ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 283 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-10

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 283 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-10

แต่ก่อนเขาไม่เคยร้องไห้

แม้แต่ตอนที่เห็นขอทานน้อยร้องไห้เมื่อครู่นี้ เขาก็ไม่รู้ว่านั่นคือสิ่งใด

แต่เวลานี้ตัวเขาเองกลับร้องไห้เสียแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่เงียบๆ

ในใจรู้สึกยินดียิ่ง

เพราะเวลานี้หวาหนงนับได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งแล้ว

เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและมีตัวตนอยู่แท้จริง

เป็นมนุษย์ไม่เพียงต้องยิ้มเป็น แต่ยังต้องร้องไห้เป็นด้วย

หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปย่อมไม่นับว่าเป็นมนุษย์

เพราะการที่คนมีชีวิตอยู่จะต้องมีความคิดอ่าน

เมื่อมีความคิดอ่านก็ยากเลี่ยงความเจ็บปวดใจได้

แม้จะเป็นความเจ็บปวดใจที่ไม่ได้มีเหตุอันควรก็ยังนับเป็นความเจ็บปวดใจ

นี่ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งจะต้องมี

เวลานี้หวาหนงร้องไห้แล้ว

บ่งบอกว่าเขามีความเจ็บปวดใจ

แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจความหมายแฝงของความเจ็บปวดใจ แต่อย่างน้อยเขาก็มีความรู้สึกนี้แล้ว

เมื่อมีความเจ็บปวดใจย่อมมีความเป็นห่วงด้วยเช่นกัน

เขากำลังเป็นห่วงหลิวรุ่ยอิ่ง

เป็นห่วงเขาผู้ซึ่งเป็นอาจารย์อา

เขาเห็นตัวตนเดิมของตัวเองในดาบจิ้งเหยา

ตัวตนที่เย็นชาและไร้มนุษยธรรม

ก่อนหน้านี้กระบี่ของเขาก็ไม่มีความรู้สึกด้วยเช่นกัน

เขาใช้กระบี่เพียงเพื่อเอาชีวิตรอด

ไม่ได้มีพัฒนาการใดๆ

ด้วยเหตุนี้กระบี่ของเขาจึงว่องไวยิ่ง

แต่ภายหลัง เขาออกมาจากป่าเขา

ได้มีอาจารย์ ได้มีอาจารย์อา

เป็นครั้งแรกที่สัมผัสถึงความสุขที่ได้สมาคมกับมนุษย์

สัมผัสถึงความอบอุ่นที่มีคนห่วงใย

ด้วยเหตุนี้กระบี่ของเขาจึงมีพันธนาการ

เมื่อกระบี่มีพันธนาการย่อมต้องช้าลง

เพราะพันธนาการก็คือจุดอ่อนและภาระ

เมื่อบนกระบี่มีภาระ แล้วจะว่องไวเช่นก่อนหน้านี้ได้อย่างไร

ในชั่วอึดใจที่กระบี่ของหวาหนงกระทบถูกดาบของจิ้งเหยา

เขาก็ได้รู้สึกถึงความรู้สึกที่แสนคุ้นเคย

นั่นคือความรู้สึกเช่นเดียวกับที่ตนเองเคยใช้กระบี่

แต่เวลานี้เขาได้เรียนรู้ที่จะร้องไห้แล้ว

เมื่อกระโดดออกจากขอบเขตนั้นและหันกลับมาดู

จึงพบว่าดาบของจิ้งเหยาก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

เดิมทีนั้น ดาบของจิ้งเหยาเกิดมาเพียงเพื่อล้างแค้น

ดาบโค้งเล่มนี้สามารถนำชัยชนะไม่สิ้นสุดมาให้แก่เขา

และสิ่งที่ชัยชนะเหล่านี้แลกมาก็คือเกียรติยศและอำนาจ

ซึ่งเป็นต้นทุนจำเป็นที่เขาจะนำไปใช้ล้างแค้นได้

ด้วยเหตุนี้ในใจเขาจึงมีเพียงดาบหนึ่งเล่ม

แต่เวลานี้รูปร่างของดาบในใจเขาเล่มนั้นกลับเริ่มเลือนราง

เพราะการปรากฏตัวของหลิวรุ่ยอิ่ง ทำให้เขามีความรู้สึกที่นอกเหนือจากการแก้แค้นเป็นครั้งแรก

