บทที่ 1342 ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาล
บทที่ 1342 ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาล
ซากศพกองพะเนินเป็นภูเขา เลือดสาดกระเซ็นดั่งน้ำตก!
ภายใต้การนำทางของสืออวี๋ ทุกคนพุ่งเข้าใส่ราชันยุทธ์ที่ยืนอยู่ใจกลางสนามต่อสู้
ทว่ามีกองทัพนักรบสัมฤทธิ์ที่ถาโถมเข้ามาเหมือนน้ำในมหาสมุทรขวางทางไว้ไม่ให้ไปต่อได้
มองจากไกล ๆ กลุ่มพวกเขาก็เหมือนเรือเล็กที่กำลังฝ่ากองทัพศัตรู ไม่อาจเข้าถึงตัวราชันยุทธ์ที่ยืนอยู่ตรงกลางได้เลย
“เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว! ฆ่ามัน!” ผ่านไปไม่นาน สืออวี๋ก็คำรามเสียงสนั่นดั่งฟ้าลั่น พูดจบ กระบี่เทพลึกลับในมือก็กรีดผ่านฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นห่าฝนกระบี่สังหารกองทัพนักรบสัมฤทธิ์นับพันในพริบตา
พวกเขาต้องฆ่าราชันยุทธ์ให้ทันเวลาหนึ่งก้านธูป ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถออกจากข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็หมายความว่าทุกคนจะต้องตายที่นี่!
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าโอ้เอ้ พากันซัดวิชาที่แกร่งที่สุดออกมาทันใด
ฟึบ!
แสงศักดิ์สิทธิ์เก้ากระจ่างพุ่งขึ้นฟ้าเหมือนสายรุ้งก่อนจะสาดส่องลงมารอบทิศ เหมือนเก้ามังกรศักดิ์สิทธิ์พุ่งทะยานอยู่ในสนามต่อสู้โบราณ นำพาคลื่นแสงแห่งความนองเลือดติดมาด้วย
ชิ้ง! ชิ้ง!
ขวานศึกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นจันทร์เสี้ยวสีม่วงเต็มท้องฟ้า ก่อนจะดีดตัวออกรอบทิศอย่างแรงกล้า ไม่ว่ามันจะผ่านไปทางไหนก็ให้เกิดเส้นสีเลือดเฉือนผ่านกองทัพศัตรู
ครืน!
เทียบกับการโจมตีของเซียงหลิวหลีและเตียนเตี้ยนแล้ว มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์นั้นออกท่าโจมตีได้ตรงไปตรงมากว่ามาก เขาถือขวานยักษ์สีดำไว้ในมือแล้วฟันลงมาไม่หยุด ทุกการโจมตีสั่นสะท้านฟ้าดิน เกิดเป็นชิ้นเนื้อมากมายกระจัดกระจายขึ้นฟ้า พร้อมกับโลหิตแดงก่ำที่พุ่งไปรอบทิศ
เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดยิ่ง
สี่ราชันเซียนไม่เสียเวลาแม้เพียงนิด ซัดทุกท่าโจมตีออกไปไม่หยุดยั้ง
เพราะนี่คือข้อจำกัดทวยเทพภายในตำหนักบรรลุเทพ หากไม่สามารถผ่านไปได้ ชะตาก็จะขาดอยู่ที่นี่ทันที!
ในตอนนั้น ไม่มีใครสนเรื่องหนทางการขึ้นเป็นเทพอีกแล้ว เพราะหากออกไปไม่ได้การเป็นเทพจะมีความหมายอะไร
และด้วยความที่ทุกคนต่างมีสมาธิสูงมากจนทำให้ไม่ทันสังเกตเลยว่าเฉินซีที่พวกเขาปกป้องไว้อยู่ตรงกลางกำลังอยู่ในสภาวะแปลกประหลาด
วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง~
ภายในห้วงจิตสำนึก ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากกำลังสั่นสะท้านและกรีดร้องเสียงเบา แผ่เส้นพลังผันผวนออกมาล้อมกายเฉินซี ก่อนจะซึมซาบเข้าไปถึงจิตวิญญาณ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ทำให้กระทั่งเฉินซียังไม่รู้ว่าเหตุใดชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากถึงได้ตื่นขึ้นมาภายในสนามต่อสู้โบราณที่เต็มไปด้วยจิตสังหารเช่นนี้
อีกทั้งการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากครั้งนี้ก็หนักหน่วงอย่างยิ่ง…
ตู้ม!
เฉินซียังไม่ทันได้หายตกใจ ก็พลันได้ยินเสียงฟ้าลั่นดังขึ้นในห้วงจิต จากนั้นภาพตรงหน้าเขาก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ สะท้านสะเทือนไปถึงดวงจิตวิญญาณ
เมื่อเขาได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าภาพตรงหน้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว!
ฟ้า ดิน ห้วงอากาศทั้งหลายภายในสนามต่อสู้โบราณกลายเป็นลวดลายประหลาดที่เกิดจากยันต์อักขระอันลึกลับที่มีรูปทรงบิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วน
กระทั่งราชันยุทธ์ตัวสูงตระหง่านที่อยู่ตรงกลางสนามรบยังแปรเปลี่ยนเป็นอักขระยันต์ที่ดูน่าเกรงขาม
ใช่แล้ว ตอนนี้เฉินซีเห็นทุกสิ่งในสนามต่อสู้โบราณเป็นยันต์อักขระ!
ครั้งหนึ่งก็เคยเห็นยันต์อักขระอยู่ที่ประตูทางเข้าตำหนักบรรลุเทพ พวกมันก็ดูคลุมเครือ ลึกลับ บิดเบี้ยวเหมือนลูกอ๊อดเช่นนี้ เหมือนจะเป็น ‘ภาษาของทวยเทพ’ อะไรสักอย่าง
แต่ยันต์อักขระเหล่านี้กำลังเคลื่อนไหวอยู่ ก่อนที่พวกมันจะเปลี่ยนเป็นกองทัพนักรบสัมฤทธิ์ เป็นท้องฟ้าเป็นผืนดิน และเป็นราชันยุทธ์ที่ยืนอยู่ไกล ๆ ปลดปล่อยจิตสังหารหนาแน่นออกมา!
นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของข้อจำกัดราชันยุทธ์… ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเฉินซี เขาพลันเข้าใจทุกสิ่งอย่าง
ทว่าพริบตานั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นว่า แม้กองทัพนักรบสัมฤทธิ์ที่มากันมืดฟ้ามัวดินจะมาจากยันต์อักขระอันลึกลับ และกำลังถูกพวกสืออวี๋บดขยี้จนกลายเป็นฝนเลือดโปรยลงมา แต่พวกมันไม่ได้ตายจริง ๆ
อีกทั้งยังใช้เวลาไม่นาน ชิ้นส่วนเลือดเนื้อพวกนั้นก็กลับมารวมตัวอีกครั้ง จากนั้นพวกมันก็จะพุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวอีกครั้ง!
มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
ก็หมายความว่ากองทัพนักรบสัมฤทธิ์ในสนามต่อสู้โบราณเห็นนี้ฆ่าไม่ตายอย่างไรเล่า!
วิ้ง~ วิ้ง~
ภายในห้วงจิตสำนึก ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากยังคงส่งเสียงและสั่นสะท้านไม่หยุด คอยย้ำเตือนให้เฉินซีรู้ว่าเรื่องยังไม่จบเท่านี้
ท่ามกลางสภาวะแปลกประหลาด ยันต์อักขระอันลึกลับทั้งหลายที่เฉินซีเห็นก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นสามารถระบุได้ว่าอักขระยันต์ที่เล็กที่สุดภายในยันต์อักขระนั้นโคจรแบบใด…
นั่นคือเส้นการโคจรพื้นฐานของมหาเต๋าห้าธาตุ
ลม สายฟ้า…
หยิน หยาง…
และดวงดารา…
ใช้เวลาไม่นาน เฉินซีก็เข้าถึงความลึกซึ้งหลากหลายอย่าง สัมผัสได้ถึงพลังมหาเต๋าที่คุ้นเคยได้จากในยันต์อักขระหนาแน่นที่ปกคลุมท้องฟ้า
แต่ตอนนี้มหาเต๋าที่คุ้นเคยได้กลายเป็นยันต์อักขระผิดรูปซึ่งดูลึกลับคลุมเครือไปแล้ว และเส้นทางที่อักขระยันต์ภายในโคจรนั้นก็คือเนื้อแท้ของมหาเต๋าทั้งหลายเหล่านี้
ยกตัวอย่างเช่น แก่นมหาเต๋าแห่งอัคคีนั้นมีเส้นโคจรที่มีชีวิตชีวาและไร้การยับยั้ง เส้นทางไม่ชัดเจน พัฒนาเช่นน้ำ เติบโตเช่นไม้ กลั่นแน่นเช่นดิน…
มหาเต๋าอื่น ๆ เองก็เช่นกัน
เมื่อเขามีความเข้าใจลึกซึ้งขึ้น เฉินซีจึงมั่นใจว่า ยันต์อักขระลึกล้ำเหล่านี้สร้างขึ้นมาจากแก่นแท้พลังแห่งมหาเต๋า!
พวกมันไม่ใช่เต๋ารู้แจ้ง ไม่ใช่พลังแห่งกฎ หรือตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์… แต่เป็นพลังงานที่แท้จริงของมหาเต๋า มันกลับคืนสู่ต้นกำเนิด และเผยกายอยู่ในรูปแบบยันต์อักขระนั่นเอง
เฉินซีรู้ซึ้งถึงบางอย่างได้ราง ๆ
มันคือความรู้แจ้งที่เกี่ยวกับ ‘การผสานเต๋า’ ของขอบเขตเซียนปราชญ์ หากผู้ใดต้องการขึ้นสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ย่อมต้องผสานกฎแห่งเซียนทองคำทั้งหลายที่ตนมีให้ได้ เพื่อสร้างกฎปราชญ์เต๋าของตนเองขึ้นมา นี่คือการผสานเต๋า
ก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าเฉินซีจะรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าต้องทำอย่างไรกันแน่ เพราะเขาอยู่แค่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสมบูรณ์ ยังไม่ใช่เซียนปราชญ์
แต่ตอนนี้ ยันต์อักขระลึกลับตรงหน้าที่เกิดจากแก่นพลังมหาเต๋าทั้งหลายเหมือนจะผสานมหาเต๋าหลากหลายอย่างเข้ารวมกันเป็นมหาเต๋ายันต์อักขระ!
มันให้ความรู้สึกว่าสนามรบโบราณแห่งนี้แสดงภาพกระบวนการผสานเต๋าของจริงให้เขาดูอย่างไรก็อย่างนั้น!
วิ้ง~ วิ้ง~
พลังผันผวนของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในห้วงจิตสำนึกยิ่งรุนแรงขึ้น หากก่อนหน้านี้เป็นธารน้ำไหลเชี่ยว ในมหาสมุทรตอนนี้ก็เหมือนกำลังเกิดลมพายุ
เฉินซียังไม่ทันได้เข้าใจเริ่มทั้งหมด ภาพตรงหน้าก็พังครืนลงมาอีกครั้ง!
ครั้งนี้ยันต์อักขระทั้งหมดมีกระแสความศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใน กระทั่งวิถีโคจรของยันต์อักขระยังเต็มไปด้วยท่วงทำนองมหัศจรรย์อย่างไม่อาจอธิบายได้
นี่มันอะไรกัน? เฉินซีทั้งสับสนและมึนงง
พลังนี้รุนแรงนัก เป็นพลังสูงส่งและยิ่งใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาอาจเอื้อมได้เลย ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นข้อจำกัดทวยเทพของจริงที่เต็มไปด้วยกฎแห่งทวยเทพก็เป็นได้!
ฟึบ! ฟึบ!
ทว่าสี่ราชันเซียนข้างกายกลับไม่ได้สังเกตเลย…
เกิดอะไรขึ้นกัน? เฉินซีตกตะลึงยิ่ง ยันต์อักขระที่ก่อตัวรวมขึ้นเป็นกองทัพนักรบสัมฤทธิ์นั้น ตอนนี้พวกมันพุ่งเข้ามาหาเขา หากมันหมายเอาชีวิตเขาเล่า?
แต่เหตุการณ์ต่อมาก็พิสูจน์ให้เฉินซีรู้ว่าเขากังวลเกินไป
เมื่อยันต์อักขระแรกพุ่งสู่ร่าง ก็ไม่ได้ทำร้ายแต่อย่างไร แต่แปรเปลี่ยนเป็นกระแสพลังอบอุ่นแล่นไปทั่วร่างแทน
จากนั้น เฉินซีก็พลันสัมผัสได้ว่าพลังมหาเต๋าแห่งอัคคีที่ตนถือครองแกร่งขึ้นเล็กน้อย!
ฟึบ!
เฉินซียังไม่ทันคิดได้อะไรไปมากกว่านี้ กระแสยันต์อักขระก็พุ่งเข้าเข้ามาดั่งคลื่นซัด พวกมันพุ่งเข้ามาไม่หยุดราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ในชั่วกระบวนการนี้ เฉินซีไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด กลับกัน กระแสพลังอบอุ่นนี้กลับช่วยทำให้มหาเต๋าทั้งหลายแกร่งกล้าขึ้นด้วยซ้ำ!
แทบจะในพริบตาเดียว ความเข้าใจในกฎมหาเต๋าแห่งการรังสรรค์ นิรันดร์ และกลืนกิน ก็กลั่นแน่นกลายเป็นตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ใหม่ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาล!
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกะทันหันมากจนไร้เวลาคิดพิจารณาถึงสาเหตุ รู้ตัวอีกทีมันก็เกิดขึ้นแล้ว ย่อมทำให้เฉินซีรู้สึกตกตะลึงและสับสนอย่างยิ่ง
เคราะห์ดีที่เขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะการตื่นขึ้นอย่างกะทันหันของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ไม่เช่นนั้นคงได้แต่สงสัยพิศวงในใจว่าตนถูกมารกัดกินใจไปแล้วหรือไม่ ถึงได้เกิดภาพหลอนขึ้นมาเช่นนี้…
ยังไม่จบเพียงนั้น
ชั่วอึดใจต่อมา ยันต์อักขระยังคงวิ่งพล่านเข้ามาในร่างไม่หยุด เฉินซีก็เข้าใจตราศักดิ์สิทธิ์ไท่จี๋ที่กลั่นมาจากกฎมหาเต๋าแห่งแสง ความมืด หยิน และหยาง จากนั้นก็เป็นตราศักดิ์สิทธิ์เกิดดับที่กลั่นมาจากกฎมหาเต๋าแห่งปารมิตาและการลืมเลือน จากนั้น…
ถึงตอนนี้ กฎมหาเต๋าทั้งหลายที่เฉินซีมีก็ถูกกลั่นไปเป็นตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็คือตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งซากดารา ตราศักดิ์สิทธิ์ไท่จี๋ ตราศักดิ์สิทธิ์เกิดดับ และตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติ
“หือ? ช้าก่อน! เหตุใดข้อจำกัดราชันยุทธ์จึงอ่อนแอลงล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้คงจะทำทีแสดงพลังไปอย่างนั้นกระมัง”
“ก็ไม่แน่”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงครึกโครมดังมา ทำให้เฉินซีสะดุ้งเฮือก ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือคลื่นพลังแห่งการปะทะกันซัดสาดออกไปทั่ว
เวลาผ่านไปไม่นาน
“เราทำสำเร็จแล้ว!”
“ข้อจำกัดราชันยุทธ์ก็ไม่เห็นเท่าไหร่นี่นา”
“อย่าเพิ่งได้ใจไป นี่แค่ก้าวแรกสู่ตำหนักบรรลุเทพเท่านั้น ยังมีข้อจำกัดที่น่ากลัวกว่านี้รอเราอยู่”
“โอ้ เฉินซี! เจ้าเป็นอะไรไป?”
เมื่อเฉินซีเห็นภาพชัดเจนอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าตนเองออกจากสนามต่อสู้โบราณ กลับมายืนอยู่บนทางเดินหินที่ดูทอดตัวยาวไปไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
ด้านข้างเขาคือสืออวี๋และคนอื่น ๆ ที่มองมาด้วยความพิศวง
เฉินซีเห็นภาพนั้นเข้าก็ตั้งสติได้ ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วเอ่ย “ข้าสบายดี ศึกเมื่อครู่นี้ทรงพลังเหลือเกิน ข้าจึงได้รับผลกระทบไปด้วย ตอนนี้หายดีแล้ว”
สืออวี๋แล้วคนอื่นถึงได้เข้าใจ
พร้อมกันนั้น เมื่อสืออวี๋และทุกคนจากไปแล้ว สนามต่อสู้โบราณภายในข้อจำกัดราชันยุทธ์ก็กลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
ทว่าบนท้องนภาซึ่งมีเมฆาดำลอยล่องนั้น มองเห็นนัยน์ตาเย็นชาไร้อารมณ์คู่หนึ่งลืมตาเปิด จากนั้นมันก็หายไปทันใด…