บทที่ 384 ของดี
แค่รางวัลแรกก็ทำเอาไป๋เยี่ยยิ้มออกแล้ว
แหนบคู่นี้อเนกประสงค์เกินไปจริงๆ เรียกได้ว่ามันทั้งใช้ง่ายและใช้งานได้จริง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นรางวัลระดับสี่ดาว แต่มันก็เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้งานได้เกิดประโยชน์จริงๆ
เพราะว่าแหนบเป็นเครื่องมือธรรมดาที่ใครๆ ก็ผลิตได้ มันทำมาจากสแตนเลสที่หาได้ทั่วไป และใช้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์มากที่สุดด้วย แม้แต่โจวเม่าจากบริษัทจื้อเหิงก็ยังรับผิดชอบการผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแหนบ หรือคีมหนีบเส้นเลือด
เพราะฉะนั้น กุญแจสำคัญในการผลิตแหนบนี้คือแปลนออกแบบ
ไป๋เยี่ยคิดว่าตนควรจะปรึกษาเรื่องนี้กับเฉินเจิ้นปั่ง อย่างไรเสียเหล่าเฉินก็ดูจะเป็นคนที่พอคบค้าสมาคมได้มากที่สุดแล้ว
เพราะว่าเฉินเจิ้นปั่งเป็นคนดี ไป๋เยี่ยร่วมมือกับเขามานับหลายครั้งแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่เคยปล่อยให้ไป๋เยี่ยลำบากเลย ทั้งยังยื่นความช่วยเหลือมาให้ไป๋เยี่ยอย่างจริงใจทุกครั้งด้วย
ส่วนเรื่องการผลิตแหนบอเนกประสงค์ ไป๋เยี่ยคิดไว้สองวิธี วิธีแรกคืออธิบายให้เฉินเจิ้นปั่งเข้าใจว่าตนเป็นคนคิดค้นและสร้างแหนบชิ้นนี้ขึ้นมา และจะโอนสิทธิบัตรให้กับทางกองทัพ แน่นอนว่าฝั่งเฉินเจิ้นปั่งก็ต้องยอมเสียเงินเล็กน้อย
วิธีที่สองคือผลิตเองโดยร่วมมือกับกองทัพ และส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กองทัพ
ทั้งหมดทั้งมวลคือไป๋เยี่ยหวังว่าเฉินเจิ้นปั่งจะช่วยสนับสนุนเขาได้ กุญแจสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่ใครๆ ก็ผลิตได้คืออะไรล่ะ
นั่นคือผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณไงล่ะ!
ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทใหญ่หรือเล็กก็มีหน้าตาเหมือนกันหมด ต่างกันที่ราคา ซึ่งสิทธิบัตรก็คือสิ่งที่เข้ามามีบทบาท ประโยชน์ของมันย่อมมีมากกว่าที่ทุกคนจินตนาการไว้อย่างแน่นอน
จากสภาพแวดล้อมในประเทศจีน ก็จะมีคนจำพวกหนึ่งที่ถนัดเรื่องการปลอมแปลงและลอกเลียนแบบ ทักษะของคนพวกนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก มากเสียจนผลิตภัณฑ์ที่ได้ออกมาอาจจะมีคุณภาพเหนือของแท้ด้วยซ้ำ
นี่คือสิ่งที่ไป๋เยี่ยกังวลมากที่สุด
ทว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็เป็นที่แพร่หลายในหมู่ชาวโลกอยู่แล้ว ต่างจากแหนบอเนกประสงค์ของไป๋เยี่ยที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลฉุกเฉินโดยเฉพาะ
กองทัพ!
โรงพยาบาล!
สภากาชาด!
องค์การอนามัยโลก!