ความจริงแล้วดาบของจิ้งเหยายังคงเย็นยะเยือก

เพียงแต่หวาหนงสัมผัสไม่ได้

หลิวรุ่ยอิ่งกลับสัมผัสได้อย่างลึกล้ำ

กระทั่งเกิดเป็นภาพมายา

รู้สึกว่าตอนนี้คล้ายไม่ใช่ช่วงกลางของวสันตวสันตฤดู แต่เป็นช่วงกลางเหมันตฤดู

ต้นไม้ใบหญ้าล้วนถูกปราณดาบคมกริบฟาดฟันจนแหลกละเอียด

เป็นเช่นลมพายัพ

ที่โบกพัดไม่หยุด

ในรังสีของดาบนี้ ราวกับสามารถมองเห็นหยดน้ำที่กำลังก่อตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง

เหมันตฤดูมักเรียบง่าย

เพราะแต่ไรมาสีขาวก็เป็นสีที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นที่สุด

ในเหมันตฤดูย่อมไม่อาจหาสีอื่นที่อยู่ระหว่างฟ้าดินได้

สีขาวแสนบริสุทธิ์ทำให้คนสงบนิ่ง หลงลืมความร้อนใจและความวิตกกังวล

เมื่อสูดหายใจลึกๆ เอาอากาศแสนเย็นเฉียบเข้าไปคราวหนึ่ง

ก็จะสัมผัสได้ถึงความปลอดโปร่งที่ทำให้โล่งใจได้

และเมื่อมีไอสีขาวพวยพุ่งออกจากปากก็เป็นความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งในความเรียบง่ายนี้

ทว่าเหมันตฤดูกลับเป็นฤดูแห่งการแฝงเร้น

ทุกสรรพชีวิตแม้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวกระจ่างตา

แต่พวกมันกำลังรอคอยที่จะเบ่งบานหลังจากหิมะและน้ำแข็งละลาย

แม้จะเคร่งขรึมเย็นชา

แต่กลับทำให้คนทรหดและแข็งแกร่ง!

ในที่สุดมือของหลิวรุ่ยอิ่งก็กุมด้ามกระบี่เอาไว้แน่น

“ยามนี้ถึงเวลาแล้วหรือ”

จิ้งเหยาถาม

“ถึงแล้ว!”

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า

รังสีดาบของจิ้งเหยาคือเหมันตฤดู

ที่ต้องการปกคลุมทั้งผืนปฐพีภูผาลำน้ำ

แต่กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งคือชีวิตที่เฝ้าสั่งสมทีละน้อยอยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งนั้น

เขาออกกระบี่แล้ว!

ประหนึ่งแสงอรุณรุ่งในวันสุดท้ายของเหมันตฤดู!

แม้ฟ้ายังไม่เปลี่ยนเป็นสีฟ้า

ยังคงมีแต่ความมืดมัว

ทว่าเพียงตะวันแดงฉานโผล่ขึ้น

หิมะและน้ำแข็งก็จะเริ่มละลาย

ดวงตะวันแสนอบอุ่นเจิดจ้าทำให้พื้นปฐพีทั้งมวลได้บ่มเพาะและงอกเงยอย่างช้าๆ

ภูผาธาราละลาย

สรรพสิ่งตื่นจากฤดูจำศีล

หญ้าเขียวหยัดตัวตรง

ในที่สุดน้ำค้างก็สามารถกลิ้งไปมาได้อย่างอิสระ

ระลอกคลื่นบนผิวหน้าทะเลสาบเริ่มกระเพื่อมวงแล้ววงเล่า

กระแสน้ำอุ่นสายแล้วสายเล่าซัดเข้าฝั่งและแผ่ขยายออกไป

ดึงดูดให้มวลปักษาน้ำเข้ามาเลาะเล่นในทะเลสาบกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า

หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งค่อยๆ ชักกระบี่ออกมาแล้วก็ยกขึ้นเหนือศีรษะ

ทั่วใต้หล้าพลันเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาไร้ขีดจำกัด

ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังคงเติบโตและแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ

หากบอกว่าตอนที่เพิ่งชักกระบี่ออกมาเป็นเพียงตะวันอรุณแรกขึ้น

เช่นนั้นเวลานี้ก็คืออาทิตย์ยามวสันต์ลอยอยู่กลางฟ้า

ลมบูรพาโชยพัดผืนแผ่นดินอีกครา

ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าทั้งผืน

ทั้งยังเป็นสีฟ้าแสนปลอดโปร่ง

ราวกับอัญมณีจากต้นน้ำก้อนหนึ่ง

เมฆคล้อยก็เริ่มเคลื่อนไปทีละก้อนใหญ่ๆ

เสียงน้ำหลากในแม่น้ำยิ่งดังสนั่นรุนแรงขึ้น

เหมันตฤดูคล้ายเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา

ส่วนวสันตฤดูกลับค่อยๆ กลายเป็นนิจนิรันดร์

จิ้งเหยาสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่ง

เจตจำนงกระบี่นี้เปี่ยมชีวิตชีวาพลุ่งพล่านเช่นเพลิงโหมโชติช่วง

รังสีดาบของเขาเริ่มถดถอยลง

นั่นเพราะเหมันตฤดูช้าเร็วจะต้องถูกวสันตฤดูกลืนกินและเข้ามาแทนที่

นี่เป็นหลักการของธรรมชาติที่ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางได้

แต่เห็นชัดว่าจิ้งเหยาจะไม่ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปเช่นนี้

แม้เดิมทีเหมันตฤดูก็คือการแฝงเร้นชนิดหนึ่ง

เพราะเมื่อผันผ่านความหอมหวนของวสันต์และความร้อนระอุของคิมหันต์ไปแล้ว

เหมันต์จะเป็นฉากจบในหนึ่งปี

เฉกเช่นคนชราผู้หนึ่ง

แม้ดูไปแล้วจะผ่านโลกมามาก

แต่ในสองตากลับมีตะวันจันทราหมุนเวียน

ความลึกล้ำที่ฝึกปรือเมื่อพ้นผ่านแต่ละปี

ใช่ว่าวสันต์ที่เพิ่งเริ่มมีชีวิตใหม่จะเอาชนะได้โดยง่าย

เหมันต์ของจิ้งเหยา

สามารถรองรับอารมณ์ความรู้สึกทั้งมวล

เผชิญหน้าต่อความรุ่งโรจน์และโรยราโดยไม่สะทกสะท้าน

สำหรับเขาแล้ววสันต์เป็นเพียงความทรงจำช่วงหนึ่งในวัยเยาว์ก็เท่านั้น

แม้จะงดงามเช่นเคยฝันหาและจินตนาการ

แต่กลับไม่ควรค่าให้กังวล

หากให้การฝึกปรือชั่วชีวิตคือปีหนึ่งปี

เช่นนั้นเหมันต์จะสั่งสมความหลงใหลและการได้เสียมากี่มากน้อยแล้ว?

