บทที่ 144 มกุฎราชกุมาร 3
“ไม่หรอกครับ ถ้าเป็นการเรียกของท่านมกุฎราชกุมารแล้วละก็”
ไวเคานต์ตอบออกมาราวกับจะบอกว่าให้รอนานเท่าไรก็จะรอ
(ไม่ได้หวังเลย แถมเรียกมาเองตามใจชอบอีก)
“อืม ใจเด็ดดีนะเนี่ย ในฝ่ายพันธมิตรมีคนที่แสดงท่าทีอย่างเจ้าเพิ่มขึ้นอยู่”
ไวเคานต์อยู่ฝ่ายพันธมิตร นั่นก็เพราะว่าตระกูลฮามิลตันเป็นตระกูลทหารเลยอยู่ฝ่ายพันธมิตร อเลนยืนอยู่ด้านหลังของไวเคานต์ที่นั่งอยู่ เขาพยายามไม่สบตากับมกุฎราชกุมาร ถึงมกุฎราชกุมารจะมองมาที่อเลนแวบหนึ่งแต่คงคิดว่าเป็นแค่คนรับใช้ตัวเล็กๆคนหนึ่ง ก่อนจะละสายตา
ในระหว่างนั้นอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ อเลนไม่จำเป็นต้องไปช่วย เลยยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆไวเคานต์ในฐานะคนรับใช้
ทั้งที่เรียกมากลับไม่ยอมพูดธุระเอาแต่กินอาหาร ถึงเหล่าอัศวินจะจ้องมาที่ไวเคานต์แต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อาจจะรอสัญญาณจากมกุฎราชกุมารอยู่ก็ได้
ไวเคานต์เองก็ไม่พูดอะไรและกินอาหารต่อไป ไม่รู้ว่ามกุฎราชกุมารแอบวางยาพิษไว้ในอาหารหรือเปล่า แต่ใช้ “สารพัดเครื่องเทศ” สกิลปลุกพลังของพืช C ที่ป้องกันสถานะผิดปกติให้กับไวเคานค์ไปแล้ว
เท่านี้ไวเคานต์คงไม่ถูกลอบสังหารด้วยพิษ
“เมื่อวานตกใจมากเลย นี่ไม่ได้สั่งสอนยอดนักดาบคุเรนะเลยเหรอ? เห่าเก่งจนนึกว่าเป็นหมาซะแล้ว แต่ยอดนักดาบโดเบิร์กก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย ไม่พูดอะไรแล้วกลับไปที่สนามรบเนี่ย”
จู่ๆ มกุฎราชกุมารก็พูดเกี่ยวกับเรื่องที่คุเรนะพูดเสียงดังออกมาต่อหน้าเขา
อนึ่ง หลังจากที่ยอดนักดาบโดเบิร์กอัดคุเรนะจนยับที่งานประลองก็นั่งเรือเหาะเวทมนตร์กลับไปที่สนามรบโดยไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงพิธีปิด สภาพอย่างนี้คงไม่ได้ทักทายมกุฎราชกุมารเป็นแน่
จากที่ริโฟลพูด โดเบิร์กมีท่าทีอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว
มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับยอดนักดาบโดเบิร์กที่เกิดจากทาสติดที่ดิน ทั้งเรื่องที่มีชื่อเสียง, เรื่องตอนได้รับตำแหน่งมาร์ควิส ดูเหมือนต่อให้โดนเรียกไปที่พระราชวังก็ไม่สนใจและเอาแต่กวัดแกว่งดาบในสนามรบ
“ยอดนักดาบคุเรนะ ถูกชุบเลี้ยงมาอย่างอิสระครับ เพราะอย่างนั้นต้องขอประทานอภัยด้วยที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่เหมาะสมกับฝ่าบาทออกไป”
ไวเคานต์โค้งศีรษะให้กับมกุฎราชกุมารทั้งที่ยังนั่งอยู่
“อย่างนี้นี่เอง แผนการของไวเคานต์มันดีสินะ ทั้งที่อยู่ปี 1 แต่กลับชนะเลิศได้ ในอดีตไม่เคยมียอดนักดาบที่ทำอย่างนี้ได้เลย”
“ขอบพระคุณมากครับ”
“เรื่องการดูแลแคว้นเองก็ราบรื่นดีสินะ”
“หา? ชะ ใช่แล้วครับ”
“มียอดนักดาบเกิดขึ้นภายในแคว้น แถมขุดมิธริลและถอนรากถอนโคนคู่ปรับได้อีก มันดูราบรื่นนะเนี่ยเนี่ย ฉันเองอยากรู้แล้วสิว่าทำไงถึงเป็นอย่างนี้ได้”
“ถอนรากถอนโคนที่ว่าเนี่ย……”
ไวเคานต์สูญเสียลูกชายอย่างมิไฮ สำหรับเขาแล้วมันไม่ถือว่าราบรื่น แต่ไม่อยากจะแตะตรงจุดนี้ ส่วนเรื่องที่บอกว่าถอนรากถอนโคนก็ปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก
“โห นั่นสินะ ถ้าพูดให้รู้กันไปทั่วว่าถอนรากถอนโคนสภาพของตระกูลแกรนเวลคงดูไม่ดีสักเท่าไร การแสดงตรงห้องเข้าเฝ้าเนี่ยช่างสุดยอดไปเลย”
“ไม่ได้แสดงครับ”
“ไม่ใช่งั้นเหรอ?”
มกุฎราชกุมารจ้องมองไวเคานต์ ทันใดนั้นเหล่าอัศวินก็ย่อตัวลงเล็กน้อยจนแทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง ราวกับกำลังรอคำตอบของไวเคานต์
“……”
“ช่างเถอะ แต่ถึงอย่างนั้นฝ่าบาทก็บ้าไปแล้ว ที่ทำสัญญากับขุนนางชั้นผู้น้อยที่สิ้นตระกูลไปแล้วเนี่ย เพราะใครไม่รู้ไปเป่าหูทำให้ฉันต้องตามน้ำไปด้วย”
อเลนคิดว่าความเงียบน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
มกุฎราชกุมารส่ายหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ ดูเหมือนหนังสือสัญญาที่ทำกับคีลจะรู้ไปถึงมกุฎราชกุมารแล้ว
ไวเคานต์เตรียมการกับเหล่าขุนนางไว้แล้ว ว่าต่อให้เปลี่ยนกษัตริย์แต่ยังต้องทำตามเนื้อหาในหนังสือสัญญาอยู่
“กระผมก็ลงนามด้วยเหมือนกัน คิดว่าถ้าเขาทำหน้าที่ได้เสร็จสมบูรณ์จะให้ความช่วยเหลือในการฟื้นฟูแคว้นคาร์เนลอย่างสุดกำลังครับ”
“โห ถ้าทำได้สำเร็จสินะ”
(หือ?)
มกุฎราชกุมารยิ้มออกมราวกับกำลังรอคำพูดนั้น
“อยากจะกล่าวอะไรหรือครับ?”
“จริงอยู่ที่หนังสือสัญญาเขียนไว้ว่าราชอาณาจักรสามารถเลือกสถานที่ได้ ฉันเองกำลังลำบากใจเพราะเกียมูทบอกว่าอยากได้คนที่ค่อนข้างกระตือรือร้น เลยว่าจะให้ไปพร้อมกับยอดนักดาบอยู่”
มกุฎราชกุมารโล่งใจและบอกว่ากำลังดีเลย คงตั้งใจจะส่งยอดนักดาบที่กระตือรืนร้นไปสนามรบ
ดูเหมือนจะตรวจสอบมาแล้วว่าคีลกับพวกคุเรนะอาศัยอยู่ด้วยกัน ในหนังสือสัญญาบอกว่าราชอาณาจักรสามารถเลือกสนามรบที่จะส่งไปได้
(โอ๊ะ! จะส่งไปสนามรบที่ยากๆงั้นเหรอ? ขออันที่ยากที่สุดเลยนะ)
ถึงอเลนจะพยายามข่มอารมณ์ในขณะที่ยืนอยู่ด้านหลังไวเคานต์ แต่เขาก็เผลอหลุดยิ้มออกมาครู่หนึ่ง
อเลนกำลังกลุ้มใจอยู่ 1 เรื่อง สิ่งนั้นคือกำหนดการที่จะต้องไปสนามรบในอีก 2 ปีครึ่งให้หลังอาจจะเป็นหมันก็ได้ จากสถานการณ์ในตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น
จากที่ริโฟลเล่าให้ฟัง จากการปรากฏตัวของผู้กล้าเริ่มทำให้สถานการณในสนามรบเริ่มพลิกกลับ แค่อยู่ที่ป้อมปราการพวกมอนสเตอร์ก็ไม่บุกเข้ามา กองทัพของจักรวรรดิกับผู้กล้า ใช้เวลาแค่ 2 – 3 ปีในการทวงดินแดนของราชอาณาจักรลาสตูรีที่โดนกองทัพจอมมารทำลายล้างไปแล้วเมื่อ 60 ปีก่อนกลับมา
แน่นอนว่ากองทัพจักรวรรดิไล่โจมตีเหล่ามอนสเตอร์ และมุ่งหน้าต่อไปทางเหนือเรื่อยๆ ป้อมปราการที่อยู่ทางทิศใต้แทบจะไม่มีการต่อสู้ เลยคิดว่าอาจจะต้องมองเส้นขอบฟ้าเหนือป้อมปราการทุกวันเป็นเวลา 3 ปีก็ได้
มีผู้คนที่ลำบากเพราะกองทัพจอมมารอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าไม่มีแสดงว่าอาจจะไม่เคยเจอก็ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้อเลนอยากจะไปสนามรบที่ยากที่สุดอยู่
ครั้งนี้มกุฎราชกุมารบอกว่าจะส่งไปสนามรบที่โหดที่สุด ไม่ใช่ป้อมปราการที่ว่างงาน และอยากจะให้คีลไปพร้อมกับคุเรนะ
“……อะ เอาจริงหรือครับ”
“แน่นอน ลูกสาวของเจ้าก็ต้องไปด้วยไง”
“กะ กรุณารอก่อนครับ!!”
มกุฎราชกุมารยืนขึ้น ทันใดนั้นเหล่าอัศวินที่เตรียมตัวอยู่ด้านหลังมกุฎราชกุมารก็ตอบสนอง แต่เขายกมือขึ้น ทำให้เหล่าอัศวินกลับไปอยู่ในท่าเดิม
“ตกใจอะไร พวกเจ้าที่อยู่ฝ่ายพันธมิตรทำหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงก็พอแล้วนี่? ยังไงก็เป็นสนามรบที่ต้องมีใครหลั่งเลือดอยู่แล้ว”
ดูเหมือนมกุฎราชกุมารอยากจะบอกว่า ถ้าอยากให้ความร่วมมือกับพันธมิตร 5 ทวีปก็ส่งลูกสาวของตัวเองออกไปซะ
ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะช่วยคีลได้หากส่งไปสนามรบที่โหดร้าย ต่อให้มียอดนักดาบแต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตในสนามรบเยอะอยู่ดี ยอดนักดาบคนอื่นของราชอาณาจักรนอกจากโดเบิร์กเองก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว คงอยากแสดงให้เห็นว่าถ้าเข้าร่วมฝ่ายพันธมิตรแล้วมาแว้งกัดตัวเองจะต้องตายอย่างอนาถเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้น หากส่งยอดนักดาบที่เพิ่งถือกำเนิดไปยังสนามรบที่โหดร้ายแล้วละก็ ถือเป็นหลักฐานการให้ความร่วมมือกับจักรวรรดิได้เป็นอย่างดี
(โห มกุฎราชกุมารหัวดีเหมือนกันนะเนี่ย เอาละต้องเคลื่อนไหวแล้ว ต้องหาทางให้ไวเคานต์ยอมเรื่องนี้ให้ได้)
“อย่างนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเพิ่มผลงานเลยนี่ครับ”
อเลนพึมพำออกมาเล็กน้อยเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงที่นี่ เสียงนั้นมันเบามากจนได้ยินแค่ไวเคานต์
“หา!? อเลน!!”
“กรุณาวางใจได้เลยครับ ผมจะปกป้องท่านเซซิลเอง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็ฯต้องถอยครับ”
ทำการปลอบไวเคานต์ที่หวั่นวิตกอย่างรุนแรง
“หือ? เป็นอะไรไป? จะว่าไป เจ้าคนผมดำ……”
มกุฎราชกุมารมองมาทางอเลนที่พูดกับไวเคานต์เบาๆด้วยความสงสัย และเหมือนจะนึกอะไรออก คนที่อยู่ด้านหลังไวเคานต์คือเด็กชายผมดำที่พูดคุยกับคุเรนะบ่อยๆตรงลานประลองเมื่อวาน
ที่น่าแปลกใจมีแค่ผมสีดำเท่านั้น ทำให้เพิ่งนึกออกตอนนี้
“ครับ ฝ่าบาทมกุฎราชกุมาร ทรงเรียกมีอะไรหรือครับ”
โค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อทักทาย
“เจ้าอยู่ที่ลานประลองด้วยสินะ”
“ถ้าเมื่อวันก่อน ไปดูเพื่อนอย่างยอดนักดาบคุเรนะอยู่ครับ”
“เพื่อนงั้นเหรอ?”
“ครับ อยู่ปาร์ตี้เดียวกับคุเรนะครับ โดยผมเป็นหัวหน้าปาร์ตี้ ทั้งท่านเซซิลและคีลเองต่างก็เข้าปาร์ตี้ของผมครับ”
(มีโดโกร่าอยู่ด้วย)
“หัวหน้าปาร์ตี้เหรอ ไม่ใช่ยอดนักดาบแต่เป็นเจ้าเหรอ”
“ครับ มีแค่พลังอย่างเดียวทำหน้าที่ของหัวหน้าไม่ได้หรอกครับ”
“โห ถ้างั้นเรื่องที่ฟังในครั้งนี้คิดเห็นยังไงบ้าง?”
ยังคงพูดกับอเลนต่อ
“ถ้าทำตามที่ฝ่าบาทมกุฎราชกุมารบอก คิดว่าน่าจะมีโอกาสเพิ่มผลงานได้เยอะอยู่ครับ”
“พรวด”
ไวเคานต์ที่กินอาหารอยู่ถึงสำลักออกมา
“เฮ้ย ไวเคานต์ โสโครก”
มกุฎราชกุมารเตือนไวเคานค์ที่สำลักออกมา ตอนนี้ไวเคานต์อาจจะคิดแล้วก็ได้ว่ามาคนเดียวน่าจะดีกว่า
“นั่นสินะ ฉันต่างกับราชาคนปัจจุบัน ถึงไม่คิดจะให้ทาสติดที่ดินมาเป็นมาร์ควิส แต่ถ้าจบการศึกษาแล้วสร้างผลงานเยอะๆจะพิจารณาให้ก็แล้วกัน เอาไหม?”
มกุฎราชกุมารยิ้มออกมาราวกับจะบอกว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“หา!?”
(เอาละๆ เท่านี้ก็คงเห็นเป็นคนรับใช้ที่อยากจะใช้ยอดนักดาบในการสร้างผลงานแล้ว)
อเลนโค้งศีรษะลงอย่างมาก ก่อนจะจบการสนทนาระหว่างเขากับมกุฎราชกุมาร หลังจากนั้นอีกสักพักการรับประทานอาหารก็สิ้นสุดลง ไวเคานต์กับอเลนเลยกลับบ้าน
ด้วยเหตุนี้เลยพูดคุยเกี่ยวกับแต่ละเรื่องที่ได้คิดเอาไว้