เป็นต้น…
หน่วยงานเหล่านั้นต่างก็มีเอกลักษณ์ต่างกันไป หากคุณแจกจ่ายผลิตภัณฑ์ไปให้สักหน่วยงาน ก็มีแนวโน้มว่านั่นจะเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคง ดังนั้นถ้าไป๋เยี่ยขายมันให้กับหนึ่งในหน่วยงานเหล่านั้นได้ เขาก็จะสร้างกำไรมหาศาลได้นั่นเอง
ไป๋เยี่ยคิดเรื่องนั้นแล้วก็ตัดสินใจเลือกหัวหน้าทีมกู้ภัยเสียก่อน ตอนที่ไปหาเฉินเจิ้นปั่งจะได้มีอะไรไปรายงานบ้าง
ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ไป๋เยี่ยก็เริ่มจับรางวัลครั้งที่สองต่อ
ทว่ารางวัลในครั้งนี้กลับเป็นรางวัลธรรมดาสำหรับไป๋เยี่ย ก็แค่เครื่องดื่มกระทิงแดงสิบกระป๋องที่มีสรรพคุณแค่ช่วยฟื้นฟูพลังงานเท่านั้น
หรือว่าดวงเราจะหมดแล้ว
ทว่ารางวัลชิ้นที่สามกลับธรรมดายิ่งกว่า มันแทบจะเหมือนกับรางวัลชิ้นที่แล้ว ต่างกันแค่ครั้งนี้เป็นเครื่องดื่มม่ายต้ง
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับเครื่องดื่มม่ายต้งหนึ่งลัง แจ้งเตือน: เครื่องดื่มนี้เป็นเครื่องดื่มชูกำลัง มีสรรพคุณช่วยฟื้นฟู…]
พอกันที!
ไป๋เยี่ยเคยลิ้มรสเครื่องดื่มพวกนั้นมาหมดแล้ว มันมีรสชาติอร่อย โดยเฉพาะม่ายต้ง เมื่อไป๋เยี่ยเห็นว่ารสชาติของเครื่องดื่มในลังเป็นรสส้มที่ตนชอบ ก็พอจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงไม่คาดหวังกับรางวัลชิ้นต่อไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ชีวิตคนเราก็มักจะไม่เดินตามบทที่วางไว้อยู่แล้ว
เมื่อไป๋เยี่ยเปิดดูรางวัลที่ได้รับจากการสุ่มครั้งที่สี่ เขาก็ถึงยิ้มออก
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับผ้ากอซห้ามเลือดหนึ่งกล่อง!]
[ติ๊ง! แจ้งเตือน: กระบวนการผลิตผ้ากอซห้ามเลือดนี้มีการใช้สารสกัดจากเกล็ดเลือด ซึ่งปรับปรุงประสิทธิภาพการห้ามเลือดได้เป็นอย่างดีและเห็นผลชัดเจน!]
อันนี้แหละของดี!
และเป็นของที่ใช้ได้จริงด้วย!
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ
เพราะว่าผ้ากอซห้ามเลือดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันทั่วไปในการกู้ภัยและปฐมพยาบาล และอาการที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือการเลือดออก
การห้ามเลือดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
ผ้ากอซห้ามเลือดไม่เหมือนกับแหนบอเนกประสงค์ ผ้ากอซเป็นอุปกรณ์ใช้แล้วทิ้ง เพราะฉะนั้น แต่ละวันจะต้องใช้ทั้งหมดเท่าไหร่
นี่แหละกำไรมหาศาล!
ไป๋เยี่ยจะไม่มีความสุขได้ไง
ต่อให้เขาหลับอยู่ก็ตื่นมายิ้มได้!
ถึงแม้ว่าระบบจะไม่ได้ให้วิธีการผลิตผ้ากอซห้ามเลือดชนิดนี้อย่างละเอียด แต่ขั้นตอนการผลิตก็ไม่ได้ยากเกินไป
แต่ตอนนี้ไป๋เยี่ยมีผ้ากอซอยู่กับตนเองหนึ่งกล่อง ดังนั้นเขาจึงนำมาวิเคราะห์วัสดุที่ใช้ได้
และการวิเคราะห์ก็ไม่ได้ยากนัก
เพราะว่าผ้ากอซไม่ใช่อุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีขนาดนั้น
ดีมาก!
ของดีอีกแล้ว!