ภายใต้ใบหน้าแสนเยือกเย็น ไม่รู้ว่าแฝงไว้ด้วยแรงปะทุที่เก็บงำไว้มากน้อยเพียงใด

เขาเพียงสะกดความพลุ่งพล่านในใจเอาไว้ได้ก็เท่านั้น

แม้ไร้ซึ่งการอวดอ้างเกินจริงและความงดงามโดดเด่น

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถปะทุพลุ่งพลานขึ้นมาอีก

สีหน้าของจิ้งเหยาเย็นยะเยือก

เขาสาบานว่าต่อให้ต้องกระทำการขัดต่อฟ้าก็จะไม่มีทางปล่อยให้ความเหน็บหนาวรุนแรงนี้ถดถอยไปเด็ดขาด

จนใจนักที่ลิขิตฟ้ายากทัดทาน

โอกาสให้เป็นดั่งใจคนปรารถนาจะมีสักกี่ครั้ง?

หวาหนงยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง

ทางหนึ่งเป็นลมหนาวเย็นยะเยือกเข้ากระดูกดำ

กำลังบาดเฉือนผิวหนังของเขาไปทุกหนแห่ง

ทางหนึ่งคือแสงตะวันแสนอบอุ่น

สาดส่องเข้ามาในดวงใจเขาทีละน้อย

แม้เขาไม่ได้รู้สึกพึงใจใดๆ กับฤดูกาล

แต่เขากลับเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมชาติมากที่สุดในทั้งสามคน ณ ที่นี้

เขารู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาตินั้นไม่อาจละเมิด

ทั้งรู้ถึงผลลัพธ์หากทำสิ่งที่ขัดธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินในใจไปแล้ว

“ต่อให้เจ้ารอจนถึงโอกาสของเจ้า แต่ข้าจะไม่มีทางปล่อยเวลาของข้าไปเด็ดขาด!”

จิ้งเหยากล่าว

สองมือเขากดลงไปบนด้ามดาบ

“เราต่างเป็นผู้เด็ดเดี่ยว หากถ้อยคำนี้เจ้าพูดให้ข้าฟัง เช่นนั้นก็หาจำเป็นไม่ แต่หากเจ้าพูดให้ตัวเจ้าเองฟัง เพื่อสร้างกำลังใจและพลังให้ตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว ข้าก็สามารถกล่าวถ้อยคำนั้นออกมาให้งดงามยิ่งขึ้น ไม่แน่ว่าอาจมีประโยชน์กับเจ้ามากกว่า”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

น้ำเสียงเขาราบเรียบ

สีหน้าสงบ

และยามนี้ก็เป็นวสันตฤดูพอดี

เขาได้เปรียบเรื่องเวลา

หากการประมือของคนทั้งคู่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน

ในตอนจบ หัวของหลิวรุ่ยอิ่งจะต้องร่วงลงบนพื้นเช่นเดียวกับเม็ดทองคำของหวาหนงเมื่อครู่นี้ และไม่รู้ว่าจะกลิ้งไปทิศทางใด

แพ้ชนะพลิกผัน ชีพสืบไม่สิ้น

สรรพสิ่งเป็นหนึ่ง ไร้ขีดจำกัด

บทสรุปของคำพูดประโยคนี้ของหลิวรุ่ยอิ่ง ในที่สุดเขาก็ได้นำมาใช้กับตัวเองแล้ว

จะว่าไป เขาก็ต้องขอบใจขอทานน้อยคนเมื่อครู่นี้

และต้องขอบใจหวาหนง

หากก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องที่คนทั้งสองไม่ได้ประมือกัน

เขาจะเข้าใจหลักการนี้ได้อย่างไร

ต่อให้หิมะและน้ำแข็งจะแข็งแกร่งเพียงใด ท้ายสุดแล้วก็ต้องละลาย

แม้ยามวสันต์จะสดใสเบิกบาน ก็ต้องมีวันโรยราเสื่อมถอย

แต่อย่างน้อยมันก็คงอยู่เนิ่นนานกว่าหิมะเหมันต์

หนำซ้ำก็ยังมีคิมหันต์และสารทคั่นกลางอยู่ด้วย

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท