บทที่ 385 ค้นพบวิธีดีๆ แล้ว! (1)
โจวเม่าเป็นคนฉลาด แม้แต่หูเฟิงอวิ๋นก็ยังพูดเองว่าโจวเม่าเป็นหนึ่งในคนที่มีหัวคิดไม่กี่คนในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี
ตั้งแต่ที่ได้ร่วมมือกัน หูเฟิงอวิ๋นก็ได้พูดคุยกับไป๋เยี่ยเรื่องโจวเม่าอยู่หลายครั้ง หูเฟิงอวิ๋นประเมินโจวเม่าไว้สูงมาก อีกทั้งเขายังเป็นคนดีมากด้วย อย่างน้อยๆ เขาก็ทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกพึงพอใจมากหลังจากที่ได้พูดคุยกันมานับหลายครั้ง
ที่บอกว่าโจวเม่าเป็นคนฉลาด ก็เพราะเขามีทัศนคติและวิธีการพูดให้ไป๋เยี่ยสบายใจอยู่เสมอ
โจวเม่าใส่ใจไป๋เยี่ยตั้งแต่ตอนที่เขายังเรียนอยู่ที่จิ้นซีแล้ว พอได้มาทำงานร่วมกันก็ยิ่งใส่ใจเข้าไปใหญ่
หลังจากที่โจวเม่าได้เข้ามาบริหารบริษัทจื้อเหิง เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเป็นผู้จัดการของบริษัท ส่วนไป๋เยี่ยก็คือเถ้าแก่ตัวจริง
โจวเม่าหาวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกสบายใจได้ เขาเป็นทั้งอาจารย์ เพื่อน ลูกน้องและหุ้นส่วน…
เมื่อมีเวลาว่าง ไป๋เยี่ยก็มักจะไปพูดคุยกับโจวเม่าอยู่เสมอ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ โจวเม่าจึงได้สร้างแรงบันดาลใจมากมายให้กับไป๋เยี่ยอีกด้วย
ครั้งนี้ ไป๋เยี่ยส่งตัวอย่างแหนบไปที่ออฟฟิศของโจวเม่าพร้อมทั้งและอธิบายว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยล่าสุดของสถาบัน
โจวเม่ามองดูไป๋เยี่ยเดินจากไปพลางค่อยๆ คลี่ยิ้ม เด็กคนนี้เติบโตขึ้นมาก จากนกน้อยในวันนั้น ตอนนี้เขาปีกกล้าขาแข็ง พร้อมจะโบยบินสู่ท้องฟ้าในเร็ววัน
โจวเม่ามองดูแหนบในมือของตนและเริ่มครุ่นคิด
หลังจากที่ไป๋เยี่ยออกมาจากบริษัทจื้อเหิงก็รีบกลับมาที่สถาบันวิจัย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง ในสถาบันมีคนอยู่ไม่มากนัก ไป๋เยี่ยจึงไปหาอาคามอสและอธิบายเรื่องผ้ากอซห้ามเลือดให้เขาฟังพร้อมกับให้ช่วยศึกษาวัสดุของมัน ไป๋เยี่ยไม่ต้องอธิบายอะไรมากเลย ส่วนอาคามอสก็ไม่มีคำถามเช่นกัน
ต่อให้อาคามอสจะอยากถาม ไป๋เยี่ยก็เตรียมคำตอบไว้แล้ว ไป๋เยี่ยไม่เคยนึกถึงสถานะของตนเองในสายตาของอาคามอสเลย ถ้าวันหนึ่งไป๋เยี่ยมาบอกอาคามอสว่าตนคือพระเจ้าที่ช่วยชีวิตเขาไว้ อาคามอสก็คงเชื่อสนิท
เรื่องผ้ากอซก็ไม่ใช่เรื่องยาก เขามีทีมวิจัยมืออาชีพ การค้นคว้าวัสดุที่ใช้ผลิตจึงอาจจะเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นไป๋เยี่ยก็มาที่เขตกองทัพเพื่อฝึกอบรมทีมกู้ภัย ซึ่งกองทัพก็ได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับการฝึกไว้โดยเฉพาะแล้ว
ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายโมง ทุกคนคงจะพักผ่อนอยู่ ไป๋เยี่ยจึงเข้าไปพักในห้องบ้าง ระหว่างที่เดินผ่านห้องเรียน ไป๋เยี่ยก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านใน
ไป๋เยี่ยจึงเดินไปที่หน้าต่างและมองเข้าไปข้างใน และพบว่าในนั้นมีคนนั่งอยู่ราวๆ เจ็ดหรือแปดคน ขณะเดียวกันก็มีชายคนหนึ่งยืนอยู่บนเวทีและกำลังเขียนบางอย่างลงบนกระดาน ทั้งยังหันกลับมาบรรยายให้ทุกคนฟังด้วย!
