ตอนที่ 552 ถ้ามาช้านิดเดียว ผลที่ตามมาคงน่ากลัวเกินจินตนาการ
ตอนที่ 552 ถ้ามาช้านิดเดียว ผลที่ตามมาคงน่ากลัวเกินจินตนาการ
หลินเซี่ยยังคงกังวลเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตของหยางหงเสีย เพราะเฉินเจียซิ่งเป็นคนโลเล หลายปีก่อนเขาไปที่ร้านอาหารกับเพื่อน และปล่อยให้เสิ่นเสี่ยวเหมยอดีตภรรยาของเขากระวนกระวายและเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับสามี ถ้าเฉินเจียซิ่งยังไร้จิตสำนึกเช่นนั้นต่อไป สุดท้ายเขาและหยางหงเสียก็ต้องหย่ากันอยู่ดี
ก่อนหน้านี้หลินเซี่ยต้องการพูดคุยเรื่องนี้กับเฉินเจียเหอ แต่ตอนนี้เขาผล็อยหลับไปแล้ว
วันต่อมา เฉินเจียซิ่งโทรไปที่บริษัทเพื่อลาป่วย จากนั้นขอให้หัวหน้าบอกหยางหงเสียว่าตนเป็นหวัดและต้องการพักผ่อนหนึ่งวันเพื่อที่หล่อนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเขา
หยางหงเสียแทบจะไม่มีโอกาสพูดคุยการเป็นการส่วนตัวกับเฉินเจียซิ่งว่าครอบครัวของหล่อนไม่ต้องการสินสอดห้าร้อยหยวน และการที่เฉินเจียซิ่งลางานทำให้หล่อนไม่สบายใจมากกว่าเดิม
หล่อนคิดเสมอว่าการเรียกเงินสินสอดเป็นการกดดันเฉินเจียซิ่ง
เมื่อผู้เฒ่าเฉินเห็นว่าเฉินเจียซิ่งยังอยู่ที่บ้านในตอนเช้า ชายชราจึงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เจียซิ่ง ทำไมวันนี้แกถึงลา? เมื่อคืนแกไปที่ไหนมา? แกกำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว ช่วยทำตัวให้เป็นผู้เป็นคนหน่อยได้ไหม?”
เฉินเจียซิ่งรู้สึกละอายใจจนไม่กล้ามองหน้าชายชรา
“ปู่ครับ ผมก็ต้องไปชวนเพื่อนมาแต่งงานน่ะสิ ผมอายุเท่าไหร่แล้ว? ก่อนหน้านี้ผมกลับบ้านดึกบ่อยเหรอ?”
บางทีอาจเป็นการเชื่อมโยงทางสายเลือด เพราะเมื่อคืนนี้พี่ชายและน้องชายของเฉินเจียซิ่งมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขา ทั้งสองคนจึงโทรติดต่อเขาให้วุ่น
ปกติแล้วถ้าเขาไม่กลับบ้าน ก็ไม่มีใครรู้
เมื่อคืนนี้เขากลัวมาก บาดแผลก็ยังไม่หายดี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องทายาบ่อย ๆ จึงไปทำงานไม่สะดวก ดังนั้นเขาต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บให้เร็วที่สุด ไม่อย่างงั้นเขาจะแต่งงานและเข้าเรือนหอได้อย่างไร?
เฉินเจียซิ่งเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอน ผู้เฒ่าเฉินมองตามหลานชายขึ้นไปชั้นบนพลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ขณะคิดในใจว่าตนจะปล่อยให้เฉินเจียซิ่งย้ายออกไปจากบ้านหลังจากแต่งงานดีหรือไม่
ในวันนี้ผู้เฒ่าเฉินและภรรยามีนัดหมายกับครอบครัวหลานสะใภ้และคุณแม่เซี่ย จากนั้นพาหลานสะใภ้ไปเที่ยวที่จุดชมวิวเมืองไห่เฉิง
ตอนนี้พวกเขาจึงเตรียมตัวก่อนออกไปเจอกันที่ร้านอาหาร
พวกเขาตกลงกันทางโทรศัพท์เมื่อวานนี้ว่าจะไปเจอที่ร้านอาหารของเซี่ยเหลย จากนั้นทั้งห้าคนก็จะออกไปเที่ยว
ผู้เฒ่าทั้งห้าคนออกไปเดินเล่นรอบ ๆ เมืองอย่างสบาย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีลูกหลานติดตามไปด้วย
ผู้เฒ่าตระกูลเฉินทั้งสองคนเดินทางไปถึงร้านอาหารตั้งแต่เช้า เนื่องจากยังไม่มีลูกค้า เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงจึงเตรียมอาหารให้พวกเขา
ผู้เฒ่าเฉินถามว่า “เสี่ยวเซี่ย อาโจวและคนอื่น ๆ ยังไม่มาถึงเหรอ?”
“อาเฉิน เซี่ยไห่กำลังไปรับและน่าจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ครับ”
เซี่ยเหลยดึงเก้าอี้ออกมาให้พวกเขา “เชิญทั้งสองคนนั่งก่อนครับ”
ไม่นานรถของเซี่ยไห่ก็แล่นมาจอดที่หน้าร้าน
เซี่ยไห่เดินลงไปเปิดประตูรถ คุณแม่เซี่ยลงจากรถเป็นคนแรก นางสวมกระโปรงแบบจีน เสื้อคลุม และพันคอด้วยผ้าพันคอลายดอกไม้ ซึ่งดูทันสมัยไม่น้อย
จากนั้นผู้เฒ่าโจวและภรรยาก็เดินลงจากรถ
คุณย่าเฉินเห็นชุดของคุณแม่เซี่ยจึงพูดชมด้วยรอยยิ้ม
“โอ้โห วันนี้คุณพี่สวยจังเลยค่ะ”
คุณแม่เซี่ยใช้สเปรย์จัดแต่งทรงผมของเซี่ยอวี่จัดแต่งทรงผมตามใจชอบ นอกจากนี้ยังใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอีกด้วย
เซี่ยเหลยรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของแม่
แม่ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตของตนเองก็เพราะเขา
หลังจากย้ายมาอาศัยที่เมืองไห่เฉิง นางก็ช่วยดูแลร้านอาหารมาตลอด
ความจริงพวกเขาไม่อยากให้หญิงชราต้องมาทำงานเพราะแก่มากแล้ว แต่นางไม่ยอมฟังและบอกกับครอบครัวว่าการอยู่ที่บ้านเฉย ๆ มันน่าเบื่อเกินไปและต้องการทำงาน
คุณย่าเฉินยิ้มและพูดหยอกล้อว่า “พี่แต่งตัวเหมือนเศรษฐินีเลยนะเนี่ย”
พูดจบก็เดินเข้าไปหาคุณแม่เซี่ยอีกครั้ง
ผู้เฒ่าโจวสวมเสื้อคลุมแบบจีน ขณะที่คุณยายโจวสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่โคร่ง เพราะเคยชินกับการแต่งตัวแบบนี้
“รีบเข้ามาในร้านกันเถอะครับ”
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเตรียมซี่โครงหมูตุ๋นและซุปหัวไชเท้าเพื่อบำรุงร่างกายผู้เฒ่าทั้งหลาย แถมเขายังเตรียมเครื่องเคียงหลายอย่างไว้ด้วย
อาหารมากมายถูกจัดวางไว้บนโต๊ะแล้ว
เซี่ยไห่นั่งลงและเตรียมตัวรับประทานอาหาร
ขณะที่พวกผู้เฒ่ากำลังกินข้าว หลินจินซานก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับอ้าปากหาว
เขามักตื่นนอนเวลานี้ทุกวัน จากนั้นเดินมาที่ร้านอาหารเพื่อกินบะหมี่หนึ่งชาม และเมื่อทุกคนในร้านกำลังยุ่ง เขาก็จะช่วยเก็บชามและนำขยะไปทิ้ง
เซี่ยไห่เห็นหลินจินซานเดินเข้ามาจึงถามว่า
“จินซาน ตื่นแล้วเหรอ?”
“ตื่นแล้วครับ” ท่าทางของหลินจินซานดูหงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวาเล็กน้อย เขาเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนพูดว่า “เมื่อคืนผมไปหาพี่เจียซิ่งเลยเหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ”
“เมื่อคืนนี้ผมกลัวจริง ๆ”
ไม่ มันน่าตลกต่างหาก
หลังจากแยกย้ายกันที่ห้องเต้นรำ แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่เขาก็ยังนอนไม่หลับ
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์น่าขายหน้าของเฉินเจียซิ่ง เซลล์สมองของเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและไม่รู้สึกง่วงสักนิด
เมื่อพูดถึงเฉินเจียซิ่ง เซี่ยไห่ก็มองหลินจินซานพลางถามด้วยความสงสัย
“จริงสิ เจียซิ่งเป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนนี้ไปเจอเขามาใช่ไหม? เขาไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดกับเสิ่นเสี่ยวเหมยใช่ไหม?”
เมื่อคืนนี้เซี่ยไห่ต้องการโทรหาเฉินเจียซิ่ง แต่หลังจากรอสายอยู่นานและไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะรับสาย เขาจึงเข้านอน
เขาอยากรู้มากว่าเกิดอะไรกับเด็กเหลือขอคนนั้น เฉินเจียซิ่งถูกมอมเหล้าแล้วถูกเสิ่นเสี่ยวเหมยลากไปที่โรงแรมสำเร็จไหม?
เฉินเจียเหอช่วยเขาได้ทันเวลาหรือเปล่า?
เมื่อเห็นว่าสองผู้เฒ่าตระกูลเฉินกำลังอารมณ์ดีและกำลังจะออกไปเดินเล่นข้างนอก พวกเขาก็ไม่ควรถูกเรื่องของเฉินเจียซิ่งกวนใจ
ไม่อย่างนั้นเสิ่นเสี่ยวเหมยคงจะบีบน้ำตาและเรียกร้องให้เฉินเจียซิ่งรับผิดชอบหล่อนอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นตระกูลเฉินจะต้องตกอยู่ในความโกลาหล แล้วชายชราจะมีอารมณ์ออกมาเดินเล่นได้อย่างไร?
เซี่ยไห่ถามหลินจินซานว่ามีอะไรจะพูดหรือไม่ เพราะสีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกอย่างมาก “เรื่องเมื่อคืนนี้เสี่ยงเกินไป ถ้าเราไปช้าแค่สองวินาที ผลที่ตามมาคงน่ากลัวเกินจินตนาการแน่นอน”
พอหลินจินซานสาธยายว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่ากลัวมาก ผู้เฒ่าเฉินจึงหยุดรับประทานอาหารและมองหลินจินซานด้วยความประหลาดใจก่อนถามว่า
“จินซาน เกิดอะไรขึ้น? เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเจียซิ่งเหรอ?”
เมื่อเห็นท่าทางสับสนของชายชรา หลินจินซานจึงตอบว่า “คุณปู่เฉินกับคนอื่น ๆ ไม่รู้เหรอครับ?”
“รู้อะไร?” สีหน้าของผู้เฒ่าเฉินเปลี่ยนเป็นน่าเกรงขามทันที “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ช่างมันเถอะครับ ไม่มีอะไรหรอก เจียซิ่งยังสบายดี”
ในเมื่อคนในครอบครัวของเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดอะไรมากไม่ได้
“ตอบมาว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้เฒ่าเฉินมองหลินจินซานด้วยสายตาจริงจัง หลินจินซานรู้สึกกดดันอย่างมากและไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่วินาทีเดียว ขณะที่เซี่ยไห่มองเขาด้วยความสนใจก่อนพูดว่า “พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ทำไมนายถึงพูดไม่ได้ล่ะ? เจียซิ่งเป็นอะไรไป? นายเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลินจินซานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเล่าว่าเมื่อคืนนี้เฉินเจียซิ่งเกือบถูกทำลายความเป็นชาย
ตอนนี้ผู้เฒ่าทั้งหลายพากันมีสีหน้าพิลึกพิลั่น
แน่นอนว่ามันคือสีหน้าหวาดกลัว
ผู้เฒ่าโจวและคนอื่น ๆ แทบไม่เชื่อหูตนเอง พวกเขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงอย่างเสิ่นเสี่ยวเหมยจะกล้าถึงขนาดคิดร้ายกับเฉินเจียซิ่ง
มุมปากของเซี่ยไห่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กระตุกเล็กน้อย
สุดท้ายแล้วเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นเหตุการณ์ที่พิสดารมาก
เพราะหล่อนคนนั้นคือเสิ่นเสี่ยวเหมย!
หล่อนเล่นตุกติก
เขาคิดว่าเฉินเจียซิ่งจะเสียความเป็นชายไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
ใบหน้าของผู้เฒ่าเฉินซีดเซียว ขณะที่หลินจินซานรู้สึกกลัว
ก่อนหน้านี้เหล่าผู้เฒ่ายังรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกไปเดินเล่น แต่เขาทำลายความสนุกของทุกคนเพราะความปากสว่างของตนเอง
ดังนั้นเขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออธิบายว่าทักษะของหมอเย่ไป๋สามารถเชื่อถือได้ ได้ตรวจอาการแล้วว่าเฉินเจียซิ่งว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
เฉินเจียซิ่งยังคงสบายดี ดังนั้นผู้เฒ่าเฉินจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขามักบ่นอยู่เสมอว่าเฉินเจียซิ่งหูเบาและถูกหลอกลวงได้ง่าย
หลินเซี่ยมาที่ร้านตัดผมเพื่อทำงาน แต่ทันทีที่เธอเข้าไปในร้าน ก็รู้สึกว่าบรรยากาศในร้านอาหารแปลกประหลาดไป
ทำไมสีหน้าของพวกผู้ใหญ่… ถึงเป็นอย่างนี้? โกรธก็ไม่ใช่ ภูมิใจก็ไม่เชิง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่พอใจที่เหล็กไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า
เธอเหลือบมองเซี่ยไห่เพราะคิดว่าเขากำลังถูกทุกคน ‘วิจารณ์’
“กินข้าวกันหรือยังคะ?” หลินเซี่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงดูไม่มีความสุขกันขนาดนี้ล่ะ?”
“มีความสุขสิ ย่าจะไม่มีความสุขได้ยังไง?” คุณย่าเฉินรีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลังกินอาหารเย็นเสร็จ เราไปเดินเล่นกันเถอะ เซี่ยเซี่ย มานั่งกินด้วยกันสิ”
หลินเซี่ยตอบ “ฉันยังไม่หิวค่ะ กินข้าวเช้าเสร็จแล้วต้องรีบไปทำงานที่ร้านตัดผมต่อ”
หลินเซี่ยหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ผู้เฒ่าเฉิน “คุณปู่คะ ฉันขอเลี้ยงน้ำตอนคุณออกไปเดินเล่นหนึ่งร้อยหยวน คุณปู่เก็บไว้เถอะนะคะ”
ผู้เฒ่าเฉินยิ้มพลางปฏิเสธ “พวกเรามีเงินแล้ว”
“ใช่ พวกเรามีเงินแล้ว เธอไม่ต้องเลี้ยงเราหรอก”
“มันคือความตั้งใจของฉัน ดังนั้นทุกคนต้องรับไว้ ซื้อน้ำกับขนมตอนออกไปเดินเล่นกันค่ะ”
หลินเซี่ยยืนกราน ผู้เฒ่าเฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน
“โอ้ เห็นกันหรือเปล่า หลานสะใภ้ให้เงินค่าขนมตอนเราออกไปเดินเล่นล่ะ”
“อืม เป็นเด็กที่พึ่งพาได้จริง ๆ”
ผู้เฒ่าเฉินเก็บเงินอย่างมีความสุข ขณะที่ผู้ใหญ่คนอื่น ๆ มองหลินเซี่ยด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่
หลินเซี่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณย่า พวกคุณจะไปกันเองหรือให้อารองขับรถไปส่งคะ?”
คุณแม่เซี่ยตอบ “พวกย่าจะขับรถไปกันเองน่ะจ้ะ เราแก่แล้วเลยจะค่อย ๆ เดินกันตามอัธยาศัย คนหนุ่มสาวจะได้ไม่เสียเวลาและรู้สึกอึดอัด พวกเราจะเดินช้า ๆ ไม่รีบแน่นอน”
“ค่ะ ถ้าอย่างงั้นก็เดินช้า ๆ หน่อยนะคะ”
หลินเซี่ยกลับไปที่ร้านตัดผมหลังจากกำชับพวกผู้ใหญ่
หลังรับประทานอาหารเสร็จ เซี่ยไห่ก็กลับไปทำงาน ขณะที่หลินจินซานอยู่ช่วยงานที่ร้านอาหาร
เซี่ยเหลยเห็นว่าเมื่อคืนนี้หลินจินซานพักผ่อนไม่เพียงพอจึงบอกให้เขาไปหลับต่อ แต่หลินจินซานมีน้ำใจและบอกว่าจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะหมดเวลามื้อเที่ยง
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นไปส่งอาหารให้ชุนฟางและคนอื่น ๆ ก่อนเถอะ” เซี่ยเหลยกังวลเหี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของหลินจินซานมาก ดังนั้นทุกคนในครอบครัวจึงบอกให้เขาไปส่งอาหารให้ชุนฟางทุกวัน โดยหวังว่าหล่อนจะสัมผัสถึงความในใจของเขาได้
หลังจากที่ผู้เฒ่าเฉินได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฉินเจียซิ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาก็รู้สึกโกรธมาก แต่ก็โล่งใจที่หลานชายไม่เป็นอะไร และเสิ่นเสี่ยวเหมยก็ถูกตำรวจจับกุมได้แล้วเมื่อคืนนี้
หลังจากปรับอารมณ์ เขาก็ลุกขึ้นก่อนนำครอบครัวของลูกสะใภ้และแม่เซี่ยไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งในเมืองไห่เฉิง
รอกลับถึงบ้านเมื่อไร คืนนี้เขาจะต้องลงโทษไอ้เด็กเหลือขอเฉินเจียซิ่งให้ได้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จินซานรู้โลกรู้จริงๆ เรื่องของนายไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้วล่ะเจียซิ่ง
ไหหม่า(海馬)