บทที่ 223 ไม่เห็นต้องทุ่มเทถึงเพียงนี้เลย
บทที่ 223 ไม่เห็นต้องทุ่มเทถึงเพียงนี้เลย
หลิงเยว่ไม่เชื่อว่าตนเองจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ นางจึงออกไปหาอาจารย์ท่านอื่นอีกหลายท่าน ให้พวกเขาเหล่านั้นช่วยตรวจสอบสมุนไพรจูมั่วกลายพันธุ์ที่ใช้วิชาพรางตัวต้นนี้ แล้วก็ได้ข้อสรุปเช่นเดิมว่าสมุนไพรนี้คือสมุนไพรจูมั่วอย่างแน่นอน!
ในที่สุดหลิงเยว่จึงเดินทางไปหาท่านอาจารย์ใหญ่ด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย พลางยื่นสมุนไพรจูมั่วให้เขาด้วยมือสั่นเทา
“ท่านอาจารย์ใหญ่ตรวจสอบให้ข้าด้วยว่านี่คือสมุนไพรจูมั่วของแท้หรือไม่?”
ท่านอาจารย์ใหญ่สัมผัสได้ถึงเสียงที่สั่นเครือของหลิงเยว่ แล้วคิดในใจว่า สิ่งนี้เป็นเพียงสมุนไพรธรรมดาต้นหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงได้ตื่นเต้นถึงเพียงนี้ หรือว่ามันจะเป็นสมุนไพรหายากเช่นนั้นหรือ?
ระหว่างที่ท่านอาจารย์ใหญ่ตรวจสอบสมุนไพรจูมั่ว หลิงเยว่รู้สึกราวกับหัวใจจะวาย มือของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลัวว่าเขาจะจับพิรุธได้ ทว่าอีกใจก็กลัวว่าเขาจะจับพิรุธไม่ได้เช่นกัน
หากถูกจับได้ นางจะแก้ตัวอย่างไร?
แม้ว่าเหล่าศิษย์พี่ของนางรู้ความลับนี้ดี แต่สำหรับท่านอาจารย์ใหญ่… ไม่เหมือนกับคนที่อยู่ในสำนักเดียวกัน
ท่านอาจารย์ใหญ่ใช้ความพยายามเพื่อตรวจสอบสมุนไพรจูมั่วอย่างละเอียด แล้วใช้แก่นปราณอัคคีกลั่นด้วยตนเอง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับเถาวั่ง
อาจารย์ใหญ่หันไปมองหลิงเยว่ตาขวาง “เจ้ามาล้อเล่นกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
เสียแรงที่เขาตั้งใจตรวจสอบให้!
“นี่คือสมุนไพรจูมั่ว… จริงหรือเจ้าคะ?”
ท่านอาจารย์ใหญ่มองหลิงเยว่ด้วยสายตาเหยียดหยาม แล้วดีดเจ้าก้อนกลมสีดำนั้นทิ้งไป
เมื่อหลิงเยว่เห็นเช่นนั้น นางจึงรีบวิ่งตามไปเก็บก่อนที่มันจะกลายเป็นละออง ท่านอาจารย์ใหญ่เป็นคนประเภทใดกัน? แม้ว่าจะเป็นเพียงสมุนไพรจูมั่วธรรมดา แต่มันก็มีค่าถึงหนึ่งหมื่นหินวิญญาณระดับล่างเชียวนะ! ท่านช่างไม่รู้จักความลำบากของผู้อื่นเสียเลย!
เมื่อถูกหลิงเยว่หยามเกียรติและมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ท่านอาจารย์ใหญ่ “…”
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็คือเขา!
ท่านอาจารย์ใหญ่ผู้ทรงเกียรติของสำนักกลั่นโอสถแห่งนี้ไม่เคยจริงจังกับสมุนไพรวิญญาณขั้นต่ำเช่นนี้มาก่อน สุดท้ายกลับไม่ได้สิ่งใดเลยเพราะเจ้าเด็กหัวดื้อคนนี้!
หลิงเยว่ประคองเจ้าก้อนกลมสีดำอันล้ำค่ากลับไปยังห้องบำเพ็ญ แต่นางยังไม่หายหงุดหงิด เพราะแม้แต่ตัวนางเองก็ตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดปกติด้วยเช่นกัน
หลิงเยว่ครุ่นคิดหาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายจึงเอนตัวลงอ่านตำราเคล็ดวิชา ด้วยคิดว่าภายในนั้นคงมีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อค่ำคืนผ่านไป หลิงเยว่ก็ยังไม่พบว่าปัญหาอยู่ที่ใด
“ระบบ เจ้าสามารถส่งเสียงได้หรือไม่?”
[จิ๊บ!]
หลิงเยว่ “…”
[ปลดคาถาพรางตัวออก]
ระบบเองก็ประเมินความสามารถของหลิงเยว่ต่ำเกินไป ไม่นึกว่าสมุนไพรวิญญาณที่นางปลูกจะเชื่อฟังนางถึงเพียงนี้
แน่นอนว่าหลิงเยว่ได้ลองปลดคาถาพรางตัวออกแล้ว ทว่ากลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
[ใช้สุราสร้างรากฐานก่อน แล้วค่อยปลดคาถาพรางตัวออก]
หลิงเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้คำตอบที่ถูกต้อง โชคดีที่พวกมันไม่ได้เสื่อมถอยลงจริง ๆ ไม่เช่นนั้นสมุนไพรวิญญาณทั้งแปลงคงสูญเปล่าเป็นแน่!
เพียงแต่หลิงเยว่ที่ไม่ได้กลับเข้าไปในมิติของหัวหน้าตะขาบมรกตมาหนึ่งวัน กลับพบว่าภายในหนึ่งวันต้นอ่อนที่ปลูกขึ้นมานั้นดูเหมือนจะเติบโตขึ้นมาอีกเล็กน้อย แม้ว่ามิติเล็ก ๆ ของตะขาบมรกตจะสามารถย่นระยะเวลาการเจริญเติบโตของสมุนไพรวิญญาณได้ แต่ก็ไม่น่าจะเติบโตได้เร็วปานนั้น
“คายออกมาเถิด สมุนไพรวิญญาณต้องการสารอาหาร”
เจ้าตะขาบมรกตตัวน้อยสั่งการให้ฝูงตะขาบมรกตคายของเหลวสีเขียวลงบนพื้น
หลิงเยว่คลี่คลายปัญหานั้นได้แล้ว แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
“อย่าคายน้ำลายออกมาเลย! หยุดเถิด!”
หลิงเยว่พยายามห้ามอย่างสุดแรงแต่กลับไม่มีประโยชน์ และยิ่งทำให้ฝูงตะขาบมรกตพ่นน้ำลายอย่างแข็งขันกว่าเดิมเสียอีก
จนกระทั่งหัวหน้าตะขาบมรกตต้องออกมาห้ามเอง ฝูงตะขาบมรกตเหล่านั้นจึงได้หยุดพฤติกรรมสิ้นเปลืองและไร้ความสุภาพนั้น
ทว่าพอหัวหน้าตะขาบมรกตถอนจิตวิญญาณออกไป ฝูงตะขาบมรกตก็เริ่มกระทำเช่นเดิมอีกครั้ง
หลิงเยว่ไม่สามารถควบคุมพวกมันได้เลย นางจึงตัดสินใจเร่งการเจริญเติบโตให้สมุนไพรวิญญาณโตเต็มที่โดยเร็ว
สองเดือนผ่านไป…
ผืนดินที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง กลายเป็นที่ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณแปลกตาหลากสีสัน ฝูงตะขาบมรกตบินวนอยู่เหนือสมุนไพรวิญญาณอย่างมีความสุข
ในทางกลับกัน ขณะที่สมุนไพรวิญญาณที่งอกงามแข็งแรง หลิงเยว่กลับผอมแห้งราวกับต้นไม้ที่ตายแล้ว ร่างกายผ่ายผอมจนดูไม่เหมือนมนุษย์
“เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อย เจ้า… ไม่เห็นต้องทุ่มเทถึงเพียงนี้เลย” เมื่อหัวหน้าตะขาบมรกตเห็นหลิงเยว่ในสภาพนี้ก็รู้สึกตกใจมาก
หลิงเยว่ยกริมฝีปากขึ้นอย่างไร้อารมณ์ จากนั้นร่างกายของนางพลันล้มลงไปข้างหลัง และนอนหลับไปในทันที
หลิงเยว่หลับอยู่นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน หนังหุ้มกระดูกและรอยคล้ำใต้ตานั้นเริ่มหายไปแล้ว ร่างกายดูสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว
สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้หลิงเยว่หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตแดนลับสัตว์อสูร
“ตื่นแล้ว! เจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยฟื้นแล้วขอรับท่านหัวหน้า!”
“ข้าบอกแล้วว่าน้ำลายของพวกเราได้ผลดียิ่งนัก! ดูเถิด เลี้ยงเจ้ามนุษย์เปราะบางน้อยจนอ้วนท้วนสมบูรณ์กว่าเดิมเสียอีก”
“แบบนี้ดูดีกว่าเยอะ ก่อนหน้านี้ข้าเห็นแล้วขนลุกไปทั้งตัวเลยนึกว่านางเป็นซากศพ!”
หลิงเยว่ปัดฝูงตะขาบมรกตที่เกาะอยู่ทั่วร่างออกไป แล้วสะบัดน้ำลายสีเขียวบนตัวของนางออก สมุนไพรวิญญาณพิเศษกลายพันธุ์ถูกเร่งการเจริญเติบโตให้โตเต็มที่แล้ว แต่ยังเหลือขั้นตอนสุดท้ายอีก นั่นก็คือการพรางตัวให้พวกมันดูเหมือนสมุนไพรวิญญาณธรรมดา แต่ก่อนจะถึงขั้นนั้น นางต้องลองทำตามวิธีที่ระบบแนะนำเสียก่อน
หากทำสำเร็จ นางค่อยทำการพรางตัวครั้งใหญ่
เมื่อคิดได้ดังนั้น จิตใจของหลิงเยว่พลันห่อเหี่ยวอีกครั้ง…
สิบวันต่อมา หลิงเยว่ก้าวออกจากห้องบำเพ็ญพร้อมกับไหสุราสร้างรากฐาน
“อาจารย์หลิง ท่านสำเร็จการฝึกแล้ว!” เซี่ยซิ่นรุ่ยที่เฝ้าอยู่หน้าห้องบำเพ็ญตื่นเต้นจนน้ำตาคลอ หากไม่เกรงกลัวหัวหน้าตะขาบมรกต เขาคงบุกเข้าไปตั้งนานแล้ว
จากที่หลิงเยว่กล่าวไว้ว่าจะบำเพ็ญเป็นเวลาสามเดือน แต่ตอนนี้กลับเกินกำหนดไปถึงครึ่งเดือน
นางหายหน้าไปจากฝูงชนนานกว่าสามเดือน ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญที่มอบหินวิญญาณไว้ คิดว่าหลิงเยว่หลบหนีไปเสียแล้ว พวกเขายืนอยู่หน้าประตูสำนักโวยวายให้ท่านอาจารย์ใหญ่คืนเงินแก่พวกเขา
“นั่นคือเงินเก็บทั้งหมดของข้า พวกเราไว้ใจท่าน และสำนักถึงไม่ได้คิดหน้าคิดหลังยอมมอบหินวิญญาณให้นางไป แต่ท่านกลับทรยศเรา!”
“จานโจว คืนหินวิญญาณพันล้านมา!”
“ข้าไม่เอาสุราอะไรนั่นแล้ว รีบคืนหินวิญญาณมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“ไม่เอาจริงหรือ?” หลิงเยว่ปรากฏตัวราวกับภูตผีอยู่ด้านข้างของชายหนุ่มที่มอบหินวิญญาณให้กับนางเป็นคนแรก
“น่าเสียดาย เดิมทีไหแรกควรเป็นของเจ้า”
เนื่องจากการปรากฏตัวของหลิงเยว่ การประท้วงหน้าสำนักเมื่อครู่พลันเงียบสงบลงอย่างน่าประหลาดใจ สายตาของพวกเขาจับจ้องไหสุราที่หญิงสาวคนนั้นกอดอยู่ในอ้อมแขน…
สัญชาตญาณบอกพวกเขาว่าไหสุราใบนี้จะต้องบรรจุสุราปราบมารที่พวกเขาเฝ้าฝันถึงอย่างแน่นอน!
ชายหนุ่มผู้นั้นกลับคำทันที “ข้าจะต้องได้อยู่แล้ว เมื่อครู่ที่ตะโกนไปก็แค่เบื่อหน่ายเพียงเท่านั้น”
“ถูกต้อง ท่านก็รู้ว่าการบำเพ็ญทั้งวันมันน่าเบื่อเพียงใด พวกข้าแค่อยากหาอะไรทำ…”
ผู้บำเพ็ญหญิงที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มฟาดแส้ของนางในทันที
อย่ามัวแต่พูดเลย นี่มันช่างน่าชื่นใจยิ่งนัก!
“หลีกไป! ฝีมือดาบของข้ายังดีกว่าเจ้าเสียอีก!”
“กระบวนท่ากระบี่ของข้าเก่งกว่า”
ฝูงชนนำศาสตราวุธมาร่ายรำกันอย่างโกลาหล
หลิงเยว่ “…”
สุราปราบมารแค่ไหเดียว ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญได้ปลดปล่อยตัวตนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“ครั้งนี้มีแค่ร้อยไหเท่านั้น ในครั้งหน้าข้าจะพยายามเพิ่มเป็นสองถึงสามร้อยไห”
หลิงเยว่หยิบสมุดบันทึกออกมา แล้วเริ่มเรียกชื่อผู้บำเพ็ญ
ชายหนุ่มคนแรกที่ได้ยินชื่อก็หยุดคลั่งทันที พร้อมกับขานรับเสียงดังลั่น จนเกือบทำให้หลิงเยว่หูอื้อแล้ว
คาดว่าเขาคงเรียนวิชาสิงโตคำรามมากระมัง?
เพียงชั่วพริบตาผู้ที่ได้สุราปราบมารชุดแรกต่างวิ่งหนีไปอย่างว่องไวราวกับกลัวว่าตนจะถูกแย่ง
น่าเสียดาย ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งเร็วแค่ไหน ทว่าหนทางเหล่านั้นกลับถูกขวางเอาไว้เสียก่อน
“พวกท่านทั้งหลาย หนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านหินวิญญาณระดับกลาง เพียงพอซื้อสุราปราบมารในมือของท่านได้หรือไม่?”
แม้จะเป็นการสอบถาม แต่เหล่าผู้บำเพ็ญรอบข้างกลับรุกเข้ามาใกล้ ทำให้ความสุขของชายหนุ่มเมื่อครู่นั้นหายไปราวกับกำลังจมดิ่งลงสู่หุบเหว
เขาไม่สามารถขายได้ด้วยหรือ?
แน่นอนว่าไม่ได้ แต่… ในฐานะผู้บำเพ็ญและยังเป็นผู้ฝึกดาบด้วย หากไม่ลองต่อสู้สักตั้งคงจะพูดได้ไม่เต็มปาก
“ไม่ขาย!” ในขณะที่ร้องปฏิเสธไปนั้น ดาบในมือของเขาก็ฟาดฟันผู้บำเพ็ญที่อยู่ตรงหน้าทันที
การต่อสู้อันรุนแรงระหว่างผู้บำเพ็ญหนึ่งต่อหกจึงได้เริ่มต้นขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ภายในเมืองฝู่ซางก็เกิดการต่อสู้ขึ้นทั่วทุกสารทิศเช่นกัน