ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 392 ซิ่วเย่ว์เข้าวัง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 392 ซิ่วเย่ว์เข้าวัง

ภายใต้คำสั่งของเซียวกุ้ยเฟย เหล่านางกำนัลก็พากันถอยออกไป เหลือเพียงนางกำนัลภักดียืนอยู่ด้านหลัง

“คุณหนูลั่ว ช่วงนี้กิจการหอสุราเป็นอย่างไรบ้าง” เซียวกุ้ยเฟยถามลั่วเซิงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ลั่วเซิงย่อมควบคุมอารมณ์ได้ นางตอบอย่างสงบว่า “เพราะบุญบารมีของเหนียงเหนียง กิจการของหอสุราเป็นไปด้วยดีเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยเอนร่างพิงตั่งคนงาม “คุณหนูลั่วช่างเอาใจใส่ ทุกครั้งที่ไปซื้อไก่ขอทานจะมีขนมจานหนึ่งมาด้วยตลอด”

ลั่วเซิงยิ้ม “แม่ครัวชอบลองทำขนมเล็กๆ น้อยๆ หม่อมฉันคิดว่าขนมที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ รสชาติกำลังดีก็เลยให้โต้วหมัวหมัวเอามาให้เหนียงเหนียงชิม เหนียงเหนียงไม่รังเกียจก็ดีแล้วเพคะ”

“จะรังเกียจได้อย่างไร รสชาติดีมาก อร่อยกว่าขนมที่ห้องเครื่องในวังทำมาก”

เด็กสาวเผยสีหน้าได้ใจ “เพราะหม่อมฉันโชคดี เก็บแม่ครัวที่มีความสามารถมาได้”

เซียวกุ้ยเฟยตาเป็นประกายเล็กน้อย “อ้อ แม่ครัวที่ชื่ออาซิ่วคนนั้น คุณหนูลั่วเก็บมาได้หรือ”

ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “เพคะ หม่อมฉันพบนางระหว่างทางกลับจากจินซามาเมืองหลวง หลังจากได้กินเต้าฮวยที่อาซิ่วทำก็รู้สึกชอบจึงพานางมาด้วยเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยเงียบ

นิสัยแบบนี้คือนิสัยของคุณหนูลั่วตามที่ลือกัน

“ขนมทานเล่นเหล่านี้ล้วนเป็นขนมที่คุณหนูลั่วชอบกินหรือ” เซียวกุ้ยเฟยถาม

ลั่วเซิงส่ายศีรษะโดยไม่คิด “ไม่ใช่เพคะ ปกติหอสุราจะมีอาหารอะไรใหม่ หม่อมฉันและแม่ครัวจะปรึกษาร่วมกัน ส่วนขนมที่ทดลองทำเหล่านี้ อาซิ่วเป็นคนทำเองเพคะ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ยิ่งได้ใจ “ถึงอย่างไรอาซิ่วทำอะไรก็อร่อยเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยใจกระตุกเล็กน้อย

เป็นไปได้หรือไม่ว่าไม่ใช่คุณหนูลั่วที่อยู่ตรงหน้านางที่ใช้ขนมเหล่านี้เพื่อบอกเป็นนัยให้นางมีบุตรไวๆ แต่เป็นแม่ครัวในหอสุราท่านนั้น

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งสับสน

นิ้วที่เรียวยาวของเซียวกุ้ยเฟยเลื่อนผ่านโต๊ะเล็ก ยกจอกชาบนนั้นขึ้นมา “พุทรานึ่งข้าวเหนียวที่ส่งมาคราวนี้ ข้าชอบมาก”

“หากเหนียงเหนียงทรงชอบ หม่อมฉันจะกลับไปบอกอาซิ่วให้นางทำครั้งหน้าอีกเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยหลุบตาลงดื่มชาคำหนึ่ง

ชาที่ดื่มเป็นชาชั้นดี แต่ดื่มลงไปแล้วกลับรู้สึกอึดอัด

เซียวกุ้ยเฟยลองถามอีกสองสามคำถาม แต่กลับไม่ได้คำตอบอะไรเลย

คุณหนูลั่วดูแล้วเหมือนจะไม่รู้เรื่อง

จะว่าไปแล้ว หากเรื่องนี้คุณหนูลั่วเป็นคนทำ การตอบสนองบัดนี้ของนาง ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะแสร้งไม่รู้เรื่อง

