บทที่ 1351 กรงแห่งมหาเต๋า
บทที่ 1,351 กรงแห่งมหาเต๋า
เนตรเทวะแห่งความจริงเป็นมรดกที่มาจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก
มันลึกล้ำเกินหยั่งถึงและสามารถมองเห็นความเป็นจริงในโลก ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีแสงแห่งการขจัดที่กล่าวกันว่าสามารถผนึกและทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมดได้
เนื่องจากเฉินซีได้แยกร่างอวตารออกมา ดังนั้นการบ่มเพาะของร่างหลักจึงถูกจำกัดลง ทำให้เนตรเทวะแห่งความจริงที่ร่างหลักครอบครองนั้นไม่ทรงพลังดั่งในอดีต จึงสามารถใช้ได้เพียงค้นหาและตรวจจับเท่านั้น
บัดนี้เนตรเทวะแห่งความจริงได้สำแดงพลังด้วยตัวมันเอง จากการตื่นอย่างไม่คาดคิดของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก มันได้มองทะลุผ่านสิ่งกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า และพบกับดวงตาลึกลับที่อยู่เหนือท้องฟ้าอันวุ่นวาย
ดวงตาที่เปิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในท้องฟ้านั้นน่าสะพรึงอย่างยิ่ง มันเฉยเมยและเย็นชา เปี่ยมไปด้วยอำนาจอันไร้ขอบเขต คล้ายเป็นผู้ปกครองสูงสุด ประหนึ่งเนตรแห่งท้องฟ้า เมื่อเฉินซีจ้องมองมันด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง ก็ยังเห็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างสุดจะพรรณนา!
มันคือกรง!
มีกรงอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน!
พวกมันกระจายไปทั่วมิติที่โกลาหลอันกว้างใหญ่ ก่อตัวเป็นมวลหนาแน่นไร้ขอบเขต และแท้จริงมี มีตัวตนที่เปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ถูกคุมขังอยู่ภายในกรงเหล่านั้น พวกเขาเป็นเหมือนทวยเทพที่แท้จริงมากมาย!
เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดสั่นสะท้านสวรรค์ บ้างก็ยืนเงียบ ๆ หรือถอนหายใจอย่างเศร้าโศก และบ้างดูเหมือนวิปลาสไปแล้ว… สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้ใจสั่นเทา
กรงแห่งมหาเต๋า ทวยเทพสูงสุด มิติที่วุ่นวาย… เหตุการณ์ที่ได้เห็น ทำให้หนังศีรษะของเฉินซีตื้อชา ความโกรธรุนแรงที่เกิดจากแก่นของวิญญาณก็เริ่มพวยพุ่ง
โครม!
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เหตุการณ์เหล่านั้นก็หายไป เฉินซีรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ทำให้รู้สึกสยดสยองออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
แม้แต่ดวงจิตแห่งเต๋าก็เกือบจะพังทลายลงในทันที!
โอม! โอม!
ในห้วงจิตสำนึก ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังงานแปลกประหลาดพวยพุ่งราวกับมหาสมุทรที่ทอดตัวออกไป มันขจัดความสยดสยองที่ชายหนุ่มต้องทนทุกข์ทรมานไปจนสิ้น ทำให้เฉินซีสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ได้
แฮ่ก~ แฮ่ก~
เฉินซีหอบหายใจอย่างหนัก ใบหน้าซีดเผือด และร่างกายเปียกชื้นด้วยเหงื่ออันเยียบเย็น เขาไม่ได้หวาดกลัวดวงตาลึกลับนี้ แต่เป็นเพราะเหตุการณ์ตรงหน้านั้นน่าสะพรึงเกินไป ทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าสั่นไหวและใกล้พังทลาย
ทั้งที่การบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋า ณ ปัจจุบันได้บรรลุถึงขอบเขตทารกดวงใจแล้ว! สิ่งนี้จึงแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านั้นน่าตกตะลึงเพียงใด
สิ่งนั้นคืออะไรกันแน่? เหตุใดตัวตนที่มีกลิ่นอายทรงพลังเหล่านี้จึงถูกกักขังอยู่ที่นั่น? เจ้าของดวงตานั้นคือใครกัน? หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จิตใจของเฉินซีก็สงบลงได้ในที่สุด
ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากพลันสั่นสะท้านและหมุนวน ปลดปล่อยพลังงานคลุมเครือที่แปลกประหลาดแผ่ขยายออกไป และชักนำจิตใจให้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง ทั้งยังเติมเต็มความรู้สึกโกรธแค้นและเกลียดชังให้กับตน
เฉินซีคุ้นเคยกับความรู้สึกเหล่านี้แล้ว มันเหมือนกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง และเขาเป็นเพียงผู้ชมที่เฝ้าดูร่างกายของตนถูกครอบครองจากสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
แม้มันจะไม่คุ้นเคย แต่ก็เงียบสงบมาก
เป็นสถานะที่แปลกประหลาดและอธิบายไม่ได้
…
ครืน!
การต่อสู้เริ่มเข้มข้นขึ้น
สมบัติศักดิ์สิทธิ์ประชันเพื่ออำนาจสูงสุด ราชันเซียนปะทะกันอย่างดุเดือด พลังอันน่าสะพรึงกลัวยังคงแพร่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง และทำลายข้อจำกัดในระยะหลายพันลี้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากใครขึ้นไปบนแท่นบูชาในขณะนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องรับมือกับแรงกดดันจากข้อจำกัดอีกต่อไป ทั้งยังสามารถกระโจนขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย
ทว่าก็ต้องหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวนี้ให้ได้เสียก่อน
การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน ยามนี้กลุ่มของสืออวี๋เป็นฝ่ายได้เปรียบ เนื่องจากการรวมพลังของราชันเซียนสี่คน ทำให้สามารถสยบซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวได้อย่างมั่นคง
แต่พวกเขารู้ดีว่า การสังหารซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวไม่ใช่สิ่งจะสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น
เพราะผู้ที่สามารถบ่มเพาะจนถึงขอบเขตราชันเซียนนั่นแทบจะเป็นอมตะ ไม่มีทางถูกฆ่าตายง่าย ๆ อย่างแน่นอน
“เจดีย์วิถีพญาปราชญ์ และกระจกปฐพีไร้ขอบเขต… เพื่อการเดินทางไปยังภูมิภาคบรรลุเทพ นิกายอำนาจเทวะลงทุนน่าดู ทั้งยังอนุญาตให้เจ้านำสมบัติศักดิ์สิทธิ์มากมายที่เป็นมรดกของนิกายมาด้วย เจ้าตายเมื่อไหร่ ข้าสัญญาว่าข้าจะดูแลพวกมันอย่างดี!”
สืออวี๋ตะโกนเสียงเย็น พลางจดจ้องซุ่ยเหรินถิงที่ถูกสยบจนไม่สามารถหลบหนีได้ ใบหน้าที่ทระนงและเย็นชาดูอำมหิต การโจมตีก็ยิ่งรวดเร็วและรุนแรงขึ้น
ซุ่ยเหรินถิงยังคงนิ่งเงียบ ขณะที่รัศมีศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายไปทั่วร่าง เขาโคจรพลังเพื่อต้านการโจมตีผสานของสืออวี๋และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์อย่างเต็มที่ แม้จะมีสภาพที่ไม่สู้ดีนัก แต่สีหน้าก็ยังคงสงบไม่แปรเปลี่ยน
“แส้ทัณฑ์สวรรค์ เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสามภพมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล น่าเสียดายที่มันตกอยู่ในมือของเจ้า”
ในอีกด้านหนึ่ง เซียงหลิวหลีกล่าวช้า ๆ ในขณะที่ใช้แสงศักดิ์สิทธิ์เก้ากระจ่างเพื่อสยบแส้โบยเทพที่อยู่ในความครอบครองของเจี้ยงหลิงเซียว และราชันเซียนรัตติกาลก็คว้าโอกาสนี้เพื่อโจมตีอีกฝ่าย
“ฮึ่ม! ไว้มาดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย!” เจี้ยงหลิงเซียวกัดฟันแน่น ใบหน้าที่อ่อนโยนถูกปกคลุมด้วยด้วยความโหดเหี้ยมและขุ่นเคือง
เซียงหลิวหลีกำลังจะกล่าวโต้ตอบ แต่จู่ ๆ นางก็เลิกคิ้วขึ้นขณะที่สัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดออกมาจากถนนหินปูนที่อยู่ด้านล่าง
เป้าหมายไม่ใช่ใครอื่นใด เป็นเฉินซี!
ในตอนนี้สืออวี๋และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็สังเกตเห็นว่า ที่ด้านล่างบนถนนหินปูน กลุ่มของอี้หรานเฟิงได้มาถึงและโจมตีใส่เฉินซีทันที!
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป และไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่านิกายยุคแรกกำเนิดจะกระทำการอย่างไร้ปรานีเช่นนี้ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดฉากโจมตีทันทีโดยไม่ให้ผู้ใดตั้งตัว
“บัดซบ!” รวดเร็วเท่าความคิดเตียนเตี้ยนหันหลังกลับเข้ายืนขวางเฉินซีไว้
ตู้ม!
ท่ามกลางรัศมีศักดิ์สิทธิ์ที่เจิดจ้า และเสียงกัมปนาทคล้ายภูเขาไฟปะทุ เตียนเตี้ยนสวมกอดเฉินซีไว้แนบอก ก่อนที่ทั้งคู่จะถูกระเบิดจนปลิวว่อน หญิงสาวกระอักเลือดคำใหญ่ ใบหน้างดงามซีดลงอย่างน่ากลัว
แน่นอนว่าการโจมตีครั้งนี้ทำให้นางบาดเจ็บสาหัส!
“แม่นางรัตติกาล!”
“ไอ้สารเลว!”
“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”
สืออวี๋ มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์และเซียงหลิวหลีระเบิดโทสะทันทีเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเขาทิ้งซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวไว้เบื้องหลัง พร้อมใจกันหันกลับมายืนคุ้มกันเฉินซีและเตียนเตี้ยน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศัตรูคว้าโอกาสนี้เพื่อสังหารเฉินซีและเตียนเตี้ยน
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้เหตุที่ไม่คาดฝันนี้ การต่อสู้ที่จวนจะได้รับชัยชนะ กลับถูกขัดจังหวะอย่างรุนแรง!
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของสืออวี๋และคนอื่น ๆ มืดมนอย่างยิ่ง สายตาคมกริบดุจใบมีดจ้องเขม็งไปที่อี้หรานเฟิง ซุนอู๋เหิ่น ผางตู่ และต้าวเหยาอย่างเย็นชา
ถ้าไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้ สถานการณ์จะพลิกกลับสู่สภาพดังกล่าวได้อย่างไร?
ด้านหลังของสืออวี๋ และคนอื่น ๆ เฉินซีเหม่อมองเตียนเตี้ยนอย่างว่างเปล่า เขากอดนางและไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น นาง… เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยข้าจริง ๆ หรือ?
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ หัวใจของเฉินซีก็สั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นอารมณ์ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้พลุ่งพล่านขึ้นภายใน พร้อมกระชับอ้อมแขนราวกับกลัวว่านางจะหายไป
ยามนี้ใบหน้าที่งดงามของเตียนเตี้ยนซีดเผือดอย่างน่ากลัว ดวงตาของนางพร่ามัว หยาดเลือดสีทองยังคงไหลผ่านริมฝีปากที่ชุ่มชื้น หญิงสาวบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ ไม่ต้องกล่าวถึงการดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากอ้อมกอดของชายหนุ่มเลย
ดังนั้นนางจึงหยุดดิ้นรนและยิ้มให้เฉินซี “โชคดีที่เจ้าปลอดภัย มิฉะนั้นถ้าศิษย์พี่ตัวน้อยของเจ้ารู้เข้า นางจะต้องมาคิดบัญชีข้าอย่างแน่นอน”
ทันทีที่สิ้นคำ เตียนเตี้ยนก็หมดสติไป
การโจมตีจากก่อนหน้านี้กะทันหันเกินไป นางกระโดดเอาร่างไปขวางเฉินซีไว้โดยสัญชาตญาณ ซึ่งเทียบเท่ากับรับการโจมตีจากศัตรูโดยตรง ดังนั้นอาการบาดเจ็บจึงสาหัสอย่างมาก
ถ้านางไม่ใช่ราชันเซียน การจู่โจมครั้งนี้คงจะพรากชีวิตนางไปแล้ว
“เจ้าเป็นถึงราชันเซียน… เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้? ข้าเฉินซีมีค่าอะไร…?” เฉินซีเหม่อมองหญิงสาวที่สลบไสลอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่างเปล่า และพึมพำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองไม่อาจถือว่าลึกซึ้ง แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งประทับใจที่เตียนเตี้ยนเสี่ยงชีวิตโดยไม่ลังเลที่จะช่วยตน
ชั่วขณะหนึ่ง ความรู้สึกในใจของเฉินซีก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ!
แม้ว่าการได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่เขาไม่อยากสัมผัสกับมันเป็นครั้งที่สอง!
สิ่งนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขายังด้อยฝีมือและไร้พลัง!
เฉินซีไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้ เขายอมสละชีวิตเพื่อช่วยผู้อื่น ดีกว่ายอมให้สหายหรือคนที่รักเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขา!
“ส่งนางให้ข้า” เซียงหลิวหลีกล่าวในฐานะราชันเซียน นางรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของเตียนเตี้ยนนั่นรุนแรงอย่างยิ่ง หากนางได้รับการรักษาช้าเพียงนิด มันอาจจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
เซียงหลิวหลีประคองเตียนเตี้ยน ก่อนจะป้อนโอสถทิพย์ให้อีกฝ่าย จากนั้นจึงวางหญิงสาวไว้ในสมบัติที่นำติดตัวมาด้วย
ในระหว่างนี้ เฉินซีเพียงเฝ้าดูอย่างเงียบงัน สีหน้าเฉยเมยอย่างถึงที่สุด เมื่อร่างของเตียนเตี้ยนหายไปต่อหน้าต่อตา
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็สังเกตเห็นว่าพวกอี้หรานเฟิงได้รวมกลุ่มกับซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวแล้ว
“สหายอี้เกิดอะไรขึ้น?” มีเพียงสีหน้าของซุนอู๋เหิ่นเท่านั้นที่หม่นหมอง และไม่ได้ร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งยังรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้าอย่างยิ่ง
การโจมตีของอี้หรานเฟิงอุกอาจเกินไป และเหตุการณ์ที่อี้หรานเฟิงนำราชันเซียนอีกสองคนไปเข้าร่วมกลุ่มกับซุ่ยเหรินถิง ก็เกินความคาดหมายของเขาเช่นกัน
แต่สิ่งนี้ได้ยืนยันแล้วว่า อี้หรานเฟิงและคนอื่น ๆ อาจสมรู้ร่วมคิดกับนิกายอำนาจเทวะมาตั้งแต่ต้น!
สีหน้าของเขาไม่น่าดูมากขึ้นทุกขณะ รู้สึกเหมือนถูกหลอกใช้ และโกรธอย่างสุดขีด
ไม่ใช่แค่ซุนอู๋เหิ่นเท่านั้น สืออวี๋ เซียงหลิวหลี และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปได้ถึงขั้นนี้ สีหน้าของพวกเขาจึงกลายเป็นมืดมนอย่างยิ่ง
ปัจจุบันราชันเซียนรัตติกาลบาดเจ็บสาหัสและหมดสติ ไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้อีกต่อไป
ในทางกลับกัน หลังจากที่นิกายอำนาจเทวะได้อี้หรานเฟิง ต้าวเหยา และผางตู่เข้าร่วมกลุ่ม จำนวนราชันเซียนของอีกฝ่ายเพิ่มเป็นห้าคน ซึ่งส่งผลคุกคามสืออวี๋และคนอื่น ๆ อย่างรุนแรง
“เจ้าลิงเฒ่า ยังไม่สำนึกอีกหรือ? สหายของเจ้าสมรู้ร่วมคิดกับนิกายอำนาจเทวะมาตั้งแต่ต้น” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์หัวเราะเสียงเย็น “แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องโกรธไป อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ได้หลอกและฆ่าเจ้า”
ยิ่งได้ฟัง สีหน้าของซุนอู๋เหิ่นยิ่งไม่น่าดูมากขึ้น และจ้องอี้หรานเฟิงเขม็ง พร้อมกับกัดฟันพูด “ฉยงเย่าจือและลู่เซียวหานที่เสียชีวิตในข้อจำกัดที่หนึ่ง… เจ้าสามคนฆ่าพวกเขาหรือ?”
“คนตายไปแล้ว เหตุใดจึงต้องรื้อฟื้นด้วย?” อี้หรานเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์