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้นและโทรตามคนขับรถจากน่าย่าให้พาเขาไปส่งที่บริษัทจื้อเหิง
ปัจจุบันบริษัทจื้อเหิงกำลังร่วมมือกับหลายฝ่ายในการผลิตสเปรย์ลิโดเคนและโฟมปิดแผล ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งสองนี้ได้รับการทดสอบทางคลินิกจกสหรัฐอเมริกาและได้รับการอนุมัติให้วางขายในตลาดได้แล้ว
ส่วนภายในประเทศจีนก็ยังมีการค้นคว้าเพิ่มเติม ซึ่งก็ต้องมีขั้นตอนเล็กน้อย
อีกทั้งช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาไป๋เยี่ยก็ได้ให้บริษัทจื้อเหิงส่งเวชภัณฑ์จำนวนสามสิบล้านชิ้นให้กับทางเมียนมา และนั่นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างทั้งสองฝ่าย
ตอนนั้นโจวเม่าจึงได้มีการเจรจาความร่วมมือเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ของทางเมียนมา ซึ่งก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นดี
เวชภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้ต่างได้รับใบอนุญาตให้วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาแล้ว
ส่วนทางเมียนมาก็ได้จัดตั้งพันธมิตรทางการแพทย์ร่วมกับสิงคโปร์และมาเลเซีย
ดังนั้นหากเวชภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการอนุญาตให้วางจำหน่ายในประเทศเมียนมาแล้ว ก็หมายความว่าตลาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ในทวีปเอเชียกำลังพัฒนาขึ้นแล้ว
ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบริษัทจื้อเหิงจริงๆ
ตอนนี้บริษัทจื้อเหิงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตรงข้ามกับสถาบันวิจัยของไป๋เยี่ย การพัฒนาของบริษัทจื้อเหิงอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการแสวงหาชัยชนะอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นไปอย่างมั่นคงภายใต้ความร่วมมือระหว่างโจวเม่าและเจ้าของบริษัทคนเก่า
นอกจากนี้ ในแง่ของการฝึกอบรมบุคลากร ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังช่วยดึงดูดผู้คนมากอีกด้วย ปัจจุบันมีการประมาณมูลค่าตลาดของบริษัทจื้อเหิงไว้คร่าวๆ ที่เกินห้าร้อยล้านหยวน
เนื่องจากไป๋เย่ไม่ได้ขายสิทธิบัตรของสเปรย์ลิโดเคนและน้ำสลัดโฟมแบบใช้แล้วทิ้งให้กับกลุ่มเช็คแอนด์บาลานซ์ แต่ถือมันไว้ในมือของเขาเอง
แต่สำหรับไป๋เยี่ยแล้ว บริษัทจื้อเหิงก็เป็นเพียงธุรกิจอย่างหนึ่ง
ไป๋เยี่ยไม่ได้วางแผนที่จะลงทุนจำนวนมาก เพราะว่าบริษัทจื้อเหิงเองก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
ดังนั้น แทนที่จะทำเช่นนี้ก็สู้ใช้บริษัทจื้อเหิงเป็นตัวแทนจำหน่าย และถือสิทธิบัตรไว้เองดีกว่า
ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปพร้อมกับหลีกเลี่ยงเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นได้ด้วย
ในทำนองเดียวกันสิทธิบัตรของแหนบอเนกประสงค์และผ้ากอซห้ามเลือดก็จะอยู่ในมือของไป๋เยี่ย ส่วนสิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่ายก็จะอยู่กับบริษัทจื้อเหิง
นี่ถือเป็นกลยุทธ์แบบวิน-วินทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ นี่ยังส่งผลดีต่อการพัฒนาของบริษัทจื้อเหิงด้วย เพราะว่าบริษัทจื้อเหิงนั้นมีพื้นเพที่แตกต่างจากบริษัทน่าย่า
แบ็คอัพที่พวกเขามีคือไป๋เยี่ย
หากวันหนึ่งเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ไป๋เยี่ยก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่กับบริษัทจื้อเหิงนั้นก็ไม่แน่