บทที่ 220 คนรุ่นหลังควรมีจิตใจที่กล้าได้กล้าเสียเช่นนี้!
บทที่ 220 คนรุ่นหลังควรมีจิตใจที่กล้าได้กล้าเสียเช่นนี้!
ท่านเจ้าเมืองฝู่ซางถูกต่อว่าจนยับเยินไม่เหลือชิ้นดี จำต้องรีบหนีกลับไป ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะขนหินวิญญาณไปด้วย
หลิงเยว่เห็นแล้วก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก รู้แบบนี้ไม่น่าโอ้อวดเพิ่มหินวิญญาณระดับสูงกว่าสี่หมื่นก้อนเลย หากลงโทษเท่าไหร่ก็ควรให้เท่านั้น!
ถึงอย่างไร นางก็ให้ไปแล้ว ช่างเถิด! คิดเสียว่าเป็นค่าระบายความโกรธแล้วกัน
“ท่านอาจารย์ทำให้ท่านเจ้าเมืองโกรธเช่นนี้ สำนักจะยังอยู่เป็นสุขได้อีกหรือ?”
ถึงคราวนั้น เมื่อสำนักไม่สามารถเปิดทำการต่อไปได้และต้องปิดตัวลง บรรพบุรุษตระกูลซีกับบรรพบุรุษตระกูลหมิงที่โต้เถียงกับท่านเจ้าเมืองในวันนี้ หลิงเยว่เป็นห่วงพวกเขายิ่งนัก!
อีกสองปีข้างหน้า นางจะสะบัดก้นเดินจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใด แต่พวกเขาเหล่านั้นยังคงอยู่ในเมืองฝู่ซาง ผลกระทบคงจะมีไม่น้อยทีเดียว
“หรือท่านจะพาลูกศิษย์ไปอยู่ที่ทะเลทรายตอนเหนือกับข้าเสียเลย!?” หลิงเยว่รู้สึกว่าความคิดของตนเองนั้นบรรเจิดนัก หากที่แห่งนี้ไม่อาจรองรับพวกเขาได้ ทะเลทรายตอนเหนือที่กว้างใหญ่ไพศาล ย่อมรองรับได้อย่างเหลือเฟือ!
แม้ว่าทรัพยากรในทะเลทรายตอนเหนือจะขาดแคลน ทั้งผู้บำเพ็ญยากจน ลมแรง และปราณก็ขาดแคลน แต่พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยน้ำใจ!
ตราบใดที่พวกเขาไปยังทะเลทรายตอนเหนือ พวกเขาย่อมได้รับการปฏิบัติราวกับจักรพรรดิเป็นแน่ หากยังไม่ถูกใจทะเลทรายตอนเหนือ นางยังเชื่อมั่นว่าสำนักหลานเทียนย่อมยินดีต้อนรับพวกเขาอย่างแน่นอน!
ท่านอาจารย์ใหญ่มองออกในทันทีว่าหลิงเยว่คิดเช่นไร หากจะจากไปได้ง่ายดายเช่นนี้ก็ดีแล้ว…
“วางใจเถิด สำนักจะไม่ล่มสลาย แต่อาจจะทำให้เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
ไม่ว่าหลิงเยว่จะอยู่ในดินแดนทางตอนใต้หรือทะเลทรายตอนเหนือ นางก็คือผู้มีสิทธิ์เลือกเดินในเส้นทางของตัวเอง แต่การมาที่สำนักเหอตงเพื่อขายสุราปราบมารไม่กี่ไห นางกลับถูกตั้งค่าหัวเช่นนี้
หอจี้ซื่อนั้นช่างใจแคบเหลือเกิน!
อาจารย์ใหญ่นึกถึงภาพที่ผู้คนหลายสิบคนก้าวข้ามขอบเขตด้านนอกเมืองและภาพถุงหินวิญญาณจำนวนมากแล้วอดหัวเราะไม่ได้ ทั้งหมดล้วนต้องยกให้หญิงสาวผู้นี้ และหวังว่านางคงทำให้เมืองฝู่ซางวุ่นวายได้อีกไม่มากก็น้อย แต่หากเกิดเรื่องใดขึ้น พวกเขาจะคอยช่วยเหลือ
นอกจากหินวิญญาณของพวกเขาจะไม่ค่อยพอใช้แล้ว…
เพราะเหล่าอาจารย์หลายสิบคนรวมกันยังรวยไม่เท่าหลิงเยว่เลย
ท่านอาจารย์ใหญ่ได้เห็นความเศร้าโศกของนักกลั่นโอสถที่ยากจนในสำนักเป็นครั้งแรก หอจี้ซื่อเตรียมตัวรับความโชคร้ายไว้ได้เลย!