เห็นทีคุณหนูลั่วจะโอหังอวดดีอย่างไรก็ไม่ได้มีเวลาว่างมาหยอกล้อกุ้ยเฟยท่านหนึ่ง

เซียวกุ้ยเฟยเริ่มเปลี่ยนมาสงสัยแม่ครัวแทน

บางทีแม่ครัวคนนั้นอาจจะมีความเป็นมา

ขณะที่เซียวกุ้ยเฟยคิดเช่นนี้ก็เกิดความคิดอยากจะเรียกตัวแม่ครัวเข้าวัง

ดีที่วันนี้เรียกคุณหนูลั่วเข้าวัง อยากจะเจอแม่ครัวของนางก็ไม่ยาก

เซียวกุ้ยเฟยวางจอกชาลง ยิ้มพูดว่า “ข้าอดใจรอไม่ไหวแล้ว”

ลั่วเซิงชะงัก พูดทันทีว่า “เหนียงเหนียงให้โต้วหมัวหมัวไปหอสุราได้ทุกเมื่อเลยเพคะ”

“หาปลามาให้กินหรือจะสู้สอนวิธีจับปลาให้ คุณหนูลั่วช่วยหน่อยได้หรือไม่ ให้แม่ครัวมาวังอวี้หวาเพื่อสอนคนข้างกายข้าหน่อย”

ลั่วเซิงยิ้มตอบ “เหนียงเหนียงเกรงใจแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าแม่ครัวนั่นของหม่อมฉันใจจดใจจ่อกับอาหารอย่างเดียว อาจจะซุ่มซ่ามในด้านอื่นๆ หากเข้าวังแล้วล่วงเกินเหนียงเหนียงตรงไหน ขอเหนียงเหนียงโปรดอภัย”

“คุณหนูลั่ววางใจ ข้าจะถือสาเอาความกับแม่ครัวคนหนึ่งได้อย่างไร” เซียวกุ้ยเฟยพูดพลางมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา

นางรู้ว่าคุณหนูลั่วไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น นางเพิ่งเสนอให้แม่ครัวเข้าวังก็พูดปกป้องแม่ครัวไว้ก่อนแล้ว

กลัวว่านางจะรั้งตัวแม่ครัวไว้หรือ

เซียวกุ้ยเฟยพยักหน้า “เอาตามที่คุณหนูลั่วจัดการได้เลย”

“เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา” ลั่วเซิงลุกขึ้น

เซียวกุ้ยเฟยพยักหน้าให้นางกำนัลข้างกายเบาๆ “ช่วยข้าส่งคุณหนูลั่วออกไป”

ลั่วเซิงออกจากพระราชวังและกลับจวนแม่ทัพใหญ่ทันที

บัดนี้ยังเป็นเวลาเช้า ซิ่วเย่ว์ยังไม่ไปหอสุรา

ทันทีที่กลับเรือนเสียนอวิ๋นย่วน ลั่วเซิงก็เรียกซิ่วเย่ว์เข้ามาในห้อง พูดเสียงเบาว่า “เจ้าเก็บของได้เลย เกี้ยวพระราชวังรออยู่ข้างนอกแล้ว”

“คุณหนู…”

ลั่วเซิงตบมือซิ่วเย่ว์เบาๆ “ไม่ต้องกลัว ข้าจะรอเจ้ากลับมา”

ถ้ำเสือวังมังกร ให้ซิ่วเย่ว์ไปคนเดียวนางย่อมไม่วางใจ

แต่เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องไปทำ แม้รู้ดีว่ามีอันตรายมากมายก็ต้องเดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามนั้น

นางเป็นเช่นนี้ ซิ่วเย่ว์เองก็เช่นกัน

พวกนางคือคนที่เหลือรอดหลังจากจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกกวาดล้าง ตราบใดที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรมก็จะไม่ล้มเลิก แม้จะต้องหลั่งเลือดก็ต้องเดินหน้าเข้าไป

ซิ่วเย่ว์จับมือที่ค่อนข้างเย็นข้างนั้นไว้แน่น “ท่านวางใจเถอะ บ่าวจะกลับมาอย่างปลอดภัย”

สาวใช้สี่คนของท่านหญิงเหลือเพียงนางคนเดียวแล้ว นางจะปล่อยให้ท่านหญิงเดินต่อไปคนเดียวได้อย่างไร

“ไปเถอะ รีบไปรีบกลับ”

