ตอนที่ 209 ไปส่งวานรแสนรู้
เดือนสามบนเขาเชียนอิงกำลังเป็นช่วงต้นซานอิงบานสะพรั่งงดงามที่สุดดุจแสงทองดวงตะวัน
ซินโย่วกับเสี่ยวเหลียนกลับไม่มีกะจิตกะใจชื่นชม ทิ้งสารถีให้เฝ้ารถม้าไว้ก่อนจะอ้อมไปใต้หุบเขาอีกทางหนึ่ง
ใต้น้ำตกที่ก้นหุบเขา ต้นไม้เขียวชอุ่มแทบไม่แตกต่างจากก่อนหน้านี้
“ยังจำถ้ำนั้นได้หรือไม่” ซินโย่วหันไปถามเสี่ยวเหลียน
เสี่ยวเหลียนพยักหน้าเต็มแรง “จำได้เจ้าค่ะ”
จะจำไม่ได้ได้อย่างไร คุณหนูชิงชิงของนางนอนสงบอยู่ใต้หน้าผาลึกอันเงียบเหงา ในถ้ำที่ไร้แสงตะวัน ปรากฏในภาพฝันของนางหลายครั้ง
ทั้งสองคนค้นหาถ้ำจากความทรงจำ
ก้อนหินที่ปิดปากถ้ำไว้เริ่มมีเถาวัลย์เลื้อยคลุมเป็นหนึ่งเดียวกับกำแพงถ้ำแล้ว หากไม่ใช่ว่าตอนนั้นตั้งใจจำสภาพแวดล้อมโดยรอบไว้ ก็คงยากพบว่าที่นี่มีถ้ำซ่อนอยู่
เสี่ยวเหลียนเข้ามา ใช้มีดสั้นที่พกมาตัดเถาวัลย์วัชพืชออก เผยให้เห็นสภาพเดิมของก้อนหิน
“ข้าดันเอง” ซินโย่วบอกให้เสี่ยวเหลียนหลบ
“บ่าวเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
ซินโย่วตบแขนเสี่ยวเหลียนเบาๆ “ข้าแรงเยอะ เจ้าดันไม่ไปหรอก”
เสี่ยวเหลียนอ้าปากเศร้าใจอยู่บ้าง
หากไม่มีคุณหนู นางทำอันใดไม่ได้เลยจริงๆ
ซินโย่วดันก้อนหินออก ดึงมือเสี่ยวเหลียนที่จะเข้าไปเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน ปล่อยให้อากาศออกมาก่อน”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนก็มุดตามหลังกันเข้าไป
ในถ้ำกว้างขวาง อาศัยแสงจากปากถ้ำมองเห็นผ้าม่านที่แยกแยะสีไม่ออกที่มุมถ้ำ
เสี่ยวเหลียนกุมปากแน่นน้ำตาไหลพราก “คุณหนู…”
นางคว้าตัวซินโย่วที่จะก้าวเข้าไปเอาไว้ เอ่ยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “คุณหนู บ่าวเองเจ้าค่ะ บ่าวอยากจะเก็บกระดูกให้คุณหนูด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ซินโย่วพยักหน้าพลางถอยไปยืนด้านข้าง
เสี่ยวเหลียนเดินเข้าไปโขกศีรษะสองสามทีให้กับมุมถ้ำนั้น สะอื้นเอ่ยว่า “คุณหนู บ่าวมาพาคุณหนูไปจากที่นี่”
นางคิดเอ่ยว่าพาคุณหนูกลับบ้าน แต่ในเมืองหลวงไหนเลยจะมีบ้านของคุณหนู
เสี่ยวเหลียนเช็ดน้ำตา สวมถุงมือหนังนิ่มไว้เรียบร้อยแล้ว เปิดผ้าม่านห่อศพออกอย่างระมัดระวัง
สาวน้อยกลายเป็นกองกระดูกขาวแล้ว ใช้เวลาไม่นาน เสี่ยวเหลียนก็เก็บกระดูกโค่วชิงชิงเสร็จ
นางขอบตาแดง มือสั่นเทา พยายามฝืนยิ้มให้ซินโย่วทีหนึ่ง “คุณหนู พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
ซินโย่วพยักหน้าเงียบๆ
ทั้งสองคนออกจากถ้ำ ซินโย่วคิดแล้วก็ใช้ก้อนหินปิดปากถ้ำไว้ กระชากเถาวัลย์มาปิดบังไว้
เสี่ยวเหลียนวางห่อผ้าใส่กระดูกวางไว้บนพื้น ไปล้างมือที่ริมทะเลสาบ
“ผู้ใด?” ซินโย่วหันกลับไปทันที
เจ้าวานรสะดุ้งตกใจปฏิกิริยาของซินโย่ว ผงะถอยหลังส่งเสียงร้องทีหนึ่ง
