บทที่ 278 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-5
พอคิดถึงหลางอ๋องหมิงเย่า
ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกว่าสิ่งที่จิ้งเหยาทำในครั้งนี้หลางอ๋องหมิงเย่าไม่น่าจะรู้เรื่องด้วย
“หลางอ๋องหมิงเย่าต้องไม่ให้เจ้าทำเช่นนี้แน่!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ความจริงแล้วเขากำลังหลอกถามเอาความอยู่
ทว่าการหลอกถามหนนี้ก็ผ่านการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลอยู่ในนั้นด้วย
เพราะหลิวรุ่ยอิ่งไม่คิดว่าหลางอ๋องหมิงเย่าจะทำเรื่องที่เสี่ยงเพียงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่น่าจะขาดเหลือเงินสี่ล้านตำลึงก้อนนี้ด้วย
หากจิ้งเหยาไม่เผยฐานะชาวทุ่งหญ้าของตนเอง
หลิวรุ่ยอิ่งอาจคิดเพียงว่าเป็นพรรคในยุทธภพที่บ้าบิ่นเป็นคนทำ
ทว่าหากเกี่ยวพันถึงราชสำนักทุ่งหญ้า หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ
เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้
สีหน้าของจิ้งเหยาก็เปลี่ยนไปทันที
เรื่องการชิงเบี้ยหวัดนี้ไม่เพียงหลางอ๋องหมิงเย่าไม่รู้เท่านั้น
แม้แต่ผู้นำหน่วยใหญ่และผู้นำหน่วยรองแห่งหน่วยประจันเพลิงก็ยังไม่รู้
สาเหตุที่เขาทำเช่นนี้มีเพียงหนึ่งเดียว
นั่นก็คือปลุกเร้าให้เกิดเพลิงสงครามระหว่างราชสำนักทุ่งหญ้าและอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
เพราะการล้างแค้นของเขาจะสำเร็จได้ในสนามรบเท่านั้น
ทว่าเมื่อสงบเงียบมาเนิ่นนาน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อยั่วยุให้ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกกัน
ดูๆ แล้วจิ้งเหยาก็เป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด
ให้ความแค้นของตระกูลอยู่เหนือทุกสิ่ง
แม้จะน่าสงสารยิ่งนัก
แต่กลับน่ารังเกียจยิ่งกว่า
เพราะเขาไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของทุ่งหญ้าและหน่วยประจันเพลิงด้วยซ้ำ
เพียงเพื่อให้การล้างแค้นของตนสำเร็จ ก็สามารถทำเรื่องที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินได้ถึงเพียงนี้
เขาไม่ได้หมายปองชื่อเสียง
แม้ว่าชื่อเสียงนี้จะสามารถนำพาเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาสู่เขาก็ตาม
แต่เขาสามารถละทิ้งทุกสิ่งได้ทั้งหมด
คนเช่นนี้ แม้จะมีดาบโค้งอยู่ในมือก็ไม่อาจมีความก้าวหน้าใด
คนผู้หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความแค้น สายตาของเขาย่อมไม่ยาวไกลเป็นที่สุด
บางคนกล่าวว่าผู้คนที่โศกเศร้ามักถดถอยทรุดโทรม
แต่การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความแค้นกลับทำให้คนบากบั่นมุ่งมั่นได้จริงแท้
แต่คนที่โศกเศร้ามักเป็นเพราะพวกเขามองไกลเกินไป จึงกลายเป็นคนที่มักทุกข์ร้อนกับเรื่องต่างๆ
และนี่ก็เป็นการเตรียมรับมือล่วงหน้า