นั่นทำให้ไป๋เยี่ยสงสัยมาก พวกเขามาทำอะไรกันตอนเที่ยง
คนที่ยืนอยู่บนเวทีก็ไม่ใช่ใครอื่นเลย อู๋เย่ว์นั่นเอง นั่นทำให้ไป๋เยี่ยยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงหยุดดูอยู่ตรงนั้น
โชคดีที่ฉนวนกันเสียงในห้องเรียนไม่ค่อยดีนัก ส่วนไป๋เยี่ยมีประสาทสัมผัสอันดีเลิศ เขาจึงมองเห็นและฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นได้อย่างชัดเจน
อู๋เย่ว์กำลังบรรยายอยู่
เนื้อหาเหมือนกับที่ไป๋เยี่ยสอน แต่เป็นเพียงส่วนประเด็นที่สำคัญและยากบางประเด็นเท่านั้น
ไป๋เยี่ยฟังการบรรยายด้วยความสนใจ หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้น
[ติ๊ง! ทักษะการแพทย์ฉุกเฉินของผู้เรียนในสังกัดมีเลเวลเกิน 3 แล้ว ยินดีด้วย คุณได้รับแพ็คของขวัญฝึกสอน]
ข้อความดังกล่าวทำให้ไป๋เยี่ยเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
มิน่าล่ะ ทำไมเสียงแจ้งเตือนจากระบบถึงไม่หยุดดังตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งตอนนี้
อู๋เย่ว์บรรยายให้ทุกคนฟังนี่เอง
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็ไม่ได้เดินเข้าไปในห้องเรียนทันที เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเดินตามทางเดินต่อไป ระหว่างทางก็ได้พบกับคนคนหนึ่ง
เมื่อชายคนนั้นเห็นไป๋เยี่ย เขาก็มีท่าทีตกตะลึง เขารีบกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม “สวัสดีครับอาจารย์ไป๋”
ไป๋เยี่ยกระแอมก่อนจะถามต่อ “คุณสะดวกไหม ผมมีเรื่องอยากถามคุณหน่อย”
ชายคนนั้นมองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาทางไป๋เยี่ย เขาลดเสียงตนเองลงพลางส่ายหัวไปมา “ไม่เป็นไรครับ อาจารย์ไป๋ถามมาได้เลย”
ไป๋เยี่ยจึงลากชายคนนั้นเขามาในห้องพักผ่อนแล้วปิดประตู
นี่คือห้องพักที่ถูกเตรียมไว้ให้ไป๋เยี่ยโดยเฉพาะ ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ไป๋เยี่ยนั่งลงและเข้าประเด็นทันที “คุณรู้จักอู๋เย่ว์มากแค่ไหน”
ชายคนนั้นชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ลังเล “หัวหน้าห้องเป็นคนดีมากเลยครับ เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยดัง มีทักษะยอดเยี่ยม เป็นคนที่สุดยอดมากครับ”
อีกฝ่ายไม่ได้ประเมินอู๋เย่ว์ต่ำเลย แถมดูจากสีหน้าแล้วเขาไม่น่าจะพูดเท็จด้วย
ชายคนนั้นพูดต่อ “หัวหน้าห้องมักจะใช้เวลาว่างมาอธิบายและวิเคราะห์เนื้อหาให้พวกเราฟัง เพราะว่า…คุณสอนเร็วมาก เนื้อหาบางอย่างพวกเราก็ไม่ได้ทำความเข้าใจในทันที สิ่งที่หัวหน้าห้องอธิบายจึงช่วยทำให้พวกเราเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้นครับ”
หลังจากที่ชายคนนั้นจากไป ไป๋เยี่ยก็ตระเวนถามคนอื่นๆ อีกหลายคนแล้วก็ได้รับคำตอบเดียวกัน ตอนนี้ไป๋เยี่ยจึงพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว
ช่วงบ่าย ไป๋เยี่ยมาเจอทุกคนที่ห้องเรียนและเริ่มการบรรยาย คลาสนี้มีเนื้อหาค่อนข้างเยอะจนอาจเรียกได้ว่าเป็นคลาสสรุปความรู้ระหว่างการอบรมครั้งนี้
ดังนั้นทุกคนจึงเอาใจใส่และจริงจังมาก!
ไป๋เยี่ยใช้เวลาระหว่างคลาสสังเกตทุกคน เขาใช้ดวงตารอบรู้ส่องเลเวลทักษะและพรสวรรค์ของทุกคนแล้วก็ต้องเจอกับเรื่องน่าประหลาดใจ
เขาพบว่าในบรรดาผู้คนกว่าสองร้อยคน มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่มีทักษะการแพทย์ฉุกเฉินสูงถึงเลเวลห้า และมีเพียงหนึ่งคนที่มีพรสวรรค์ระดับหกดาว ซึ่งคนคนนั้นก็คืออู๋เย่ว์ ในขณะเดียวกันคนอื่นๆ ก็มีพรสวรรค์ระดับสี่ดาวนั่นเอง
พรสวรรค์ระดับสี่ดาวไม่ได้ต่ำเตี้ยเลย มันเทียบเท่ากับระดับผู้เชี่ยวชาญเลยก็ว่าได้
การจะไปถึงจุดนั้นได้เป็นเรื่องยากสำหรับผู้คนส่วนมาก แต่ถึงกระนั้น พรสวรรค์ก็คือพรสวรรค์ ขีดจำกัดก็คือขีดจำกัด การพาตนเองไปสู่ขีดจำกัดของบางเรื่องก็มีความซับซ้อนไม่น้อยเลย
สุกท้ายแล้วความสำเร็จของคนคนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย นอกเหนือจากพรสวรรค์แล้วก็ยังต้องอาศัยความมุมานะ โอกาสและปัจจัยอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
คลาสเรียนจบลงในเวลาประมาณหนึ่งทุ่มตรง
ทันทีที่คลาสสิ้นสุดลง ในหัวของไป๋เยี่ยก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นต่อเนื่อง
[ติ๊ง! ทักษะการแพทย์ฉุกเฉินของผู้เรียนในสังกัดมีเลเวลเกิน 3 แล้ว ยินดีด้วยคุณได้รับแพ็คของขวัญฝึกสอน]
[ติ๊ง! ทักษะการแพทย์ฉุกเฉินของผู้เรียนในสังกัดมีเลเวลเกิน 3 แล้ว…]
ไป๋เยี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ระบบช่วยจัดระเบียบความคิดให้ ประเด็นที่ทุกคนไม่เข้าใจจึงถูกไขจนกระจ่างในทันที
การจัดระเบียบความคิดของไป๋เยี่ยก็เปรียบดั่งการตื่นรู้
คราวนี้หลายๆ คนที่กำลังประสบกับทางตันก็อัปเกรดตนเองไปยังเลเวลสามได้ทันที!