มองกระจ่างว่าเป็นเจ้าวานรตัวนั้นแล้ว ซินโย่วก็ผ่อนคลายลง “เจ้าเองหรือ”
เสี่ยวเหลียนเองก็จำเจ้าวานรได้ ถามอย่างไม่เข้าใจ “ไม่ใช่เจ้าวานรที่ปล่อยเข้าป่าลึกที่อื่นไปแล้วหรือ มันกลับมาได้อย่างไร”
มองดูเจ้าวานรที่แสดงท่าทางสนิทสนมอย่างเห็นได้ชัด ซินโย่วก็กระดกมุมปากยิ้มเอ่ยว่า “มันอาจจะคิดถึงบ้านกระมัง”
“ฉลาดจริง” แม้รู้ว่าวานรความคิดเสมือนเด็กน้อย แต่เสี่ยวเหลียนยังคงอดเอ่ยชมไม่ได้
ทั้งสองคนเดินกลับ ก็พบเจ้าวานรตามหลังมาอย่างไม่รีบเร่ง
“คุณหนู เจ้าวานรคงไม่ได้คิดจะไปกับพวกเรากระมัง”
ซินโย่วหันกลับไปมองวานร ถึงกับมองเห็นความสบายอารมณ์บนสีหน้าวานร
ทำให้นางเริ่มคาดเดาได้ “น่าจะไม่ใช่ มันอาจจะคิดไปส่งพวกเรา”
เจ้าวานรถึงกับเลือกกลับถึงเขาเชียนอิง เห็นได้ชัดว่าผูกพันกับที่นี่มาก หากจะจากไปจริง ย่อมมิได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้
ได้ยินซินโย่วว่าเจ้าวานรมาส่งพวกนาง เสี่ยวเหลียนก็อดมองเจ้าวานรไม่ได้ อารมณ์เศร้าโศกที่ยังคงอยู่ก็พลันคลายลงไปมาก
แสงตะวันฤดูวสันต์ดีงาม แสงตะวันอบอุ่นไม่ร้อนแรง สาดส่องรถม้าที่จอดนิ่งอยู่เชิงเขา สารถีกำลังสัปหงกอยู่
เสี่ยวเหลียนส่งเสียงปลุกสารถี
สารถีขยี้ตา โค้งคำนับด้วยท่าทางเขินอาย “คุณหนูเสร็จงานแล้วหรือ”
ซินโย่วพยักหน้า
“เอ๋ เหตุใดมีวานรด้วย!” พอเห็นวานร สารถีก็เบิกตาจ้องมอง
เจ้าวานรกระโดดขึ้นรถม้า ปีนขึ้นปีนลงรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะมุดไปใต้ท้องรถ
สารถีอ้าปากตกใจ “เจ้าวานรดูคุ้นจริง!”
เอ่ยถึงตรงนี้ ม่านตาสารถีก็หดเกร็ง “คุณหนู เจ้าวานรนี้คงไม่ใช่ราชาวานรกระมัง”
ซินโย่วมุมปากกระตุก “ลุงซุนคิดมากไปแล้ว”
ดูท่าคนอ่าน ‘บันทึกตะวันตก’ มากกว่าที่นางคิด
ในยามนี้เองก็พลันได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกของเจ้าวานรดังขึ้น
ซินโย่วมองไปก็เห็นเงาดำหนึ่งคลานออกมาจากใต้ท้องรถ
ถึงกับเป็นคนผู้หนึ่ง
สารถีตกใจ “เจ้าวานรกลายร่างเป็นคนแล้ว!”
แปลงได้เจ็ดสิบสองร่าง[1] ยังจะบอกว่ามิใช่ราชาวานร
แต่พอเจ้าวานรมุดตามออกมาจากใต้ท้องรถ เหยียบบนตัวคนผู้นั้นส่งเสียงร้องเรียกซินโย่วขอความชอบ
ในห้วงเวลานั้นเสี่ยวเหลียนเองก็ถูกสารถีนำให้คิดไปไกลเช่นกัน คิดว่าคนผู้นี้ก็คือเจ้าวานรแปลงกายมา ยามนี้พลันได้สติ “เจ้าเป็นใคร”
คนผู้นั้นตะกายลุกขึ้นน่าอนาถ มองเสี่ยวเหลียน มองสารถี แล้วก็มองซินโย่ว ก่อนจะโผลงคุกเข่าให้ซินโย่ว “ขอคุณหนูให้ข้าหลบภัยสักหน่อย มีคนตามสังหารข้า!”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา เสี่ยวเหลียนกับสารถีสูดลมหายใจเฮือกพร้อมกัน
โดยเฉพาะเสี่ยวเหลียน กำห่อผ้าแน่น หัวใจเต้นแรงอย่างตกใจหวาดกลัว
เหตุใดจึงมีคนผู้นี้โผล่ออกมาได้ หากส่งผลกระทบต่อการฝังคุณหนูนาง จะทำอย่างไร!