“เป็นเพราะข้าที่ทำตัวโอ้อวดเกินไป” หลิงเยว่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองถูกพัวพัน กล่าวได้ว่าเป็นนางต่างหากที่ทำให้สำนักต้องเดือดร้อน นางได้พยายามวางตัวให้ต่ำต้อยแล้ว แต่กลับประเมินพรสวรรค์ของตนเองต่ำเกินไป!
“ท่านอาจารย์ ข้าจะต้องซ่อมร้านใหม่หรือไม่ขอรับ?” เซี่ยซิ่นรุ่ยมองไปยังร้านที่ถูกทำลายอย่างเศร้าโศก นี่คือสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาด้วยเศษไม้ แต่บัดนี้ถูกทำลายจนหาเศษไม้ที่สมบูรณ์แบบไม่ได้แล้ว น่าเศร้าใจยิ่งนัก
“ซ่อมสิ เหตุใดจะไม่ซ่อมมันเล่า?”
เมื่อทั้งถนนพินาศสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหอจี้ซื่อหรือท่านเจ้าเมืองล้วนแต่ขุ่นเคืองใจ ดังนั้น ไม่สู้สร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่เสียเลยเล่า!
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านสามารถใช้ชื่อของสำนักซื้อถนนชิงเฟิงทั้งสายให้ข้าได้หรือไม่?”
ก่อนที่ท่านอาจารย์ใหญ่จะตอบ ผู้อาวุโสเถาวั่งทำท่าแคะหูของตนเอง ก่อนจะถามขึ้นมา “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? ข้าฟังถนัด”
เหล่าลูกศิษย์ที่ได้ยินอย่างชัดเจนต่างพากันตกตะลึงในความทะเยอทะยานของหลิงเยว่
หลิงเยว่ไม่เชื่อเลยว่าเถาวั่งจะไม่ได้ยิน ก่อนหน้านี้นางยังนึกว่าจะรอทวงหนี้ให้ครบก่อนแล้วค่อยนำหินวิญญาณที่มีมาใช้ แต่บัดนี้นางเสียหินวิญญาณไปถึงห้าพันล้านแล้ว หากนางจะใช้หินวิญญาณอีกหลายสิบหรือหลายร้อยล้าน จะเป็นอะไรไปเล่า?
นางจะเปลี่ยนถนนชิงเฟิงให้กลายเป็นถนนแห่งอาหารเลิศรสเสีย!
“พวกท่านทั้งหลาย จงมาทางนี้สักครู่เถิด” หัวหน้าตะขาบมรกตดึงคนหลายคนที่เคยถูกเขาข่มเหงออกมาจากฝูงชน ให้มาอยู่ด้านหน้าของหลิงเยว่ “พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านอยากจะขายร้านหรือไม่? ตราบเท่าที่ท่านยินดีจะขาย…”
หลิงเยว่เข้าใกล้หญิงสาวผู้บำเพ็ญคนหนึ่งก่อนจะกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของนาง “ราคาเป็นธรรม และข้ายังจะมอบสุราปราบมารให้อีกหนึ่งจอก”
ถึงจะกระซิบกระซาบอย่างไร แต่เหล่าผู้บำเพ็ญคนอื่น ๆ ล้วนได้ยินกันหมด
สุราปราบมาร เพียงแค่ได้ยินก็เคลิบเคลิ้มแล้ว
หญิงสาวคนนั้นรีบพยักหน้า แล้วชะงักไปราวกับเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยด้วยความเสียดาย “ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ใช่ชาวเมืองฝู่ซาง ที่ดินในเมืองฝู่ซางไม่อนุญาตให้ขายกับคนนอกเมือง”
“เรื่องนี้ง่ายดายนัก กลุ่มลูกศิษย์ของข้าล้วนเป็นชาวเมืองเกินครึ่ง หากไม่เพียงพอเหล่าอาจารย์ของสำนักก็ยังมีอีกมากมาย”
“ข้าขาย!” โฉนดแสดงกรรมสิทธิ์ที่เก่าแก่ใบหนึ่งถูกยัดใส่ลงในมือหลิงเยว่ทันที หวังซานหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พวกเราเพียงต้องการสุราปราบมารสักไหเท่านั้น สำหรับหินวิญญาณไม่ต้องให้ก็ย่อมได้ แต่ท่านต้องให้พวกเราสามคนกินอาหารวิญญาณโดยไม่ต้องจ่ายเงินเป็นเวลาหนึ่งปี!”
ภรรยาของหวังซาน เมื่อได้ยินครึ่งประโยคแรกเตรียมจะยกมือขึ้นทุบตีเขา แต่เมื่อเขาพูดมาถึงครึ่งประโยคหลังกลับทำให้นางเปลี่ยนจากทุบตีเป็นลูบเบา ๆ แทน
นึกไม่ถึงว่าหวังซานผู้โง่เขลาจะมีไหวพริบปานนี้
ความจริงแล้ว แม้มีเพียงแค่สุราปราบมารสักจอกสำหรับชาวบ้านข้างเคียงถือว่าคุ้มแล้ว แต่หากได้กินอาหารวิญญาณโดยไม่ต้องจ่ายเงินถึงหนึ่งปี แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว!
หาเหตุผลใดมาหักล้างไม่ได้เลยว่าจะไม่ขาย!
“ข้าก็ขายด้วย ขอเงื่อนไขเช่นเดียวกับหวังซาน”
“ข้าด้วย!”
ไม่นานโฉนดแสดงสิทธิ์ในมือของหลิงเยว่วางซ้อนเป็นกองสูง แล้วยังมีเหล่าเพื่อนบ้านใจดีออกไปช่วยบอกกล่าวผู้อื่นให้อีก เรื่องราวที่น่ายินดีเช่นนี้จะลืมเพื่อนพ้องน้องพี่ได้อย่างไร?
ลูกศิษย์ในท้องต่างได้รับโฉนดที่ดินไปคนละผืน ส่วนคนต่างถิ่นได้เพียงแต่มองตาละห้อย รู้สึกเสียดายที่ตนเองไม่ได้เกิดมาในท้องถิ่นนั้น
หลิงเยว่โอบไหล่ปลอบประโลมเถียนฉู่ฉู่ “ร้านรวงเพียงเล็กน้อย รอจนกว่าพวกเจ้าเรียนรู้วิธีหมักสุราปราบมารได้ เจ้าจะซื้อเมืองสักเมืองยังได้!”
ภาพที่วาดฝันไว้ช่างใหญ่โต เหล่าลูกศิษย์ต่างซาบซึ้งใจยิ่งนัก
ในวันข้างหน้าพวกเขาจะต้องเป็นอย่างอาจารย์ในวันนี้ให้ได้ ใช้หินวิญญาณขว้างท่านเจ้าเมืองฝู่ซางให้กระเด็นไปให้พ้นทาง!
“ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของพวกเจ้ายังสามารถทำได้อีกมากมาย นอกเหนือจากสุราปราบมารอีกด้วย!”
“ยังมีสิ่งใดอีกหรือ?” เถาวั่งรู้สึกสนใจ เหล่าอาจารย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างตั้งใจฟัง
“อาจารย์ใหญ่ได้ลองทำมาแล้ว พวกเจ้าสามารถไปถามเองได้”
พูดแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
ในตอนนี้ท่านอาจารย์ใหญ่ยังไม่ประสงค์ให้ผู้ใดรู้ว่าหลิงเยว่สามารถเลียนแบบชารู้แจ้งกลายร่างได้ เพื่อความปลอดภัยของนางจึงยังบอกผู้ใดไม่ได้
การกว้านซื้อที่ดินทั้งถนนเพื่อทำเป็นร้านอาหารวิญญาณพิเศษเช่นนี้ ไม่เท่ากับเป็นการประกาศท้าทายหอจี้ซื่อที่ผูกขาดกิจการนี้ไว้ทั้งเมืองหรอกหรือ?
อาจารย์ใหญ่ชื่นชมในแนวทางของหลิงเยว่เป็นอย่างมาก คนรุ่นหลังควรมีจิตใจที่กล้าได้กล้าเสียเช่นนี้!
ภายในเวลาครึ่งวัน หลิงเยว่ได้ซื้อกิจการในถนนชิงเฟิงไปแล้วหนึ่งในสาม แต่เจ้าของร้านบางคนได้เดินทางไปยังเขตแดนลับสมุนไพรวิญญาณ บางคนก็ออกไปบำเพ็ญ จึงไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้าร้านเลย
หลิงเยว่รู้สึกผิดหวังกับผลลัพธ์ที่ได้ ดูเหมือนว่าเป้าหมายของนางจะไม่สามารถบรรลุได้ในเวลานี้ แต่อย่างไร การพึ่งพาลูกศิษย์ทั้งห้าสิบคนเพื่อสร้างถนนอาหารนั้นไม่อาจเพียงพอ นางจึงตัดสินใจใช้ช่วงเวลานี้เพื่อรับสมัครและฝึกฝนลูกศิษย์เพิ่มเติม เพื่อให้พวกเขาสามารถเป็นกำลังหลักในการนำพาถนนสายอาหารแห่งนี้ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น!
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในประตูสำนัก หลิงเยว่ก็ตะโกนเสียงดังว่า “การรับสมัครลูกศิษย์เข้าเรียนในชั้นพิเศษเริ่มขึ้นต้นแล้ว! ศิษย์คนใดที่สนใจรีบมารวมตัวกันที่ลานด้านนี้เพื่อลงชื่อ โอกาสดีเช่นนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด!”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยพลังวิญญาณแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของสำนัก ลูกศิษย์ที่อยู่ในช่วงกระวนกระวายใจต่างละเลยโอสถที่กำลังกลั่นอยู่ทะยานตรงไปยังลานจัตุรัสที่หลิงเยว่อยู่ทันที
ในชั่วพริบตา พื้นที่จัตุรัสก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ความสามารถในการรวบรวมผู้คนเช่นนี้ของนางทำให้เหล่าอาจารย์ต่างถอนหายใจ พวกเขามักเรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อประชุมของสำนัก ซึ่งมีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่ปรากฏตัว ซึ่งถือว่าให้เกียรติเป็นอย่างมากแล้ว
หลิงเยว่ก็ตกใจกับจำนวนคนเช่นกัน เดิมทีนางคิดว่าอาจจะมีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น
“อาจารย์หลิง ถ้าได้เป็นลูกศิษย์ในชั้นเรียนพิเศษแล้ว ท่านจะสอนทำสุราปราบมารด้วยหรือไม่?”
พวกเขามาก็เพราะสุราปราบมารเช่นนั้นหรือ?
“สอนอยู่แล้ว แต่จะเรียนรู้ได้สำเร็จหรือไม่ ข้าอาจไม่อาจรับรองได้”
ในประเด็นนี้ หลิงเยว่ไม่สามารถรับรองได้อย่างแท้จริง เนื่องจากนางมีความผิดปกติมากกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย บางทีนางอาจจะหาสมุนไพรวิญญาณพิเศษที่กลายพันธุ์มาให้ได้ แต่ลูกศิษย์ของนางก็อาจจะไม่สามารถหมักสุราสร้างรากฐานที่มีผลในการปราบมารได้
“ขอเพียงอาจารย์หลิงสอนตำราที่แท้จริงให้ พวกเราย่อมจะต้องเรียนรู้ได้อย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง หากท่านขาดส่วนผสมใด จงใจไม่ให้เราเรียนรู้ แม้เราจะเรียนจนตายก็ทำไม่ได้เช่นกัน”
“อาจารย์หลิง ท่านคงจะไม่ทำแบบนั้นใช่หรือไม่?”
“ย่อมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน ท่านอาจารย์หลิงจะพาพวกเราไปมั่งคั่งด้วยกันอย่างไรเล่า!”
…
หลิงเยว่จ้องมองลูกศิษย์ไม่กี่คนที่แอบแฝงอยู่ในกลุ่มแล้วพูดจาเยาะเย้ยนางไปมาด้วยสายตาเย็นชา