ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 560 โจวลี่หรงระเบิดอารมณ์

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 560 โจวลี่หรงระเบิดอารมณ์

ตอนที่ 560 โจวลี่หรงระเบิดอารมณ์

“คุณ ช่วยพูดให้มันน้อยลงหน่อย” เฉินเจิ้นกั๋วขมวดคิ้วและเตือนด้วยเสียงต่ำ

วังซูเฟินไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย ยิ่งดึกยิ่งมีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ พูดพล่ามต่อไปว่า “ฉันพูดความจริงทั้งนั้น งานเลี้ยงอาหารค่ำบ่งบอกตัวตนของคนอย่างหมดเปลือก ไม่เห็นเหรอว่าคนพวกนั้นหยาบคายแค่ไหนตอนกินข้าว พวกเขาไม่มีมารยาทเอาซะเลย ตะกละตะกลามเหมือนไปอดอยากมาจากไหน จุ๊ๆๆ”

วังซูเฟินทำหน้าประชดประชัน มองไปที่โจวลี่หรงแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ วันหลังอย่าลดตัวลงไปสนิทสนมกับบ้านนั้นให้มากนักล่ะ ไม่งั้นชาตินี้ทั้งชาติอย่าหวังเลยว่าจะกำจัดเหลือบริ้นไรอย่างพวกเขาได้ ดูอย่างฉันสิ ฉันไม่เห็นต้องกังวลอะไรพรรค์นั้นเลย เพื่อนของเจียหมิงมีมารยาทกันทุกคน ทุกครั้งที่ไปกินข้าวในโรงแรมใหญ่ เหลือกับข้าวอีกเป็นเบือ”

โจวลี่หรงได้ยินวังซูเฟินเอ่ยแซะไม่มีที่สิ้นสุด หยิบยกทุกอย่างที่สามารถทับถมมาเยาะเย้ยไม่ขาดปาก ก็ทนไม่ไหว วางชามในมือกระแทกลงอย่างแรงบนโต๊ะ มองไปที่วังซูเฟินและพูดอย่างเย็นชาว่า “สะใภ้รอง ถ้าเธอจงใจมาที่นี่เพื่อจับผิดและหยิบยกมาเปรียบเทียบ งั้นเธอก็ควรกลับไปซะเดี๋ยวนี้เลย ลูกชายฉันมีความสุขมากที่ได้แต่งงาน ในฐานะอาสะใภ้รอง นอกจากเธอจะไม่แสดงความยินดีกับเขาแล้ว ยังเอาแต่จู้จี้จุกจิกกับข้อบกพร่องในงานอีก คิดว่าตัวเองเป็นแม่เขาหรือไง?”

โจวลี่หรงไม่ค่อยวิพากษ์วิจารณ์หล่อนอย่างตรงไปตรงมา การตอบโต้นี้จึงทำให้วังซูเฟินตกตะลึง ก่อนจะพูดจีบปากจีบคอ

“พี่สะใภ้ ฉันไม่ได้จู้จี้จุกจิกนะ เธอต่างหากยอมไปนับญาติกับคนพวกนั้นลงคอได้ยังไง ดูสิว่าพวกเขามารยาทต่ำทรามแค่ไหน พอมาร่วมงานก็ไม่เห็นจะทำประโยชน์อะไรนอกจากกินเหมือนเป็นสัมภเวสีกลับชาติมาเกิด กินจนสำลักเหมือนชีวิตนี้จะไม่ได้กินอีก ตระกูลเฉินของเราเป็นตระกูลที่ใครต่างก็นับหน้าถือตา ญาติ ๆ ของเราเห็นภาพแบบนั้นแล้วหัวเราะเยาะกันจะตาย ไม่อับอายขายหน้าเลยเหรอ”

โจวลี่หรงตอบกลับอย่างแข็งกร้าวไม่แพ้กัน “แล้วยังไง? เราออกเงินจ่ายค่าอาหารสำหรับจัดงานเลี้ยงในวันนี้เอง ดีซะอีกที่พวกเขากินจนเกลี้ยง ของจะได้ไม่เสียเปล่า บ้านเราไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรขนาดนั้น ฉันเองก็มาจากครอบครัวที่ยากจนมาก่อน เราไม่เคยทิ้งอาหารให้เหลือเป็นเบือ แล้วฉันก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอายอะไรถ้าจะกินอาหารจนหมดจาน ไม่เหมือนกับเธอที่เป็นลูกสาวเจ้าของที่ดิน เก็บค่าเช่าเอารัดเอาเปรียบคนยากไร้มาตั้งแต่เด็ก เลยไม่รู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากของคนชนชั้นแรงงาน”

“เธอ…” สิ่งที่วังซูเฟินกลัวคนอื่นพูดถึงมากที่สุด คือเรื่องเกี่ยวกับภูมิหลังของครอบครัวของตัวเอง แม้ว่าตอนนี้หล่อนจะหลุดพ้นจากมันได้แล้ว แต่หล่อนก็ทนทุกข์ทรมานมามากเพราะภูมิหลังอันน่าอับอายในเวลานั้นจนเกือบไม่ได้ดองกับตระกูลเฉินแล้ว

ตอนนี้เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยอยู่ในครัว เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเอะอะในห้องนั่งเล่น จึงออกมาดูกันทั้งคู่

ผู้อาวุโสทั้งสองที่กลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อนไปแล้วได้ยินเสียงเช่นกันจึงเปิดประตูออกมา

โจวลี่หรงดูเหมือนจะโกรธวังซูเฟินจริง ๆ ปกติหล่อนมักจะสงวนท่าทีอยู่เสมอ แต่วันนี้ใบหน้าของหล่อนกลับดำคล้ำ กระทั่งน้ำเสียงก็แข็งกร้าว ไม่ไว้หน้าวังซูเฟินเลยแม้แต่น้อย หล่อนมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการสตรีก็จริง แต่ด้วยหน้าที่แล้วหล่อนชอบอยู่บ้านมากกว่า หนำซ้ำยังเป็นคนเก็บตัว รักสงบ รู้ตัวว่าปัญหาอาจเกิดเพราะฝีปากอันแรงกล้าของตัวเอง จึงไม่เคยทะเลาะกับคนอื่น

แต่วันนี้หล่อนไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อยวังซูเฟินไป

“อย่าเที่ยวไปดูถูกใครอีก รวยแล้วใช่ว่าจะต้องทำตัววิเศษวิโสเหนือคนอื่น อีกอย่างเท่าที่ฉันรู้มา ครอบครัวเธอก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรสักเท่าไหร่เลย เป็นแค่พนักงานระดับกลาง งานของลูกชายก็ไม่ได้ดีเท่ากับงานของเจียซิ่ง ไหนจะครอบครัวสามีของลูกสาว เธอเคยเล่าว่าลูกเขยทำงานในสถานีโทรทัศน์ใช่ไหม ความจริงแล้วเขาเป็นแค่เด็กทำธุระเท่านั้น ไม่เห็นมีตำแหน่งที่สลักสำคัญ เรียกว่าเป็นชามข้าวเหล็กไม่ได้ด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่เธอคุยโวโอ้อวดและพยายามยกตนข่มฉัน ฉันแค่เกียจคร้านเกินกว่าจะโต้เถียง เพราะรู้ว่าชีวิตเธอมันขับเคลื่อนด้วยเรื่องไร้สาระมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งคนเราขาดอะไรมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งขวนขวายจะถมสิ่งที่ขาดให้เต็ม เมื่อก่อนฉันยอมมองผ่านมันไปเพราะเห็นว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยฉุกคิดอะไรได้เลย อายุที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้ความคิดมั่นคงสมเป็นผู้ใหญ่ตาม เอาแต่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการจับผิดลูกหลาน ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกเขา และอวดในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีดีกว่า เธอนี่ทำตัวเป็นตัวตลกไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”

เมื่อโจวลี่หรงเห็นพ่อและแม่สามี รวมถึงลูกชายและลูกสะใภ้ออกมา หล่อนก็ยังไม่คิดจะหยุดสั่งสอนวังซูเฟิน

“ฉันหวังว่าต่อจากนี้ไป เธอจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันอีก เอาเวลาว่างไปใช้สมองไตร่ตรองให้มากขึ้นว่าควรจะประสานความสัมพันธ์ของตัวเองกับลูกสาวยังไง ฉันได้ยินมาว่าหลังจากเจียฮุ่ยแต่งงานไป หล่อนแทบจะตัดขาดกับครอบครัวพ่อแม่ตัวเองเลยไม่ใช่เหรอ ในฐานะผู้ใหญ่ เธอควรใส่ใจเรื่องนี้หน่อยดีไหม?”

โจวลี่หรงพูดแทงใจดำวังซูเฟินในทุกประโยคจนหล่อนหาอะไรมาโต้เถียงไม่ได้ มือที่ตกห้อยอยู่ข้างลำตัวสั่นเทาเล็กน้อย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นคล้ำเข้มสลับกับซีดขาว ในที่สุดก็ทนฟังไม่ไหว

“พี่สะใภ้ จำเป็นต้องพูดจารุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ?” หล่อนมองดูชายชราอย่างเสียใจและบ่นว่า “พ่อคะ แม่คะ ดูซิว่าพี่สะใภ้ก้าวร้าวขนาดไหน หล่อนไม่แม้แต่จะให้เกียรติฉันกับเจิ้นกั๋วด้วยซ้ำ เราเองก็เป็นสมาชิกในครอบครัวนี้เหมือนกัน คุณยังไม่ทันตายเลย หล่อนจะไล่ตะเพิดพวกเราออกไปแล้ว”

“หยุดพูดไร้สาระสักที เราไม่ได้หูหนวกตาบอดจนไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไงสักหน่อย พี่สะใภ้ของเธออดทนมามากพอแล้ว เมื่อกี้นี้หล่อนพูดผิดตรงไหน? จากนี้ไปทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวหน่อยก็ดี ทำตัวให้สมเป็นผู้ใหญ่ซะบ้าง” ผู้เฒ่าเฉินถามต่อ “เรื่องงานของเจียหมิงนี่ยังไง เขาไม่ได้ทำงานในโรงงานเหล็กกล้าหรอกเหรอ?

“เขาบอกว่างานที่ทำอยู่มันเหนื่อยเกินไป อยากลาออก”

เมื่อกล่าวถึงงานของลูกชายตัวเอง เฉินเจิ้นกั๋วก็มองไปที่ชายชราและพูดเสียงแผ่วว่า “พ่อครับ พอจะมีคนรู้จักอยู่ที่หนานเฉิงบ้างไหม? ผมอยากลองหาช่องทางให้เขาเปลี่ยนสายงานดู”

เหตุที่พวกเขาทั้งคู่มาที่นี่ในคราวนี้ นอกจากต้องการมาเยี่ยมชายชราและร่วมงานแต่งของหลานชายแล้ว ยังคิดจะมาคุยเรื่องงานของลูกชายด้วย

เพียงแต่พวกเขารู้จักนิสัยของชายชราดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูด

แน่นอนว่าผู้เฒ่าเฉินวางท่าทีน่าเกรงขาม ปฏิเสธทันควัน “ฉันไม่รู้จักใครทั้งนั้น”

เฉินเจิ้นกั๋วรู้ดีว่าผลลัพธ์ต้องออกมาเป็นแบบนี้ จึงนิ่งงันไม่พูดอะไรอีกต่อไป

ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่เฉินเจิ้นกั๋วและภรรยาของเขา ถามว่า “ทำไมเจียฮุ่ยไม่ติดต่อพวกเธอเลย? พวกเธอสองคนยังไม่แก่จนผมหงอกสักหน่อย ริอาจมีความสัมพันธ์ระหองระแหงกับลูกสาวของตัวเองซะแล้วเหรอ น่าอายไหมที่ทำให้เด็ก ๆ เอือมระอา ที่นี่ไม่มีธุระอะไรให้พวกเธออยู่ต่อ งานแต่งจบแล้ว รีบกลับไปหาเจียฮุ่ยซะ แล้วบอกให้เจียหมิงขยันทำงานหน่อย ถึงงานในโรงงานเหล็กกล้าจะหนักแต่ก็มีความมั่นคง งานของเขาถือเป็นส่วนสำคัญในก่อสร้างสำหรับเปิดประเทศ ถ้าเขาอดทนทำต่อก็จะมีอนาคตที่สดใส”

วังซูเฟินพึมพำ “ฉันอยากไปเจรจากับเถ้าแก่เซี่ย หวังว่าจะได้ร่วมธุรกิจห้องเต้นรำกับเขา”

ดังที่โจวลี่หรงพูดเมื่อกี้นี้ ครอบครัวของพวกเขาภายนอกดูเหมือนแข็งแกร่งและสูงส่งก็จริง แต่ภายในกลวงโบ๋

พูดตามตรงแล้วความหวังของครอบครัวนี้อยู่ที่คนรุ่นลูก แม้ว่าที่บ้านจะเคยมีทรัพยากรทางการเงิน แต่ถ้าลูกชายไม่ทำตัวอยู่ในร่องในรอยและเป็นไปตามความคาดหวัง ครอบครัวก็จะล่มสลายในวันหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนเคยมีฐานะมั่งคั่งประมาณหนึ่งเพราะธุรกิจเดิมของครอบครัว แต่พอพ่อแม่จากไปจนไม่เหลือใคร สิ่งที่หล่อนได้รับคือมรดกอาคารและร้านค้าเพียงไม่กี่แห่ง

การนอนกินเงินที่ได้จากค่าเช่าไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าได้ทำธุรกิจด้วยตัวเองนั่นจะไม่ดีกว่าหรือ?