ซินโย่วเองก็ตั้งสติได้ในเวลาอันรวดเร็ว เอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ขออภัย ในรถม้าไม่สะดวกให้เจ้าหลบซ่อน”
ภาพที่เพิ่งเห็นเมื่อครู่ ผู้ที่ตามสังหารคนผู้นี้ถึงกับเป็นทหารทางการ
ในภาพที่เห็นไม่มีวานรอยู่ด้วย เขาหลบอยู่ใต้รถม้าที่เคลื่อนอยู่ แต่เพราะทนไม่ไหวร่วงลงมา พอดีทหารไล่ตามมาทันพบเข้า
ทหารนายหนึ่งตวัดดาบฟันหัวไหล่คนผู้นั้น ทหารที่เหลือก็เข้าล้อมพวกนางไว้
“คนที่ตามสังหารเจ้าอีกไม่นานก็จะมาถึงแล้ว ท้องถนนยามนี้มีเพียงรถม้าของพวกเรา พวกเขาต้องขวางรถเข้าตรวจสอบเป็นแน่น ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไร้หนทางหลบหนี” ซินโย่วชี้ไปทางป่า “ไปหลบในป่าก่อนดีกว่า บางทียังอาจหนีรอด”
คนพบกันเพียงครั้งแรก ซินโย่วไม่อาจวิเคราะห์ได้ว่าคนผู้นี้ดีหรือเลว ได้แต่เลือกหลบ อย่างน้อยก็ป้องกันคนของตนเองเข้าไปพัวพันกับความยุ่งยาก
โดยเฉพาะ…
ซินโย่วกวาดตามองห่อผ้าในมือเสี่ยวเหลียน สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย “หากเจ้าดึงดัน เช่นนั้นพวกเรารออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
คนผู้นั้นเห็นว่าขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์ ก็โขกศีรษะให้ซินโย่วทีหนึ่ง “ขอร้องคุณหนู ถือเสียว่าไม่เห็นข้า”
พูดจบ เขาก็วิ่งไปทางป่าที่ซินโย่วชี้ทาง
ซินโย่วถอนสายตากลับมามองเจ้าวานรที่อยู่ข้างกายคลายกำลังคิดอันใดขึ้นมาได้
หากไม่มีวานรตัวนี้ เรื่องที่เกิดในภาพที่เห็นก็ย่อมเกิดขึ้น แต่การปรากฏตัวของวานรทำให้นางพบคนที่หลบซ่อนอยู่ เช่นนั้นนางก็น่าจะไม่เห็นภาพเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว
ขัดแย้ง แต่อัศจรรย์
สบแววตาฉลาดแสนรู้ของเจ้าวานรแล้ว ซินโย่วก็คิดว่าอาจเพราะเดรัจฉานมีสัญชาตญาณ เดิมก็เป็นตัวแปรที่ยากเอ่ยกระจ่าง
“ขอบคุณเจ้ามาก รีบกลับบ้านได้แล้ว”
เจ้าวานรส่งเสียงร้องทีหนึ่ง ก่อนจะกระโดดวิ่งไปไกล
กลับถึงบนรถม้า เสี่ยวเหลียนยากจะสงบใจลงได้ “คุณหนู ท่านว่าคนเมื่อครู่คือใครกัน คงไม่ใช่โจรกระมัง”
“ไม่เหมือน…” ซินโย่วไม่เอ่ยต่อ
คนผู้นั้นแม้แลดูสภาพน่าอนาถ แต่นางสังเกตเห็นมือของเขาผิวละเอียด ไม่เหมือนพวกทำงานลำบากเลือกเดินเส้นทางผิด
“ก็ไม่รู้ผู้ใดล่าสังหารเขา” เสี่ยวเหลียนส่ายหน้า
รถม้าวิ่งไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามา
[1] ซุนหงอคงในเรื่องไซอิ๋วแปลงร่างได้ 72 ร่าง