนั้นเป็นการชมบุปผาท่ามกลางหมอกไม่เห็นความจริงแล้ว
ถึงอย่างไรไป๋ฉีก็เป็นหมากขาวตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับจี้หยวน เขาจึงชี้ดวงตาตนเองแล้วกล่าวตามตรง
“เทพแม่น้ำไป๋ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ว่าที่จริงตาสองข้างของข้าคนแซ่จี้มืดบอดไปกึ่งหนึ่ง”
หูอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นถึงนึกได้ว่าท่านจี้เป็นคนตาบอดจริงๆ แต่ทั่วไปแล้วการนั่งเดินนอนกิจวัตรประจำวันเหล่านี้ล้วนไม่มีตรงไหนไม่สะดวกทำ ทำให้คนอื่นมองข้ามเรื่องนี้ไปได้ง่ายนัก
ทว่าไป๋ฉีไม่ได้มองข้ามเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด อาจพูดได้ว่าแม้ก่อนหน้านี้ไม่ตระหนักถึง ทว่าจัดการปฏิกิริยาหลังจากนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เขายิ้มกว้างเมื่อสิ้นเสียงจี้หยวนแทบจะในทันที
“ท่านจี้ไม่จำเป็นต้องกังวล ตัวอักษรและภาพวาดที่ท่านเห็นเลือนรางเหล่านั้นย่อมไม่ได้มีค่าควรมองอะไร ทว่าตัวอักษรและภาพวาดจำนวนหนึ่งมีอายุเก่าแก่ กลับซ่อนท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของผู้ลงหมึกเอาไว้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ตัวอักษรและภาพวาดแบบนี้ท่านจี้ต้องมองเห็นชัดเจนแน่นอน!”
“โอ้? เช่นนั้นข้าต้องไปดูสักหน่อยแล้ว!”
“เชิญท่านจี้!”
ไป๋ฉีผายมือ พาจี้หยวนและหูอวิ๋นมุ่งหน้าไปยังศาลเทพแม่น้ำที่มีคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน
ครั้งนี้ไป๋ฉีพาจี้หยวนเข้าไป อาจคำนึงถึงความรู้สึกของจี้หยวนจึงใช้วิชาบังตา สองคนหนึ่งจิ้งจอกพลันถูกคนรอบข้างมองข้าม เดินตรงไปยังทางเดินทันที
ครั้งก่อนที่มาศาลเทพแม่น้ำเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นมรรควิถีของจี้หยวนต่ำต้อยอย่างแท้จริง อีกทั้งมีธุระต้องจัดการ เพียงเดินผ่านวิหารหลายหลังของศาลเทพแม่น้ำ มุ่งตรงสู่ตำหนักใหญ่เทพแม่น้ำ จุดธูปจนทำให้ตนเองตกใจกลัว เขารีบร้อนจากไป กอปรกับตาไม่ดีเป็นทุนเดิน จึงไม่ได้มองทางเดินด้านข้างสักเท่าไหร่โดยสิ้นเชิง
คราวนี้เทพแม่น้ำวสันต์นำทางด้วยตนเอง พาจี้หยวนและหูอวิ๋นเดินเลียบทางเดินของศาลเทพแม่น้ำอย่างช้าๆ จี้หยวนแทบเห็นข้อความเหล่านั้นในพริบตาเดียว
แค่มองครั้งเดียวก็เห็นว่าบนกำแพงทางเดินเต็มไปด้วยตัวอักษรยุบยับ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ทว่ามองดูท่ามกลางข้อความและภาพวาดที่เต็มแน่นเหล่านั้นแล้ว มีแสงเรืองรองที่คล้ายกับไม่มีส่องออกมาจากข้อความและภาพวาดจำนวนหนึ่ง ทำให้จี้หยวนยิ่งมองยิ่งเห็นชัดเจน ผ่านไปเนิ่นนานแล้วเหมือนเห็นเทพปรากฏ
สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ใช่ผลงานสุดยอดของคนเขียนกลอนและวาดภาพในปีนั้น กระนั้นมีทักษะทางด้านวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม ไม่อาจสนใจนานเกินไปได้ ด้วยบนโลกนี้มีจั่วขวงถูอยู่ไม่กี่คน
อย่างไรก็ตาม ศาลเทพแม่น้ำมีผู้ศรัทธาและนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบัณฑิตและกวีที่มาแสดงความเห็นหรือเขียนกำแพงทางเดิน สิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเกือบสองร้อยปีตั้งแต่ศาลแห่งนี้สร้างเสร็จ อีกทั้งดำเนินต่อมาเรื่อยๆ ทำให้ผลงานบนกำแพงทางเดินยิ่งมายิ่งศักดิ์สิทธิ์
ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนให้เห็นบนภาพวาดเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเวลาผ่านไป สีสันของมันยิ่งชัดเจนและเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นความงดงามจับตาที่มากยิ่งกว่าตอนภาพวาดเสร็จสิ้นใหม่ๆ
เมื่อเห็นจี้หยวนเดินอยู่บนทางเดิน จ้องมองภาพวาดและบทกวีอันวิจิตรงดงาม ไป๋ฉีก็พูดกับเขาด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย
“ท่านจี้ ศาลเทพแม่น้ำของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เลว สมกับที่เป็นศาลแห่งแรกของแม่น้ำวสันต์ บทกลอนข้อความเหล่านี้มีความหมายที่ดีด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว แต่ภาพวาดเหล่านี้กลับมีความหมายแฝงอยู่ บางทีอีกสิบหรือร้อยปีหลังจากนี้อาจกลายเป็นภูตบนภาพวาดกำแพง”
จี้หยวนพูดเช่นนี้ด้วยความสนอกสนใจ ฝ่ายหูอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นแล้วยิ่งมองภาพวาดกำแพงเหล่านี้อย่างประหลาดใจ ทีแรกมันเพียงรู้สึกว่าภาพวาดบางภาพงดงามเป็นพิเศษ แต่ไม่เคยคิดว่าหลังจากนี้ภาพวาดเหล่านี้จะเกิดปัญญาได้
“ท่านจี้ ภาพวาดกลายเป็นภูตได้ด้วยหรือ”
“พูดได้เพียงว่ามีความเป็นไปได้ ภูตบนโลกนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ล้วนมีวาสนา ตราบใดที่มีเงื่อนไขหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณได้”
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดไป ไป๋ฉีเห็นหูอวิ๋นยังคงฉงนจึงอธิบายแทน
“ท่านจี้พูดถูกต้อง ทว่าทีแรกภูตจำพวกนี้จะอ่อนแอมาก ได้รับการรบกวนจากโลกภายนอกไม่ได้ อาจต้องมีคนเอาใจใส่ปกป้องโดยตรง ไม่เช่นนั้นหากมีเด็กสักคนถือกิ่งไม้เกี่ยวพวกมันบนกำแพงโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นอาจคร่าชีวิตพวกมันได้เลยทีเดียว”
“เอ๋? น่าสงสารขนาดนี้เชียว!”
“ฮ่าๆ ที่น่าสงสารมากกว่านี้มีถมไป เพียงแต่เจ้าไม่รู้ สหายหูอวิ๋นทะนุถนอมโอกาสการฝึกปราณที่หาได้ยากไว้นะ”
คำพูดนี้ของไป๋ฉีเหมือนมีความนัย ดวงตาเสมองจี้หยวนเล็กน้อย ฝ่ายหูอวิ๋นจิตใจตั้งมั่น พยักหน้าให้ไป๋ฉีครั้งหนึ่ง จากนั้นมองภาพวาดบนกำแพงต่อ แต่ครั้งมันออกห่างเล็กน้อย ด้วยกลัวว่ากรงเล็บของตัวเองจะข่วนภาพวาดเข้า อีกทั้งมองนักท่องเที่ยวที่เดินไปมาอยู่รอบๆ กำแพงทางเดินด้วย ดูว่าในหมู่พวกเขามีใครมือบอนหรือไม่
ตวามจริงแล้วสถานการณ์นี้ทำให้หูอวิ่นกังวลมากทีเดียว มันไม่เพียงมองเห็นคนมือบอนลูบคลำตัวอักษรและภาพวาดบนกำแพง ถึงขนาดมองเห็นคู่รักลอบใช้หินสลักตัวอักษรในบางมุมด้วย ส่วนใหญ่น่าจะสลักไว้ว่า ‘รักกันชั่วนิรันดร์’ และ ‘จากนี้ไปจนนิรันดร์’
“ท่านจี้ เทพแม่น้ำไป๋ มีคนกำลัง…”
“ที่นี่แม้มีกฎห้ามสลักหรือเขียนตัวอักษร แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ครอบคลุมทั้งหมด ยังคงมีคนบางคนไม่รู้จักระเบียบ แต่คนทั่วไปไม่มีทางทำให้ผลงานชั้นยอดของคนอื่นแปดเปื้อน อีกอย่าง ความจริงแล้วนี่นับเป็นเคราะห์ของภาพวาด ทำได้เพียงให้ผู้ดูแลศาลเข้มงวดมากขึ้น สร้างบรรยากาศที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว”
พูดแล้วไป๋ฉีก็ชี้ไปยังที่ไกล
“เจ้าดูสิ”
หูอวิ๋นหันกายไปมอง เห็นบัณฑิตในเสื้อตัวยาวสีฟ้าเข้าไปห้ามคู่รักก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งชี้ภาพวาดบนกำแพงพร้อมพูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คู่รักคู่นั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่สบายใจ พยักหน้าขออภัยอย่างอดไม่ได้
“เทพแม่น้ำไป๋พูดได้ดีมาก แม้เป็นเคราะห์ก็ยังเป็นวาสนา โคจรวิชากีดกันนักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาย่อมปกป้องภาพวาดบนกำแพงได้ ทว่าตัดขาดพลังที่สะสมไว้ได้ง่ายเช่นกัน โชคดีและโชดร้ายล้วนสัมพันธ์กัน”
สองคนหนึ่งจิ้งจอกใช้เวลาครึ่งชั่วยามชมผลงานของศาลเทพแม่น้ำทั้งหมดอย่างละเอียด สำหรับโคลงกลอนบทความที่ยอดเยี่ยมและภาพวาดงดงามสุดยอดเหล่านั้น แม้แต่หูอวิ๋นล้วนลืมละสายตา
เมื่อหูหวิ๋นดึงสติกลับออกจากภาพวาดหญิงงามทั้งแปด มันพบว่าสีท้องฟ้าโดยรอบมืดลงโดยไม่รู้ตัว นักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาของศาลเทพแม่น้ำบางตาลงแล้ว ใกล้ถึงเวลาปิดศาลเทพแม่น้ำอย่างชัดเจน
“ท่านจี้ ข้าเตรียมเรือประดับโคมไว้แล้ว พวกเราไปที่ผิวแม่น้ำเถอะ เต่าเฒ่าอูฉงและชิงชิงรู้แล้วว่าท่านมาเยือน คอยท่าอยู่ที่แม่น้ำแล้วล่ะ”
“ไปเถอะ!”
ตอนจี้หยวนและไป๋ฉีเดินเล่นอยู่ที่ศาลเทพแม่น้ำ ไป่ฉีตระเตรียมทุกอย่างจนเรียบร้อย จี้หยวนรู้ดีอยู่แก่ใจ
สองคนข้างหน้าเดินเลียบกำแพงทางเดินไปทางท่าน้ำภายในศาลเทพแล้ว ส่วนหูอวิ๋นชะงักไปเล็กน้อยก่อนรีบตามไป ปากมันไม่ลืมที่จะถาม
“ชิงชิง? ปลาชิงฮื้อชื่อว่าหลัวอวี้ชิง เรียกเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ว่าฟังอย่างไรก็เหมือนคำเรียกสตรีเล่า”
“เจ้านี่ถามมากความ”
จี้หยวนเอ่ยยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ทว่าไป๋ฉีเงียบเชียบสร้างความสนใจเช่นเดียวกัน
เรือประดับโคมออกจากท่าเรือศาลทพแม่น้ำ ประตูหัวเรือและท้ายเรือแขวนโคมไฟสีเหลืองไว้ที่ชายคา เรือไม่ใหญ่มาก แต่มีข้าวของครบครัน ภายในเรือนมีโต๊ะ เก้าอี้ สุรา อาหาร ถึงขนาดมีเตียงนุ่มๆ ให้ได้นอนพักด้วย
คนพายเรือถือหางเสือสวมเสื้อกันฝนและกดหมวกไม้ไผ่ลงต่ำมาก เขาขยับไม้พายด้วยท่าทางที่ได้มาตรฐาน ไม่กล้ามองจี้หยวนและไป่ฉีมาก อย่างมากเหลือบมองหูอวิ๋นเป็นครั้งคราวเท่านั้น แน่นอนว่าคนพายเรือก็เป็นสัตว์น้ำจากแม่น้ำวสันต์เช่นกัน
เรือแหวกคลื่นไป เข้าสู่ใจกลางแม่น้ำอย่างช้าๆ ในแม่น้ำวสันต์แห่งนี้ ไม่ว่าใกล้ไกล ข้างหน้าหรือข้างหลัง ทุกทิศทางล้วนมีเรือประดับโคมหรือเรือประดับหอ เสียงเล่นดนตรีร้องเพลงดังมาเลือนราง เรือประดับโคมชองจี้หยวนและไป๋ฉีเป็นเรือที่ธรรมดาที่สุด ไม่มีใครชายตาแลมากกว่าหนึ่งครั้ง
จี้หยวนและไป๋ฉียืนอยู่ที่หัวเรือ ฝ่ายหูอวิ๋นนั่งยองอยู่ระหว่างสองคน
ครืน…ครืน…
ผิวน้ำที่ใจกลางแม่น้ำขยับไหวน้ำกระเด็น อาศัยแสงโคมสลัวจากหัวเรือ มองเห็นเงาดำขนาดใหญ่ที่ใต้น้ำแล้ว
หางตาหูอวิ๋นมองเห็นเงาสีเขียวว่ายมาข้างใต้น้ำ จึงร้องเรียกด้วยความตื่นเต้น
“ปลาชิงฮื้อ!”
หลังจากเรียกแล้ว สิ่งที่ว่ายน้ำอยู่ใต้เรือก็ค่อยๆ โผล่จากผิวน้ำ ปรากฏตัวที่หัวเรืออย่างเชื่องช้า เป็นเต่าเฒ่าที่เผยร่างให้เห็นครึ่งหนึ่งกับปลาชิงฮื้อที่พ่นฟองอากาศออกมา
“เต่าเฒ่าอูฉงคารวะท่านจี้ คารวะใต้เท้าเทพแม่น้ำ!”
“ปุดๆๆๆ…”
ปลาชิงฮื้อพูดไม่ได้ ทว่ารีบพ่นฟองอากาศหลายระลอกหลังเต่าเฒ่าพูดจบ นับว่าเป็นการทักทายแล้ว