ลั่วเซิงส่งซิ่วเย่ว์ออกจากเรือน

ต้นอวี้หลันในลานพ้นช่วงออกดอกไปแล้ว ดอกทับทิมสีแดงบานสะพรั่งเต็มต้น

แสงแดดสาดส่องลั่วเซิงที่เดินเข้าไปในห้อง

แม้มองไม่เห็นความทุกข์หรือสุขบนใบหน้ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียง แต่นางกำนัลที่ฉลาดกลับรู้สึกได้อย่างเฉียบไวว่าเหนียงเหนียงอารมณ์ไม่ดีนัก

นางกำนัลที่รับผิดชอบส่งสารกลับจำใจเดินขึ้นหน้า พูดอย่างสุภาพว่า “เหนียงเหนียง แม่ครัวของคุณหนูลั่วมาแล้วเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยลืมตาขึ้นเล็กน้อย พูดเสียงราบเรียบว่า “เข้ามา”

ไม่นานหญิงสาวที่ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าโปร่งคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมนางกำนัลคนหนึ่ง นางคารวะอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันอาซิ่วคารวะเหนียงเหนียงเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยมองซิ่วเย่ว์อย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถอะ ปลดผ้าคลุมออกเสีย”

“หม่อมฉันหน้าตาอัปลักษณ์ เกรงว่าจะทำให้เหนียงเหนียงตกพระทัย”

เซียวกุ้ยเฟยยกมุมปากยิ้ม “ไม่หรอก ปลดออกเถอะ”

นางเคยเห็นแม่ครัวท่านนี้ที่ฐานล่าสัตว์เป่ยเหอแล้ว หากตกใจก็คงไม่ต้องรอจนถึงตอนนี้

อีกอย่าง นางไม่ใช่สาวบอบบางที่เติบโตมาในถังน้ำผึ้งเสียหน่อย การผ่านเรื่องเลวร้ายมากมายทำให้จิตใจนางแข็งกระด้างนานแล้ว จะตกใจง่ายๆ เช่นนั้นที่ไหนกัน

หากจะพูดจริงๆ สิ่งที่ทำให้อารมณ์นางเปลี่ยนแปลงกลับเป็นอาหารจานเล็กจานน้อยแฝงความนัยเหล่านั้นมากกว่า

ขณะที่กำลังคิดเรื่องเหล่านี้ สายตาที่เซียวกุ้ยเฟยมองซิ่วเย่ว์ก็เย็นลงเล็กน้อย

ซิ่วเย่ว์ปลดผ้าคลุมออกเงียบๆ

นางกำนัลที่ไม่เคยเห็นซิ่วเย่ว์ลอบตกใจ

มิน่าแม่ครัวท่านนี้จึงสวมผ้าคลุมหน้า ที่แท้ใบหน้าน่ากลัวเช่นนี้นี่เอง

“อาซิ่ว ข้าชอบขนมที่เจ้าทำมาก ตั้งใจขอให้คุณหนูลั่วให้เจ้าเข้าวังมาสอนนางกำนัลทำอาหาร”

ซิ่วเย่ว์ย่อเข่าเล็กน้อย “ขอบพระทัยเหนียงเหนียงที่ทรงโปรดเพคะ แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร”

“หม่อมฉันมีฝีมือการทำอาหารตื้นเขิน เหนียงเหนียงชอบอาหารที่หม่อมฉันทำนั้นถือเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ ทว่าเนื่องจากอาจารย์หม่อมฉันตั้งกฎไว้ว่าสามารถสอนได้มากที่สุดเพียงหนึ่งคนเท่านั้นเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยใจกระตุก

เทียบกับคุณหนูลั่วที่ถามอะไรแล้วไม่รู้เลยนั้น แม่ครัวคนนี้มีพิรุธอย่างชัดเจน

เซียวกุ้ยเฟยไม่เผยสีหน้าใดๆ นางคล้อยตามคำพูดของซิ่วเย่ว์พลางสั่งนางกำนัลว่า “พวกเจ้าออกไปเถอะ เถาหงอยู่นี่”

นอกจากนางกำนัลที่ดูร่าเริงคนหนึ่งแล้ว นางกำนัลคนอื่นๆ ก็ถอยออกไปเงียบๆ

ในตำหนักพลันว่างเปล่า เซียวกุ้ยเฟยลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างใน “มานี่เถิด”

ข้างหลังฉากกั้นเป็นพื้นที่ขนาดเล็กแคบ ปลอดภัยกว่า เหมาะกับการถามเรื่อง ‘มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง’

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท