ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 225 จะเป็นเพียงแค่เรื่องรองได้อย่างไร!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 225 จะเป็นเพียงแค่เรื่องรองได้อย่างไร!

บทที่ 225 จะเป็นเพียงแค่เรื่องรองได้อย่างไร!

ชาแปลงกายโฉมใหม่ที่ได้รับการปรับปรุง ไม่เพียงแต่จะยืดระยะเวลาให้ยาวนานขึ้น แต่ยังมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอีกด้วย!

ผู้ดูแลค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น ในใจกำลังดื่มด่ำไปกับความรู้สึกของการแปลงกายเป็นสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาล ในช่วงเวลานั้น เขาได้กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกอย่างแท้จริง ความรู้สึกตื่นเต้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างทำให้การบำเพ็ญของเขาที่เคยติดขัดอยู่นั้นคลายตัวลง…

“ไม่ดีแล้ว ท่านกำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตปฐมวิญญาณแล้ว!”

ผู้ประเมินสมบัติหมายเลขหนึ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของพลังวิญญาณเป็นคนแรก เขารีบคว้าตัวผู้ดูแลออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง ในขณะนั้นเมฆสายฟ้าที่เพิ่งจะรวมตัวกันเหนือหอประมูลตระกูลเซี่ยก็รีบไล่ตามไปด้วย

ผู้ประเมินสมบัติหมายเลขสองรู้สึกอิจฉาอย่างสุดซึ้งจนแทบหมดแรงแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ภาพเมื่อครู่ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน แม้ว่าสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลที่ผู้ดูแลแปลงกายมาจะมีระดับการบำเพ็ญเพียงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสูง แต่ยังสามารถใช้ทักษะพิเศษอันเชี่ยวชาญที่สุดของมันได้อีกด้วย!

นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน!

บางทีในภายหน้า อาจจะสามารถใช้ทักษะพิเศษของสัตว์อสูรตัวอื่นได้ เช่น ทักษะเคลื่อนที่ในพริบตาของสัตว์อสูรล่องหน หรือทักษะสร้างภาพลวงตาของสัตว์อสูรแห่งฝันร้าย…

ผู้ประเมินสมบัติหมายเลขสองไม่กล้าคิดสิ่งใดต่อแล้ว เช่นเดียวกับผู้ประเมินสมบัติหมายเลขสาม ทั้งคู่จึงหันไปมองหลิงเยว่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว

“ชาแปลงกายโฉมใหม่นี้ ท่านคือผู้… ที่ปรับปรุงขึ้นมาหรือ?”

หลิงเยว่พยักหน้าด้วยท่าทีสงบ นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่เปลี่ยนจากปี้สุ่ยเย่ของหัวหน้าตะขาบมรกตเป็นเลือดของสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาล แล้วเพิ่มสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ชนิดหนึ่งเข้าไป ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งถึงเพียงนี้!

“ท่านมีกี่ขวด?”

“มีเพียงสามสิบขวด”

สามสิบขวด!

ผู้ประเมินสมบัติหมายเลขสองและหมายเลขสามมองหน้ากัน พวกเขาทั้งคู่ต่างมองเห็นความมุ่งมั่นในแววตาของอีกฝ่าย คราวก่อนทั้งสองไม่ได้ทุ่มเทสุดตัวเพื่อประมูลชามาครอบครอง แต่ในครั้งนี้คงต้องทุ่มสุดตัวกันหน่อยแล้ว!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประเมินสมบัติหมายเลขสองที่เชี่ยวชาญในทักษะการโจมตีด้วยคลื่นเสียงเช่นเดียวกับสุนัขจิ้งจอก เคล็ดวิชาของนางยังไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้ บางทีการดื่มชาแปลงกายโฉมใหม่นี้ อาจช่วยให้ผลลัพธ์บางประการของนางพัฒนาขึ้นก็ได้!

“ท่านต้องการจะเริ่มการประมูลเมื่อใด?”