เพียงแต่การเตรียมรับมือล่วงหน้าเช่นนี้ มักถูกบิดเบือนว่ากังวลเกินกว่าเหตุ
คำที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดไปเมื่อครู่
กลับปิดตายสถานการณ์ตรงหน้าโดยไม่ตั้งใจ
เดิมทีจิ้งเหยาก็ไม่คิดจะไว้ชีวิตเขาอยู่แล้ว
หาใช่เพราะเขาไม่ภักดีต่อหลางอ๋องหมิงเย่า
แต่เพราะเขารู้สึกว่าหากเขาได้นั่งบนบัลลังก์อ๋อง ก็จะเปิดเส้นทางยกทัพไปราวีนานแล้ว
วาจาไม่ถูกหู ครึ่งประโยคก็ยังมากเกินไป
จิ้งเหยาหวดดาบออกไป
คมดาบยังไม่ทันถึง ปราณกระบี่แสนยะเยือกกลับพุ่งเข้ามาก่อน
หลิวรุ่ยอิ่งประสานท่าร่าง
ธรรมลักษณ์บรมครูในกายก็ลุกขึ้นพร้อมกัน
ราวกับนกนางแอ่นในวสันตฤดู
เขาพลันย่อตัวแล้วกระโดดเฉียดผ่านคมดาบที่หวดออกมาครั้งนี้ไปได้
ทว่าเพลงดาบของจิ้งเหยาช่างน่าทึ่งนัก
หนำซ้ำปลายดาบของดาบโค้งยังโค้งขึ้นด้วย
เมื่อจิ้งเหยาเห็นว่าดาบแรกคว้าน้ำเหลว
จึงรีบสะบัดข้อมือ
ดาบโค้งพลันชี้ขึ้นข้างบน
ปลายดาบนั้นกำลังจะแทงเข้าที่บั้นเอวของหลิวรุ่ยอิ่ง
ร่างของหลิวรุ่ยอิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่มีสิ่งใดส่งแรงหนุน
สายเกินไปที่จะหลบให้พ้นอีกครั้ง
จิ้งเหยาเห็นเช่นนั้น บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มเล็กๆ
ราวกับเห็นภาพที่ปลายดาบโค้งของตนแทงทะลุตัวหลิวรุ่ยอิ่งไปแล้ว
แต่ธรรมลักษณ์บรมครูในกายของหลิวรุ่ยอิ่งกลับย่อตัวลงสุดแรง
ก่อนปลายดาบจะมาถึงกายเขา
เขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ถึงขั้นทำให้อิฐสีแดงสนิมที่พื้นเหลาสุราแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปหลายก้อน
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้หลิวรุ่ยอิ่งมึนงงเช่นกัน
ไม่ใช่แค่เขา
แม้แต่จิ้งเหยาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ หลิวรุ่ยอิ่งจึงมีอาการเช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มจะหมดหวังแล้ว
ตัวเขาเองก็ไม่เคยพบเหตุการณ์ทำนองมาก่อนเช่นกัน
ธรรมลักษณ์บรมครูเหวี่ยงตัวเขาลงมาฉับพลันเช่นนี้ทำเอาเขามึนหัวไม่น้อย
เขาหันไปมองหน้าต่างหลังเหลาสุรา
ซึ่งก็คือหน้าต่างบานที่หวาหนงกระโจนออกไปนั่นเอง
เวลานี้ หลิวรุ่ยอิ่งคิดเพียงจะหาช่องทางหนีออกไปโดยเร็ว
เห็นชัดว่าเขาไม่อาจรับมือคนตรงหน้านี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดปกติฉับพลันภายในกายก็ยิ่งทำให้เขากังวล
เขารู้แผนการและสถานการณ์ของจิ้งเหยาในเวลานี้แล้ว
หากหนีออกไปได้
และกระจายข่าวนี้ออกไปจะต้องมีกำลังเสริมมาช่วยเป็นแน่
ย่อมดีกว่าให้เขามาต่อสู้เพียงลำพังอยู่ที่นี่
หนำซ้ำเขายังต้องดูแลหวาหนง
เซียวจิ่นข่านฝากฝังศิษย์ให้ตนดูแล เขาก็ต้องดูแลให้ดี
ทว่าจิ้งเหยากลับไม่ให้โอกาสใดแก่เขา
เห็นเพียงสองมือเขากุมดาบ ชูขึ้นและเหวี่ยงฟันลงมา
หลิวรุ่ยอิ่งทำได้เพียงกลิ้งไปบนพื้น
แม้ท่าทางจะดูน่าอนาถ
แต่อย่างไรก็ดีกว่าถูกดาบโค้งนี้ฟันชีวิตออกเป็นสองท่อน
หลังจากหลบดาบนี้ไปได้ หลิวรุ่ยอิ่งก็ใช้กระบี่แทนไม้เท้า
ยันพื้นประคองตัวให้ยืนขึ้น
เขาเห็นดวงตาทั้งคู่ของจิ้งเหยาราวกับลูกไฟสองดวง
สิ่งที่ลุกโชนอยู่ข้างในล้วนเป็นความกระหายในสงคราม
จิ้งเหยาเหวี่ยงดาบอีกครั้ง
ดาบนี้ไม่ได้มีพลังรุนแรงเช่นสองครั้งก่อนหน้านี้
กระทั่งเบาบางลงเล็กน้อย
แต่กระบวนท่ารุนแรงร้ายกาจยิ่งกว่า ก็มักซุกซ่อนอยู่ในความมืดมนเช่นนี้ทั้งสิ้น
จวบจนดาบนี้ฟันลงมาถึงตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง มันจึงเปล่งรังสีที่ควรจะมีออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยพบเห็นรังสีดาบที่เปล่งประกายเช่นนี้มาก่อน
มันเหมือนกับดาวตกยามพุ่งสู่พื้น ข้างหลังมีแสงยาวๆ ลากตามมา
จนชั่วอึดใจนี้เขาถึงเพิ่งพบว่า
ร่างทั้งร่างของตนถูกแสงดาบนี้ครอบคลุมเอาไว้ทั้งหมด
แม้แสงนี้จะสว่างไสว
แต่ไม่ได้แผ่ความอบอุ่นออกมาแม้แต่น้อย
กลับกันมันเป็นความเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
ก็เหมือนกับสุราที่เขาดื่มไปก่อนหน้านี้
น้ำสุราเย็นเฉียบ รังแต่จะทำให้คอและกระเพาะของเขาสัมผัสถึงความเย็นเยือก
ทว่า รังสีดาบนี้กลับทำให้ทุกรูขุมขนบนกายเขาถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งบางชั้นหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว
หาใช่เพราะหวาดกลัว
แต่เพราะหนาวเย็น
ดาบนี้เขาหลบไม่พ้น
ส่วนจะต้านไว้ได้หรือไม่ หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้เช่นกัน
แต่เขาก็ต้องลองดูสุดกำลัง
หากต้านเอาไว้ได้ ก็ยังพอมีหวังได้รอดชีวิต
หากต้านไว้ไม่ได้ ก็จำต้องละทิ้งตัวเองไปเสีย
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งยังคิดไม่ออกว่าจะต้านรับอย่างไร
เขาถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
ถอยอย่างว่องไวยิ่ง
แต่ยังไม่เร็วเท่ารังสีดาบนั้น
หนำซ้ำยามนี้เขาก็หมดทางจะถอยแล้ว
เพราะแผ่นหลังของเขาแนบติดกับผนังด้านหลังเหลาสุรา
หน้าต่างบานนั้นอยู่ตรงท้ายทอยของเขา
หากกระโดดออกจากหน้าต่างก็จะหลบคมดาบนี้ไปได้ชั่วคราว
แต่หวาหนงยังอยู่ในลานทางด้านหลัง
หากตนออกไป
ก็จะทำให้เขาต้องตกอยู่ในอันตรายไปด้วยไม่ใช่หรือ
ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด
และในช่วงเวลาแขวนบนเส้นด้ายนี้เอง
หลิวรุ่ยอิ่งก็ออกกระบี่
เขาใช้พลังปราณทั้งหมดในกายไปในกระบี่นี้แล้ว
กระทั่งแอบสื่อสารกับธรรมลักษณ์บรมครูด้วย
แม้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันก่อนหน้านี้
ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ค่อยวางใจธรรมลักษณ์บรมครูสักเท่าไร
แต่เจ็บหนักต้องเร่งหาหมอไปก่อน
หลิวรุ่ยอิ่งในเวลานี้ ไม่มีวิธีอื่นใดอีกแล้ว
กระบี่นี้แทงออกไปในแนวระนาบ
แม้จะใช้พลังยุทธ์ทั้งหมดแล้ว
ทว่านับแต่หลิวรุ่ยอิ่งเคยแทงกระบี่ออกไป นี่กลับเป็นครั้งที่เขาไม่มั่นใจที่สุด
กระบี่ออก
เขาหลับตา
สิ่งที่ทำได้ก็ล้วนทำไปหมดแล้ว
เรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากหลิวรุ่ยอิ่งออกกระบี่ไป หาใช่สิ่งที่เขาควบคุมได้
ภายในสมองมีเพียงสี่คำ
ฟังบัญชาสวรรค์
ทว่าโชคชะตาก็มักอัศจรรย์นัก
บางครั้งเจ้าเฝ้าภาวนาร้องขอ แต่กลับไม่มีวันได้รับ
แต่เมื่อเจ้าคิดเพียงจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น กลับได้รับเกียรติยศนั้นในท้ายที่สุด
“ติง…”
เสียงโลหะเสียงหนึ่งดังมาที่ข้างหูของหลิวรุ่ยอิ่ง
ทำให้เขานึกถึงระฆังโบราณในกรมสอบสวนกลาง
……………………
ระฆังใบนั้นไม่รู้อยู่มากี่ปีกี่เดือนแล้ว
แต่ทุกๆ ชั่วยามจะดังหนึ่งครั้ง
ยามกลางคืนก็เป็นเช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งโอดครวญไม่ใช่แค่หนเดียวแล้วว่า เหตุใดแม้แต่ยามค่ำคืนระฆังสมควรตายนั่นก็ยังไม่หยุดพักอีก
เขาต้องตกใจตื่นจากฝันนับครั้งไม่ถ้วนก็เพราะเสียงระฆังนี้
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ได้ยินเสียงระฆังมานานก็ควรจะคุ้นชินจึงจะถูก
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่คุ้นชินสักที
เมื่อเขาถูกปลุกให้ตื่นก็อยากออกไปเดินเล่น
หลบเวรยามที่ลาดตระเวนยามค่ำคืนตลอดทางจนมาถึงคอกม้า
ภายในคอกม้ามีแต่ความมืดมิด
เหมือนว่าชายชราเลี้ยงม้าจะหลับไปแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งเคลื่อนไหวเบาไม้เบามืออยากจูงม้าตัวหนึ่งออกไปขี่
“ถูกเสียงระฆังปลุกให้ตื่นอีกแล้วรึ”
ชายชราเลี้ยงม้าโพล่งออกมาท่ามกลางความมืด
ยังไม่ทันสิ้นเสียง
ตะเกียงในคอกม้าก็สว่างขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งลูบแผงคอม้าอย่างขัดเขิน
ม้าตัวนั้นร้องอย่างสบายอุรา
“ไม่ใช่ว่าท่านหลับไปแล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“แต่ข้าไม่ได้ถูกเสียงระฆังปลุกให้ตื่น ถูกเจ้าทำให้ตื่นต่างหาก”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเบะปาก ก่อนลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้น
สมองที่มึนงงอยู่ก่อนหน้า เวลานี้เริ่มมีสติขึ้นมาบ้างแล้ว
ถ้าอยากจะนอนหลับอีกก็เกรงว่าคงยากเสียแล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงชิงชังเสียงระฆังเพียงนี้”
ชายชราเลี้ยงม้าถาม
“ท่านไม่รู้สึกว่ามันน่ารำคาญหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“นอกจากข้าจะไม่รู้สึกว่ามันน่ารำคาญแล้ว กลับรู้สึกว่าเมื่อมีมันอยู่ก็ทำให้แต่ละวันยิ่งมีความหมายมากขึ้นเสียอีก”
ชายชราเลี้ยงม้ากล่าว
“มีความหมายใดกัน ก็แค่เตือนว่าเวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามแล้วก็เท่านั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
มือพลางจับใบหญ้าบนพื้นเล่น
………………………………………