บทที่ 1349 ผลวิญญาณเต๋า
บทที่ 1,349 ผลวิญญาณเต๋า
พลังของข้อจำกัดที่ปกคลุมเทวาคารบรรลุเทพนั้นน่ากลัวเพียงใดน่ะหรือ?
เฉินซีเองก็ไม่อาจสัมผัสได้ ในตอนนี้จิตใจของเขาถูกกอดกุมไว้ด้วยความรู้สึกอันไม่คุ้นเคย ใบหน้าสุขุมบัดนี้แสดงชัดถึงความโกรธเกรี้ยวและความเกลียดชัง
ขณะที่เข้าใกล้ยอดของเทวาคารบรรลุเทพทีละขั้น ความรู้สึกเหล่านั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้ง ก็คล้ายว่าเขาได้จมอยู่ภายใต้ภวังค์นั้นแล้ว
ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกเช่นนี้ก็หาทำให้เฉินซีรู้สึกหวาดกลัว ชายหนุ่มไม่ได้ต่อต้านมันแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับความรู้สึกอันไม่คุ้นเคยที่มาจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้ อย่างน้อยเขาก็รู้ดีว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตน
ร่างสูงใหญ่สัมผัสได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและงุนงงของสืออวี๋และคนอื่น ๆ ที่จ้องมองมา แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายต่อคนเหล่านั้นอย่างไร จึงเลือกที่จะนิ่งไว้
ในตอนนี้ เขาค่อย ๆ สัมผัสได้ว่าตนกำลังจะเสียการควบคุมเหนือร่างกาย และไม่รู้ว่าจะต้านทานมันได้อย่างไร เฉินซีได้แต่ยอมจำนนไปเช่นนั้น
เท้าที่มั่นคงก้าวย่างไปเบื้องหน้าทีละนิดท่ามกลางสภาวการณ์ที่แปลกประหลาด
หากเปรียบเทียบกันแล้ว ชายหนุ่มคล้ายสับสนงุนงง และแปลกใจยิ่งกว่าสืออวี๋กับคนอื่น ๆ เสียอีก แต่เนื่องจากเขารู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้เกิดจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก จิตใจจึงสงบกว่าที่ควรจะเป็น
…
ซุนอู๋เหิ่นและคนอื่น ๆ สังเกตเห็นท่าทางประหลาดใจของอี้หรานเฟิง จึงมองตามสายตาของอีกฝ่ายไป สิ่งที่เห็นคือพวกสืออวี๋กำลังไล่ตามมาภายใต้การนำของเฉินซี ยิ่งไปกว่านั้น ยังเร็วกว่าความเร็วในปัจจุบันของพวกเท่าถึงสองเท่า!
นั่นทำให้ซุนอู๋เหิ่นและคนอื่น ๆ อดประหลาดใจด้วยความงงงวยขึ้นมาไม่ได้ พวกเขาสัมผัสได้ถึงความรีบเร่งอันยากจะอธิบายจากท่าทางของอีกฝ่าย
บนเทวาคารบรรลุเทพ ความแตกต่างเพียงก้าวย่างเดียวก็อาจทำให้พลาดโอกาสในการก้าวขึ้นสู่การเป็นเทพ ในตอนนี้เอง สืออวี๋และคนอื่น ๆ กำลังจะแซงหน้าตนไป แล้วไม่ให้พวกเขากังวลได้อย่างไร?
“อย่ามัวแต่ชักช้า! เร่งฝีเท้าเข้า!”
“ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด!”
“บัดซบเอ้ย! เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
สีหน้าของอี้หรานเฟิงและคนอื่น ๆ ผลัดสีมืดมน พวกเขาเลือกที่จะเงียบเสียงท่ามกลางเส้นคิ้วที่ขมวดปม ก่อนจะมุ่งความสนใจของตนไปยังเส้นทางบรรลุเทพที่อยู่ภายใต้ฝ่าเท้า
ทว่าความรู้สึกหมดหนทางและชิงชังก็ผุดขึ้นในจิตใจ ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใด ก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นต่อได้ พวกสืออวี๋ไล่ตามมาติด ๆ ก่อนจะขึ้นแซงพวกเขาได้ในที่สุด คนกลุ่มนั้นค่อย ๆ ทิ้งห่างกลุ่มของพวกตนออกไปไกลเรื่อย ๆ…
“เราควรลงมือหรือไม่?” เมื่อเห็นพวกสืออวี๋เคลื่อนตัวออกไปไกล หนึ่งในนั้นก็พลันรู้สึกไม่พอใจ และส่งเสียงคำรามเพื่อถามความเห็นคนอื่น ๆ
ชายผู้นั้นมีใบหน้าผอมแห้งเสียจนเบ้าตาลึกโบ๋จมลงไปในกะโหลก ศีรษะโล้นเหี้ยนไร้เส้นผม ริมฝีปากปากกว้างแบน เขามีนามว่าผางตู่ เป็นประมุขของนิกายสวนสัจธรรม หนึ่งในนิกายยุคแรกกำเนิด
“พวกเขาเป็นศิษย์ของตำหนักเต๋าหนี่หวา ต่อให้พวกเราสี่คนจะร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะรับมือได้” ซุนอู๋เหิ่นปัดความคิดนั้นทิ้งอย่างรวดเร็ว
“อาจไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนั้น ที่นี่คือเทวาคารบรรลุเทพซึ่งเต็มไปด้วยข้อจำกัดของพลังเทวะ แม้ว่าพวกเราจะเอาชนะพวกเขาไม่ได้ แต่นั่นก็เพียงพอจะขัดขาให้ช้าลงได้ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะสมปรารถนาแล้ว!” ชายวัยกลางคนในชุดหนังสัตว์ที่เปิดเผยมัดกล้ามพูดขึ้นอย่างเดือดดาล ร่างกายสีเข้มบึกบึนทรงพลัง ชื่อของเขาคือต้าวเหยา ประมุขแห่งนิกายเมฆาโลหิต หนึ่งในนิกายยุคแรกกำเนิด
คิ้วของซุนอู๋เหิ่นขมวดกันยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินทั้งผางตู่และต้าวเหยาพูดขึ้นด้วยมีเจตนาในการขัดขวางกลุ่มของสืออวี๋ พลางจับจ้องไปที่อี้หรานเฟิงที่นิ่งเงียบมาตลอดอย่างครุ่นคิด
ในกลุ่มคนทั้งสี่ อี้หรานเฟิงถือเป็นผู้นำมาตลอด ดังนั้นในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่แต่เพียงว่าเขานั้นจะเห็นด้วยความความคิดนี้หรือไม่
“อย่าลืมว่าซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวแห่งนิกายอำนาจเทวะอยู่ข้างหน้า แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่มีทางปล่อยให้พวกสืออวี๋ก้าวขึ้นไปบนยอดเทวาคารบรรลุเทพโดยไม่ทำอะไรหรอก” อี้หรานเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเนิบ
“ด้วยการนี้ พวกเขาก็จะเกิดความขัดแย้งกันอย่างนั้นสินะ?” ซุนอู๋เหิ่นเลิกคิ้วสูง “นั่นเป็นโอกาสที่ดี หากพวกเขาห้ำหั่นกัน เราก็สามารถอาศัยจังหวะนี้กอบโกยผลประโยชน์ได้ บางทีพวกเราอาจจะไปถึงยอดของเทวาคารบรรลุเทพตัดหน้าพวกเขา”
อี้เหรินเฟิงเหลือบมองเจ้าของเสียงอย่างชื่นชม “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
ผางตู่และต้าวเหยาเงียบไปทันทีที่อี้เหรินเฟิงแสดงความเห็น
…
ส่วนยอดของเทวาคารบรรลุเทพสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล มันเป็นพื้นที่ราบเก่าแก่ปกคลุมไปด้วยหมอกโกลาหล ทำให้มันเป็นดั่งภาพฝันอันเลือนราง ลึกลับ และน่าค้นหา
แรงปรารถนาอันร้อนแรงผุดพรายจากดวงตาของซุ่ยเหรินถิงเมื่อมองฉากตรงหน้า
เหลืออีกเพียงสิบแปดลี้เท่านั้น!
เมื่อข้าไปถึงยอดเทวาคาร ข้าก็จะสามารถค้นพบหนทางบรรลุวิถีเทพ!