“พรุ่งนี้ ในเวลาเดียวกันกับหอประมูลตระกูลโจว”

หลิงเยว่มองออกไปนอกหน้าต่าง บัดนี้ล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงวันแล้ว ซึ่งเหลือเวลาสำหรับการกระจายข่าวให้มาร่วมประมูลไม่มากแล้ว

ผู้ประเมินหมายเลขสองและสามคาดเดาได้ทันที แต่เนื่องจากแขกผู้เกียรติท่านนี้ได้ร้องขอแล้ว พวกเขาย่อมดำเนินการตามนั้น

เชื่อว่าเพียงแค่นำศิลาสะท้อนภาพจากห้องประเมินเมื่อครู่ไปติดที่หน้าหอประมูล พร้อมกับกระจายข่าวออกไปอย่างทั่วถึง การแย่งชิงผู้ร่วมประมูลคงจะไม่ยากเย็นนัก

แม้สุราปราบมารจะทรงพลัง แต่ชาแปลงกายโฉมใหม่ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เพียงพอที่จะขึ้นต่อสู้กับสุราปราบมารได้แล้ว!

ระหว่างสุราปราบมารและชาแปลงกายโฉมใหม่นี้ บทสรุปแห่งชัยชนะจะเป็นเช่นใด?

ของที่นำมาประมูลทั้งสองอย่างนั้นล้วนเป็นผลงานที่หลิงเยว่สร้างสรรค์ขึ้นมา แม้ว่าจะสุราปราบมารนั้นจะถูกขโมยไปประมูล ทว่ายังคงเป็นผลงานของนางอยู่ดี นางไม่อยากเห็นทั้งสองสิ่งนี้ต้องมาต่อสู้กันเอง

ถึงกระนั้น หากต้องมีผู้ชนะในครั้งนี้ นางยังหวังให้เป็นชาแปลงกายโฉมใหม่ เพราะหินวิญญาณที่ได้จากการประมูลนั้นย่อมเป็นของนาง!

เมื่อมนุษย์กับหัวห้นาตะขาบมรกตเพิ่งจะก้าวขาออกจากหอประมูลตระกูลเซี่ยไป ด้านหลังก็ได้มีการนำศิลาสะท้อนภาพการแปลงกายของผู้ดูแลมาประดับไว้ทันที

“ท่านทั้งหลายที่ผ่านมาโปรดหยุดชมก่อนเถิด ท่านผู้เป็นเจ้าของชารู้แจ้งแปลงกายในครั้งนั้น บัดนี้ได้คิดค้นชาแปลงกายโฉมใหม่สำเร็จแล้ว ผู้บำเพ็ญท่านใดที่ได้ดื่มเข้าไปแล้วจะสามารถแปลงกายได้เป็นสัตว์อสูรและยังสามารถใช้ทักษะพิเศษของพวกมันได้อีกด้วย ซึ่งหอประมูลของเราจะมีการเปิดประมูลในช่วงเที่ยงของวันพรุ่งนี้!”

เหล่าพนักงานของหอประมูลตระกูลเซี่ยมากมายต่างพากันนำศิลาสะท้อนภาพออกไปนอกหอประมูล เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนไปแทบทุกซอกทุกมุมของเมืองฝู่ซาง บางส่วนก็ถูกส่งไปตามเมืองข้างเคียง เพื่อสร้างกระแสสำหรับชาแปลงกายโฉมใหม่!

เพียงครู่เดียว ข่าวก็กระจายไปทั่วเมืองฝู่ซาง และสร้างความฮือฮาเป็นอย่างยิ่ง

ขณะนั้นเองหลิงเยว่ได้ประกาศเรียกผู้บำเพ็ญที่ต้องการสุราปราบมารอีกครั้ง โดยให้พวกเขาเตรียมหินวิญญาณระดับกลางจำนวนหนึ่งพันล้านมาที่สำนักกลั่นโอสถเหอตง แล้วนางจะรีบจัดเตรียมเพื่อส่งมอบโดยเร็วที่สุด

การกระทำเช่นนี้สร้างความเดือดดาลแก่เจ้าของหอประมูลตระกูลโจวเป็นอย่างมาก

“ท่านอาจารย์หลิง ท่านนี่ช่างกล้าท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง” เซี่ยซิ่นรุ่ยเป็นกังวลกับการกระทำของหลิงเยว่นัก

อาจารย์ใหญ่ที่กำลังดูศิลาสะท้อนภาพมองการแปลงกายของผู้ดูแลจากมนุษย์เป็นสัตว์อสูรอย่างสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาล จากนั้นก็แอบเหลือบมองมายังหลิงเยว่ราวกับเขาสามารถมองออกจนทะลุปรุโปร่ง

จริงอยู่ที่เขาสามารถมองทะลุจิตใจของหลิงเยว่ได้ ทว่าชาแปลงกายโฉมใหม่นี้ มีส่วนคล้ายกับชาที่เขาเคยดื่ม เพียงแต่มันต่างกันตรงที่… จากการแปลงกายด้วยร่างจิตวิญญาณกลายมาเป็นร่างจริงแทน และร่างของสัตว์อสูรก็เปลี่ยนจากตะขาบมรกตสี่ปีกเป็นสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาล

ก่อนหน้านี้หลิงเยว่ได้เก็บตัวบำเพ็ญนานกว่าสามเดือนเพื่อคิดค้นชาแปลงกายโฉมใหม่นี้หรือไม่ ส่วนการหมักสุราปราบมารนั้นเป็นเพียงเรื่องรอง

จะเป็นเพียงแค่เรื่องรองได้อย่างไร!?

คำว่าเรื่องรองนี้เกือบทำให้ท่านอาจารย์ใหญ่กลั้นหัวเราะไม่อยู่ เหตุใดถึงเป็นแค่เพียงเรื่องรองเล่า!?

อาจารย์ใหญ่ที่สติหลุดไปแล้ว เดินออกมาพร้อมกับหลิงเยว่ที่ถูกล้อมรอบด้วยลูกศิษย์ จากนั้นทั้งสองมาถึงมุมลับแห่งหนึ่ง เขาจึงถามอย่างตรงประเด็น “ชารู้แจ้งที่ปรากฏอยู่ในหอประมูลตระกูลเซี่ยเมื่อครั้งนั้นก็มาจากฝีมือของเจ้าเช่นกันใช่หรือไม่?”

“อย่าเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ข้า…”

อาจารย์ใหญ่ยังพูดไม่ทันจบ หลิงเยว่ก็พยักหน้ายอมรับ “ใช่เจ้าค่ะ เป็นฝีมือของข้าเอง”

หลิงเยว่ไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่

อาจารย์ใหญ่ “…”

ทันใดนั้น ท่านอาจารย์ใหญ่พลันนึกถึงตอนที่เขาและบรรดาอาจารย์ ผู้อาวุโสในสำนักหลายคนต่างทุ่มเงินก้อนโตเพื่อแย่งชิงชารู้แจ้งแปลงกายนั้นมาจนหน้าแดงก่ำ

เมื่อครั้งนั้นเจ้าเด็กแสบผู้นี้คงแอบหัวเราะเยาะอยู่เป็นแน่!

สีหน้าของท่านอาจารย์ใหญ่แดงก่ำ เขาจ้องมองหลิงเยว่ด้วยสายตาที่โกรธเคืองและรู้สึกอับอายอยู่เล็กน้อย

หลิงเยว่กลัวว่าจะโดนทำร้าย จึงถอยหลังออกห่าง พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปด้วย “ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านอยากเรียนการทำสุราปราบมารหรือไม่เจ้าคะ?”

“ต้องเรียนอยู่แล้ว และชาแปลงกายเล่า?”

“เรียนได้เช่นกันเจ้าค่ะ!”

หลิงเยว่ถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวิ่งหนีไปในพริบตา

รอให้การประมูลพรุ่งนี้จบลง นางจะสอนเหล่าศิษย์หมักสุราสร้างรากฐานก่อน เพราะตอนนี้ผู้บำเพ็ญตรงหน้าประตูสำนักต่างถือเงินก้อนโตมาสั่งซื้อสุราปราบมารจวนจะเหยียบย่ำสำนักจนราบเป็นหน้ากลองแล้ว

“อาจารย์หลิง ท่านจะรับคำสั่งซื้อเหล่านั้นทั้งหมดจริงหรือเจ้าคะ?” จื่อเฉาอวี่เบิกตากว้างจนแทบถลน มือที่บันทึกรายชื่อลูกค้าและรับหินวิญญาณก็ทำให้รู้สึกชาไปหมด

“โอ้! คนเยอะกว่าตอนอยู่ที่ถนนสายชิงเฟิงเสียอีก…” เถียนฉู่ฉู่มองไปยังแถวที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดแล้วเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง

ผู้คนมากมายขนาดนี้ จะต้องรอกันอีกกี่ร้อยปีถึงจะได้สุราปราบมาร?

หากเป็นนาง นาง… คงจะทำด้วยเช่นกัน

หลิงเยว่รู้สึกตกใจกับจำนวนคนที่มากันอย่างเนืองแน่นเช่นกัน อย่างน้อยต้องมีเจ็ดถึงแปดหมื่นคนเห็นจะได้ และจำนวนก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

แปลงปลูกสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์สิบกว่าแปลงของนางนั้นสามารถทำได้มากที่สุดแค่สามหมื่นไห แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าลูกศิษย์จะต้องไม่ทำให้สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นเสียหายแม้แต่ต้นเดียว

เรื่องนี้ช่างยากเย็นนัก…

“ท่านผู้อาวุโสเถาช่วยออกไปพูดสักหน่อยเถิดว่า ให้ผู้ที่มาทีหลังรอคราวหน้า”

เถาวั่งที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเขียน มองหลิงเยว่ราวกับมองคนแปลกหน้า นางเป็นคนปล่อยข่าวออกไปเองแท้ ๆ แต่กลับให้เขาเป็นคนรับหน้าอย่างนั้นหรือ?

เรื่องแบบนี้ท่านอาจารย์ใหญ่เชี่ยวชาญที่สุด… แต่อย่าไปหาเขาเลย!

หลิงเยว่ที่ถูกปฏิเสธ จำต้องไปหาท่านอาจารย์ใหญ่ที่กำลังคิดทบทวนชีวิตของตนเองอยู่

ท่านอาจารย์ใหญ่ “…”

ไม่ไป!

หลิงเยว่หยิบชาแปลงกายโฉมใหม่ขวดสุดท้ายขึ้นมา ยังไม่ทันได้พูดอะไร คนที่เพิ่งเมินเฉยราวกับนางเป็นอากาศเมื่อครู่ก็คว้าเอาขวดเล็กนั้นไปอย่างว่องไว แล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ในชั่วพริบตาเขาก็ปรากฏตัวบนกำแพงเมืองแล้ว

“ผู้ที่เพิ่งมาใหม่ไม่ต้องต่อแถวแล้ว ให้รอชุดต่อไปแทน!” เมื่อกล่าวจบ ท่านอาจารย์ใหญ่พลันสะบัดมือ ปรากฏเป็นม่านป้องกันขนาดมหึมากั้นผู้บำเพ็ญที่ต้องการจะแทรกเข้าไปในแถว

ทันใดนั้น อดีตท่านอาจารย์ใหญ่ของสำนักที่เพิ่งมาถึงก็ถูกกั้นไว้ด้วยปราการป้องกัน เขาจ้องไปที่ท่านอาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันด้วยสายตาเย็นชา เขาตั้งสมาธิแล้วรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ตันเถียน วางมือทั้งสองลงบนปราการป้องกัน เพียงไม่นานปราการของท่านอาจารย์ใหญ่ก็พังทลายลง

ท่านอาจารย์ใหญ่ “…”

มาหาเรื่องข้าอย่างนั้นหรือ?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท