ตอนที่ 430 ละครฉากหนึ่ง
หลายปีมานี้แม่น้ำวสันต์ริมจังหวัดชุนฮุ่ยมีตำนานที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านกันเป็นวงกว้าง เล่ากันว่าหากมีคนตกน้ำสถานการณ์วิกฤติ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะพบเทพแม่น้ำเทียมฟ้าเข้าช่วยเหลือ
หลายคนฟังเรื่องเล่าแตกต่างกัน บุรุษที่อยู่บนเรือประดับโคมชื่อว่าหลี่จินไหล เขารู้ว่าตำนานนี้มีโอกาสเป็นความจริงไม่น้อย และเขาพบสามคนที่เคยตกลงไปในน้ำเพื่อยืนยันแล้ว
คนหนึ่งเป็นคนเมาที่ตกจากเรือบุปผา คนหนึ่งเป็นสตรีชาวนาที่ตกน้ำโดยไม่ทันระวัง อีกคนหนึ่งเป็นเด็กจากหมู่บ้านนอกเมืองที่ไปเที่ยวริมแม่น้ำกับเพื่อนๆ เพื่อเล่นโคมที่ทำเอง
สามคนนี้ล้วนว่ายน้ำไม่เป็น หรือพูดได้ว่าเพราะเหตุผลบางอย่างทำให้ขยับไม่ได้แม้ว่ายน้ำเป็น ทั้งหมดตกน้ำแล้วสำลักจนทรมาน ทว่าช่วงเวลาเฉียดตายนั้นกลับมีแสงสีเขียวเลือนรางใต้น้ำไหลมา พาตนเองส่งถึงฝั่งและรอดตายมาได้
เด็กคนหนึ่งในนั้นที่ตกน้ำแปลกที่สุด เขาเล่าว่าตอนนั้นพวกเขาออกจากหมู่บ้าน วิ่งไปเล่นที่ริมแม่น้ำนอกหมู่บ้าน ตอนปล่อยโคมดอกไม้ที่ทำเองเห็นโคมดอกไม้ประณีตงดงามอย่างยิ่งอยู่บนผิวแม่น้ำ มองแล้วเหมือนกับสลักลายต้นไม้และดอกไม้ แม้เทียนบนนั้นดับไปแล้ว ทว่าเมื่อเทียบกับโคมดอกไม้ทำจากกระดาษหญ้าของพวกเขาเอง โคมนั้นเป็นนกไฟและอีกาอย่างแท้จริง
เด็กๆ คิดหาวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งโคมดอกไม้ที่อยู่ไกลออกไปบนผิวแม่น้ำในทันที ทว่าโคมดอกไม้ลอยไปตามกระแสน้ำเรื่อยๆ พวกเขาตามไปโดยตลอด สุดท้ายถึงช่วงห่างจากฝั่งมากแล้ว โคมดอกไม้นั่นหยุดอยู่บนวัชพืชน้ำ เด็กทั้งหลายจึงคิดดึงขึ้นมาจากตรงนั้น
ปรากฏว่าเด็กคนหนึ่งเหยียบหินที่นูนขึ้นจากฝั่ง จับมือสหายไว้แล้วยื่นตัวไปดึงมา เมื่อคว้าโคมดอกไม้ได้กลับรู้สึกถึงแรงดึงสายหนึ่ง ทำให้เขาตกน้ำในทันที สหายบนฝั่งเกือบถูกลากลงไปด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นเด็กคนนั้นรู้สึกว่าวัชพืชน้ำพันขา อีกทั้งพันอยู่ลึกมาก เดิมทีเขาว่ายน้ำเป็น ทว่าก็ยังคงสำลักน้ำเข้าปากอยู่หลายครั้ง สุดท้ายเขาลืมตามองในน้ำ มองเห็นเงาร่างน่ากลัวผมยาวเหยียดมีตุ่มทั่วตัว เด็กคนนั้นที่ตกใจกลัวแทบแย่ได้แต่ตะเกียกตะกายเพราะทำอะไรไม่ถูก
ตอนนั้นเองมีแสงสีเขียวเข้ามาใกล้ ใต้น้ำสั่นสะเทือนครั้งหนึ่ง เขารู้สึกว่าเท้าได้รับแรงส่งและก้นคล้ายกับนั่งลงบนอะไรสักอย่าง ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำได้ในทันที อีกทั้งส่งเขาจนถึงฝั่งด้วย ตนเองปีนขึ้นฝั่งร่วมกับเพื่อนลากขึ้นไป ขึ้นฝั่งได้สำเร็จอย่างทุลักทุเล
คนในหมู่บ้านของเด็กคนนั้น โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ต่างก็เชื่อกันหมด สิ่งที่เด็กหลายคนเจอน่าจะเป็นเทพวารี หรือเรียกกันอีกชื่อว่าพรายน้ำ ส่วนแสงสีเขียวสายนั้นเป็นเทพแม่น้ำวสันต์ที่มาช่วยเหลืออย่างแน่นอน ลำบากให้พ่อแม่ของเด็กคนนั้นไปคารวะเทพแม่น้ำด้วย
จากนั้นทั้งสามคนล้วนคิดว่าเป็นเทพแม่น้ำวสันต์ที่ช่วยตนเองไว้ ทั้งไปเองและไปพร้อมกับบิดามารดา นำของเซ่นไหว้ไปกล่าวขอบคุณที่ศาลเทพแม่น้ำ
แน่นอนว่าหลี่จินไหลไม่ได้ถามแค่สามคนนี้ ยังถามคนที่ตกน้ำอีกหลายคนด้วย พวกเขาต่างก็เป็นชาวประมงที่แม้ว่ายน้ำเป็นแต่ก็ยังได้รับความช่วยเหลือเพราะโชคเข้าข้าง คนตกแม่น้ำวสันต์ในแต่ละปีไม่รู้มีมากมายเท่าไหร่ อย่างไรเสียคนที่ได้ชื่อว่าถูกเทพแม่น้ำช่วยไว้จริงๆ ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
หนึ่งในสามคนนี้คุณสมบัติเท่าเทียมกัน นั่นก็คือเห็นแสงสีเขียวใต้น้ำในขณะที่สติพร่าเลือน และสามคนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่มีคนอยู่ด้วยน้อย หรืออย่างน้อยรอบข้างก็ไม่มีคนที่มีช่วยสามารถช่วยชีวิตได้
ทว่าชายคนนั้นแทบจะแน่ใจได้ว่าสิ่งที่ช่วยคนเหล่านั้นไม่ใช่เทพแม่น้ำวสันต์ หรือก็ไม่ใช่เทพแม่น้ำเอง แต่เป็นปลาเทพในแม่น้ำ
ฤดูใบไม้ผลิปีก่อน หลี่จินไหลไปเยี่ยมญาติและจัดงานเลี้ยงแต่งงานให้กับตระกูลเว่ยผู้มั่งคั่งในอำเภออันต้าแห่งจังหวัดชิงลู่ เคยเห็นรูปปั้นไม้รูปปลาหลีฮื้ออยู่ที่โถงบรรพบุรุษในบ้านพวกเขา หลังจากสอบถามโดยละเอียดแล้วถึงรู้ว่าไม่ใช่ปลาหลีฮื้อ กลับเป็นปลาชิงฮื้อ แต่ไม่ได้บอกว่าเคารพมันไปทำไม
ต่อมาผู้อาวุที่มีความใกล้ชิดกับตระกูลเว่ยเล่าเรื่องหนึ่งให้เขาฟังที่โต๊ะอาหาร บอกว่าเมื่อสิบหรือยี่สิบปีก่อนคุณชายรองของพวกเขาเคยประสบเรื่องน่าอัศจรรย์ หลังจากเมาสุราแล้วตกน้ำก็ถูกปลาเทพตัวหนึ่งในแม่น้ำวสันต์ช่วยไว้ จากนั้นได้พบเซียนกลางไอหมอกระหว่างทางไปเที่ยวเล่น
ผู้อาวุโสไม่ได้ล่ารายละเอียดขณะเจอเซียนเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่แน่ใจ ทว่าเรื่องปลาเทพช่วยคนยังคงจำได้แม่น อีกทั้งหลังจากนั้นเล่าว่าเพราะเซียนชี้แนะ ตระกูลเว่ยจึงตั้งรูปสลักปลาชิงฮื้อไว้ที่โถงบรรพบุรุษ
หลี่จินไหลแน่ใจมากว่าตระกูลเว่ยแห่งอำเภอต้าอันรุ่งเรืองราบรื่นตลอดหลายปีมานี้ นับว่าเงินทองไหลมาเทมา เขาฟังจบแล้วรู้สึกว่าโชคลาภของตระกูลเว่ยต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
บังเอิญที่หลี่จินไหลได้ยินเรื่องคนตกแม่น้ำวสันต์แล้วได้รับการช่วยเหลือที่จังหวัดชุนฮุ่ยอยู่หลายครั้ง ทำให้เขาสนใจในทันที ขบคิดหลายตลบสอบถามอยู่เรื่อยๆ เขายิ่งมายิ่งแน่ใจว่าเรื่องที่ได้ยินในตระกูลเว่ยเป็นความจริง ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น
หลี่จินไหลรู้จักนักพรตเก่งกาจคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่จังหวัดชุนฮุ่ย เล่ากันว่าแม้แต่ผู้สูงศักดิ์ที่เมืองหลวงก็จำต้องเคารพนักพรตผู้นี้อยู่หลายส่วน ก่อนหน้านี้หลี่จินไหลไปขอเคล็ดลับความมั่งคั่งจากนักพรตผู้นั้น ทว่านักพรตผู้นั้นบอกว่าตนเองเป็นเพียงผู้ฝึกปราณฝึกเซียน ไม่สามารถช่วยเขาได้
แต่ครั้งนี้หลี่จินไหลมาเยี่ยมเยียนนักพรตผู้นั้นด้วย ‘ความจริงใจ’ อีกครั้ง เมื่อพูดเรื่องปลาเทพและขอร้องดูสักครั้ง นักพรตผู้นั้นผ่อนลมหายใจ เห็นแก่ ‘ความจริงใจ’ จึงมอบเวทให้เขาอย่างหนึ่ง อีกทั้งเรื่องบางอย่างอย่างละเอียดด้วย
ดังนั้นหลี่จินไหลที่เดิมทีว่ายน้ำเป็นจึงสร้างสถานการณ์ในแม่น้ำยามค่ำคืน หวังให้ปลาเทพมาช่วยเหลือ
…
“ช่วยด้วย…มีใครมาช่วยคนหรือไม่ มีคนตกน้ำ…!”
เสียงร้องแหลมของหญิงสาวดังไปไกลเหนือแม่น้ำวสันต์ที่เงียบสงบ ส่วนชายที่อยู่ในน้ำตะเกียกตะกายอย่างหนัก ความจริงแล้วเขาใช้เท้าออกแรงตะเกียกตะกายอย่างแท้จริง ถึงขนาดดื่มน้ำเข้าไปหลายคำ
แม้ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ทว่าอากาศยังคงหนาวมาก ผู้คนสวมเสื้อผ้าไม่บาง ชายผู้นี้ไม่คิดว่าใส่เสื้อผ้าลงน้ำแล้วจะเกะกะเช่นนี้ จึงเหมือนกับถูกลูกเหล็กถ่วงร่างอย่างไรอย่างนั้น
“เร็ว รีบตะโกนเร็ว เร็ว…”
“ได้ๆ ช่วยด้วย มาช่วยคนตกน้ำเร็ว…!”
หญิงสาวตะโกนจนสุดเสียง ถึงขนาดนี้เรือประมงแขวนไกลๆ หัวหันหัวเรือแล่นมาทางนี้ ทว่าดูแล้วอยู่ไกลมาก
ซ่า…ซ่า…
บุรุษผู้นั้นมือเท้าแข็งไปหมด พยายามวักน้ำตลอดเวลา เสื้อผ้าบนกายหนักเหมือนเหล็กแล้ว
“แค่กๆๆ…อึก…”
เขาดื่มน้ำเข้าไปอีกหลายคำ ทว่าตอนนี้เขาแทบประคองสติและแรงกายไว้ไม่อยู่แล้ว
“มะ ไม่ไหวแล้ว…ข้าต้องขึ้นไป ข้า ข้าต้องขึ้นไป!”
ชายในน้ำว่ายน้ำด้วยแรงทั้งหมด เมื่อว่ายน้ำเข้าไปใกล้เรือประดับโคมข้างกายแล้วถึงยื่นมือไป คิดจับกาบเรือเอาไว้ ทว่าเรี่ยวแรงไม่เพียงพอให้เขากระโจนตัวจากในน้ำให้ได้ระดับความสูงที่แน่นอน และกาบเรือของเรือประดับโคมก็ไม่นับว่าต่ำมาก เขาจับกาบเรือไม่ได้เสียอย่างนั้น ทำได้เพียงคลำใต้ท้องเรือด้านข้าง
“เสี่ยวอวี้ เร็ว ดึงข้าขึ้นเร็ว!”
เขาร้อนใจมาก ศีรษะจมลงในน้ำแล้ว แกว่งมือคิดขึ้นเรืออย่างต่อเนื่อง ดีดตัวอยู่ในน้ำหลายครั้งกลับเสียแรงกายที่เดิมทีล้ำค่ามากไปยิ่งกว่าเดิม
“เอ๋? จับมือข้า จับไว้!”
หญิงสาวบนเรือเริ่มร้อนใจแล้ว นางมองออกว่าเขาอยู่ในสภาพร่อแร่ แต่นางกลับกลัวน้ำมาก ขดตัวอยู่ริมเรือยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับกาบเรือไว้แน่นขนัด มือของทั้งสองคนสัมผัสกันอยู่หลายครั้ง ทว่าลื่นทุกครั้งไป
“ใช้ไม้พาย ใช้ ไม้พาย!”
บุรุษผู้นั้นร้อนใจสุดขีด หญิงสาวยิ่งตระหนกขึ้นตามไปด้วย นางคว้าไม้ไผ่ข้างๆ พยายามอยู่ครู่หนึ่งถึงยื่นไปยังทิศทางที่ถูกต้อง ทว่าเกือบถูกชายที่คิดว่าตนเองคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้แล้วดึงลงน้ำ ทำเอานางตกใจรีบปล่อยไม้พายทิ้ง
ชายที่เพิ่งขึ้นจากน้ำได้ไม่เท่าไหร่ตกลงน้ำอีกครั้งเสียงดัง ‘ตูม’ อีกทั้งสำลักน้ำยกใหญ่ แรงกายยิ่งใกล้ถึงจุดเยือกแข็ง
อยากคว้าไม้ไผ่ไว้ แต่ไหนเลยจะมีแรงพอ
“เร็ว โยน โยนโต๊ะเก้าอี้ลงมาหน่อย ข้า ข้าจะไม่ไหวแล้ว…”
ตอนนี้เขาลนลานแล้วจริงๆ ทว่าไร้เรี่ยวแรงพูดออกมาให้เป็นประโยชคที่สมบูรณ์
หญิงสาวบนเรือลนลานยิ่งกว่าชายใต้เรือ เมื่อได้ยินชัดแล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องโดยสารของเรือประดับโคม เหลียวซ้ายแลขวาเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วยกขึ้นมา
นางวิ่งไปที่กาบเรือข้างนอกอย่างร้อนรน แรงตีน้ำของอีกฝ่ายผ่อนลงกว่าเมื่อครู่นี้มากแล้ว แต่เห็นหญิงสาวหยิบเก้าอี้ไม้ออกมาก็เกิดความหวังขึ้นมาเล็กๆ ตอนนี้ในสมองไหนเลยยังมีปลาเทพอะไรอยู่ เก้าอี้ไม้ตัวนั้นต่างหากที่เป็นของช่วยชีวิต
“เร็ว รีบโยนให้ข้า…”
หญิงสาวจึงรีบโยนเก้าอี้ลงน้ำไป ทว่า…
เสียง ‘ปัก’ ดังขึ้น เก้าปี้ไม้กระแทกหน้าผากหลี่จินไหลเข้าพอดิบพอดี ดวงตาสองข้างของเขาขาวโพลน จมดิ่งลงใต้น้ำในแนวดิ่ง
“อ๊า…คุณชายหลี่! คุณชายหลี่…ช่วยด้วย…”
หญิงสาวบนเรือส่งเสียงร้องแหลมด้วยความตกใจกลัว เสียงแจ่มชัดยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้หลายเท่าตัว
วินาทีที่หลี่จินไหลถูกเก้าอี้กระแทก ในใจเขาคิดว่า ‘ชีวิตจบสิ้นแล้ว!’
แต่เขาจมลงใต้น้ำได้ไม่นานเท่าไหร่ ใต้ร่างมีเงาแสงสีเขียวว่ายน้ำเข้ามาใกล้ จากนั้นดันร่างเขาลอยขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างช้าๆ
เขาหมดสติไปแล้ว หญิงสาวบนเรือลากบุรุษที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยน้ำคนหนึ่งไม่ไหวอย่างชัดเจน ดังนั้นเสียง ‘โครม’ ดังขึ้น หยดน้ำสาดกระเซ็น ชายผู้นั้นถูกโยนขึ้นเรือประดับโคมแล้ว
“คุณชายหลี่ คุณชายหลี่!”
หญิงสาวเห็นคลื่นที่ผิวแม่น้ำเริ่มสงบลง จึงวิ่งไปดันร่างและตีเขาด้วยอารามตกใจทำอะไรไม่ถูก
“แค่ก…แค่กๆๆ…”
หลี่จินไหลคายน้ำออกมาหลายคำ ยังไม่ได้สติเต็มที่อย่างชัดเจน ทว่าตัวสั่นงันงกตามสัญชาตญาณ
จี้หยวน ไป๋ฉี ไปจนถึงเต่าเฒ่าในน้ำล้วนมองไปทางนั้น เห็นปลาชิงฮื้อที่อยู่ใต้น้ำช่วยคนเสร็จแล้วว่ายน้ำกลับมา
“ฮ่าๆ เป็นละครฉากหนึ่ง”
จี้หยวนกล่าวเสียงเรียบ