กว่าจะมาถึงจุดนี้ ซุ่ยเหรินถิงต้องอดทนต่อแรงกดดันมหาศาล แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะไม่ธรรมดา แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากในการเผชิญกับแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวจากข้อจำกัดเหล่านี้
โดยเฉพาะยิ่งไต่สูงขึ้นไป แรงกดดันจากข้อจำกัดก็ยิ่งกล้าแกร่ง เขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เพื่อที่จะต้านทานแรงกดดันอันไร้รูปร่างนี้ ซุ่ยเหรินถิงจำต้องเกร็งตัวไว้ตลอดเวลา
“ศิษย์น้องเจี้ยง ส่วนใดของยอดเทวาคารบรรลุเทพที่เก็บหนทางบรรลุวิธีการเป็นเทพเอาไว้หรือ?” ตอนนั้นเอง ซุ่ยเหรินถึงถามอีกฝ่ายผ่านกระแสปราณ
“ตามที่ท่านประมุขได้กล่าวไว้ ยอดของเทวาคารนั้นกว้างใหญ่ ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกโกลาหล ที่แห่งนั้นจะมีผลวิญญาณเต๋าอยู่ หากเราสามารถครอบครองมันได้ แผ่นจารึกเทพก็จะปรากฏขึ้น และเมื่อนั้น… เราก็จะกลายเป็นเทพ!” เจี้ยงหลิงเซียวยิ้มขณะตอบอย่างเป็นกันเอง
ผลวิญญาณเต๋า!
ดวงตาของซุ่ยเหรินถึงฉายแสงวาบเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารู้ดีว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในแดนเทพแสนลึกลับซึ่งอยู่ด้านนอกภพทั้งสาม มันเหมือนกับเม็ดยาในการสร้างฐานพลัง ทว่าแตกต่างจากเม็ดยาทั่วไปตรงที่ผลวิญญาณเต๋านั้นสร้างฐานพลังของทวยเทพ!
ในอีกด้านหนึ่ง แผ่นจารึกเทพเป็นเสมือนตัวแทนของการบรรลุเต๋าและย่างก้าวสู่ความเป็นเทพ ตามตำนาน ทวยเทพทั้งหลายมีเทวภาพเป็นของตัวเอง อันได้แก่แผ่นจารึกเทพ หากผู้ใดไม่อาจครอบครองแผ่นจารึกเทพได้แม้จะได้รับผลวิญญาณเต๋า คนผู้นั้นก็เป็นได้แต่เทพเทียมที่ไม่อาจหลุดพ้นไปจากวัฏจักรแห่งภพทั้งสามและคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์
‘ผลวิญญาณเต๋า แผ่นจารึกเทพ… คราวนี้พวกมันจะต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน!’ ดวงตาของซุ่ยเหรินถิงลุกโชนซึ่งไฟแห่งความหวังขณะพึมพำในใจ
“อ๊ะ! แย่แล้ว พวกสืออวี๋ ตอนนี้ใกล้จะตามมาทันแล้ว!” ทันใดนั้น เสียงของเจี้ยงหลิงเซียวก็โพล่งขึ้นในโสตประสาทของซุ่ยเหรินถิง ทำเอาเข้าหัวใจของเขาสั่นไหวก่อนจะหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ถึงได้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาในระยะที่ห่างไปเพียงไม่กี่ลี้เท่านั้น น่าแปลกที่คนเหล่านั้นคือสืออวี๋กับกลุ่มของเขา
สิ่งที่ทำให้ซุ่ยเหรินถิงตกใจเป็นพิเศษก็คือความเร็วของกลุ่มของสืออวี๋นั้น เร็วกว่าตนและเจี้ยงหลิงเซียวอยู่เพียงเล็กน้อย!
“ไอ้พวกสารเลวนั่นมันไม่ได้ตายในตำหนักบรรลุเทพไปแล้วหรือ?…” คิ้วของซุ่ยเหรินถิงขมวดเข้าหากันท่ามกลางสีหน้าเย็นชา และรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขามั่นใจว่าตนได้วางอุปสรรคมากมายไว้ให้คนเหล่านั้น ทั้งยังใช้เลือดในการเปิดใช้งานพลังแห่งข้อจำกัดสามสิบหกประการภายในตำหนักบรรลุเทพ พูดก็พูดเถิด แม้แต่เทพแท้ก็อาจจะได้รับบาดเจ็บเจียนตายเมื่อเข้าไปด้านในตำหนักนั้น
ทว่าตอนนี้สืออวี๋กับคนอื่น ๆ กลับยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมาถึงเทวาคารบรรลุเทพด้วยความรวดเร็วอีกด้วย!
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของซุ่ยเหรินถิงมากนัก สีหน้าของเขาพลันมืดหม่นลงในพลัน
“หากพวกเขายังคงเดินทางด้วยความเร็วเท่านี้ไปเรื่อย ๆ มีหวังคงได้ถึงปลายยอดก่อนเราเป็นแน่” ใบหน้าพริ้มเพราและอ่อนโยนของเจี้ยงหลิงเซียวดูเครียดขึง “สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือหากพวกมันตามทันและโจมตีเรา สถานการณ์ก็คงมีแต่จะยิ่งเลวร้าย”
ที่นางว่ามาไม่ผิดแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะสืออวี๋หรือเซียงหลิวหลี ทั้งสองต่างอยู่ในระดับเดียวกันกับซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียว อีกทั้ง สืออวี๋และเซียงหลิวหลียังได้รับความช่วยเหลือจากราชันเซียนรัตติกาลและมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ แน่นอนว่าสองหมัดย่อมยากต้านทานสี่ฝ่ามือได้ หากการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจี้ยงหลิงเซียวรู้ว่าเฉินซีเป็นผู้ครอบครองกระบี่เต๋าวิบัติ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่นำพาความหายนะมาสู่นิกายอำนาจเทวะ หากรวมคนเหล่านี้เข้าด้วยกัน พวกเขามีเพียงแต่หนทางที่จะนำไปสู่ความอย่างลำบากรออยู่เบื้องหน้า
“หึ! พวกมันตายยากยิ่งกว่าแมลงสาบเสียอีก” ซุ่ยเหรินถิงแค่นเสียงเย็น หากแต่คิ้วคู่นั้นปราศจากแววกังวล “ศิษย์น้องเจี้ยง เจ้าอย่าได้กังวลไป เพื่อที่จะเดินทางไปสู่ภูมิภาคบรรลุเทพในคราวนี้ ท่านประมุขได้วางแผนมาอย่างยาวนาน มันจะมาล้มเหลวไม่เป็นท่าเพียงเพราะคนอย่างสืออวี๋ได้อย่างไร?”
“ถ้าเช่นนั้น… กระบี่เต๋าวิบัติก็รวมอยู่ในแผนของท่านประมุขด้วยอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” เจี้ยงหลิงเซียวชะงักขณะมองไปยังซุ่ยเหรินถิง ตอนนั้นเองที่นางสังเกตเห็นว่าศิษย์พี่คนนี้มักจะเก็บงำเรื่องต่าง ๆ ไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นวิชาวางค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ กระจกปฐพีไร้ขอบเขต วิชาสังเวยโลหิต รวมไปถึงสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในการเปิดใช้พลังของข้อจำกัดภายในตำหนักบรรลุเทพ… ทั้งหมดนี้ ไม่มีสิ่งใดที่นางรู้มาก่อนแม้แต่น้อย!
“แน่นอน” ซุ่ยเหรินถิงยิ้มอย่างภาคภูมิ “เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าในแง่ของความสามารถในการล่วงรู้ความลับสวรรค์ จริงอยู่ที่เขาเทพพยากรณ์นั้นเก่งกาจที่สุดในบรรดาสามสุดยอดมหานิกาย ทว่าในความคิดของข้า หลังจากที่ผู้อาวุโสฝูซีแห่งเขาเทพพยากรณ์จากไป ก็มีเพียงนิกายอำนาจเทวะของเราเท่านั้นที่คู่ควรกับการกล่าวขวัญเช่นนั้น!”
เมื่อเขาพูดมาถึงตอนนี้ สายตาของเจี้ยงหลิงเซียวพลันสะท้อนภาพความไม่พอใจราง ๆ แน่นอนเขาเข้าใจนางถึงเรื่องดังกล่าว “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าได้ถือสา เจ้าเองก็รู้ว่านี่เป็นความคิดของท่านประมุข ดังนั้นข้าจึงไม่อาจเปิดเผยต่อเจ้าได้” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยการปลอบโยน
เจี้ยงหลิงเซียวไหวไหล่ “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านไม่จำเป็นต้องปลอบข้าหรอก ข้าก็เพียงอยากรู้ว่าศิษย์พี่มีวิธีอะไรที่จะจัดการกับกระบี่เต๋าวิบัติ”
รอยยิ้มมากเล่ห์ปรากฏขึ้นบนมุมปากของซุ่ยเหรินถิง “ศิษย์น้องเจี้ยง เจ้าจำดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลที่ถูกทำลายไปเมื่อยุคบรรพกาลได้หรือไม่?”
ดูเหมือนว่าเจี้ยงหลิงเซียวจะนึกบางอย่างออก นางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อมองดูแผ่นฟ้าที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความตกใจ “ศิษย์พี่ นี่ท่านกำลังจะบอกว่า…”
ซุ่ยเหรินถิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของเขากลับมาเย็นชาอีกครั้งขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยม “พลังแห่งความวิบัติและทัณฑ์สวรรค์ในสามภพ นิกายอำนาจเทวะของพวกเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ คราก่อนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลก็ถูกทำลายลงไปด้วยเหตุนี้ และในคราวนี้ สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็จะต้องถูกกำจัดอย่างย่อยยับเช่นกัน!”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดช้า ๆ “เมื่อถึงเวลานั้น เราไม่เพียงแต่จะกลายเป็นเทพเท่านั้น หากยังสามารถนำกระบี่เต๋าวิบัติกลับนิกายไปได้ เรียกได้ว่ายิงธนูดอกเดียว ได้นกถึงสองตัว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่แปลกใจเลยที่ท่านประมุขมอบสิ่งนั้นให้แก่ท่าน…” ห้วงความคิดของเจี้ยงหลิงเซียวตกในภวังค์ซับซ้อน นางและซุ่ยเหรินถิงต่างก็เป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์ชั้นนำแห่งนิกายอำนาจเทวะ ซุ่ยเหรินถิงถูกจัดไว้ในอันดับที่สอง ในขณะที่นางอยู่อันดับห้า จากตัวเลขนี้ นางแทบจะไม่เห็นความห่างชั้นที่ยิ่งใหญ่ใด ๆ ระหว่างพวกเขาแม้แต่น้อย
ทว่าในระหว่างปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ จู่ ๆ นางก็สังเกตได้ว่าอันดับของตนในหัวใจท่านประมุขนั้น ด้อยกว่าซุ่ยเหรินถิงมาก…
“ศิษย์น้อง เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ที่ท่านประมุขทำเช่นนี้ก็ด้วยกลัวว่าแผนการของท่านจะรั่วไหล ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็รู้ว่าหากข้าไม่ได้นำกระจกปฐพีไร้ขอบเขตมาด้วย มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดแผนการใด ๆ จากตำหนักเต๋าหนี่หวาได้” ซุ่ยเหรินถิงหยุดการเคลื่อนไหว และหันกลับไปมองยังเจี้ยงหลิงเซียว
เจี้ยงหลิงเซียวสูดหายใจลึกก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้น นางก็พูดขึ้นด้วยความตกใจ “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านจึงไม่เดินต่อเล่า?”
ซุ่ยเหรินถิงยิ้ม เขาวางมือไพล่หลังขณะที่หันกลับไปอย่างเรียบเฉย สายตาไม่ยี่หระมองลงไปยังเส้นทางหินปูนด้วยสีหน้าที่เย็นชาอย่างน่ากลัว “ไม่จำเป็นต้องไปต่อ มันคงไม่สายเกินไปที่จะมุ่งหน้าไปยังยอดเทวาคารหลังจากที่เราสังหารพวกมันแล้ว” น้ำเสียงนั่นสงบนิ่งผิดจากวาจาดุดัน
เจี้ยงหลิงเซียวหันกลับไปมอง นางสังเกตเห็นว่าสืออวี้และคนอื่น ๆ อยู่ห่างจากพวกตนเพียงหกลี้เท่านั้น!