“แล้วแต่เถอะ พวกเราแก่แล้ว ควบคุมการตัดสินใจของใครไม่ได้” ผู้เฒ่าเฉินมองเฉินเจิ้นกั๋วด้วยสีหน้าขุ่นเคือง จากนั้นก็โจมตีเขาอย่างรุนแรง “เจ้ารอง ถ้าเมียแกยังไม่หยุดเปรียบเทียบและอิจฉาริษยากระทั่งคนในบ้านต่อไป ความสามัคคีระหว่างพี่น้องก็อาจไม่เหลือ หยุดแข่งขันกันได้แล้ว คนมีฝีมือย่อมแสดงความสามารถของตัวเองให้ประจักษ์ แล้วแกน่ะมีดีอะไร?”

เฉินเจิ้นกั๋วก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

วังซูเฟินเห็นว่าชายชราโกรธมาก หล่อนก็พอจะรู้กาลเทศะบ้าง ไม่กล้าพูดมากอีก

โจวลี่หรงขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจพวกเขา หล่อนหยิบขนมออกมาให้หลินเซี่ยและบอกให้เอาพวกมันกลับเข้าไปกินในห้อง

เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยกลับขึ้นมาบนห้อง เขาจึงรีบไปต้มน้ำมาให้เธออาบ

“วันนี้คงเหนื่อยมากเลยสินะ? หลังอาบน้ำเสร็จก็พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ”

หลินเซี่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ลบเครื่องสำอางออกแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้แม่คุณเด็ดเดี่ยวมาก”

“ไม่ว่าอาสะใภ้รองจะเยาะเย้ยเปรียบเทียบขาวดำมากแค่ไหน ปกติท่านก็ไม่เคยพูดอะไรเลย”

หลินเซี่ยเช็ดลิปสติกบนปากออกจนเกลี้ยง มองเขาผ่านกระจกเงาแล้วส่งยิ้มให้ “ท่านแค่เป็นคนรักสันโดษ บางทีเมื่อก่อนท่านอาจจะแค่ขี้เกียจเกินกว่าจะเถียงกับวังซูเฟินก็ได้”

เฉินเจียเหอรออย่างอดทนจนกว่าหลินเซี่ยจะลบเครื่องสำอางเสร็จ เขาถือชุดนอนของหลินเซี่ยไว้ในมือ และจับมือเธอเอาไว้

“ไปอาบน้ำกันเถอะ”

“ฉันอาบเองได้ เอาเสื้อผ้ามาให้ฉันก็พอ”

“ผมช่วยอาบดีกว่า”

เฉินเจียเหอกลัวว่าหลินเซี่ยจะลื่นล้ม เขาจึงยืนกรานที่จะอาบน้ำให้เธอด้วยตัวเอง

ทุกวันนี้เขาต้องทะนุถนอมภรรยาให้มากไม่เหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นการอาบน้ำให้เธอก็ถือเป็นเรื่องที่ทรมานมากเช่นกัน

เมื่อมองดูร่างที่ขาวเนียนสะอาดสะอ้านไปทุกสัดส่วนของเธอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจับเธอกินก่อนจะอาบน้ำจนสะอาด แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงบริการเธอด้วยหัวใจ ต่อให้เขาจะท่องบทสวด แต่ร่างกายก็ยังร้อนรุ่มอย่างอดไม่อยู่

หลินเซี่ยมองดูเขาระงับความต้องการอย่างเต็มที่ แต่ส่วนกลางของร่างกายกลับชูชันอย่างควบคุมไม่ได้ เธอหัวเราะเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา

เฉินเจียเหอสัมผัสเธอนานเข้า เขาก็เริ่มหายใจไม่ออก พูดด้วยน้ำเสียงรวบรัดว่า “อย่าแกล้งผมสิ”

“คุณเป็นคนอาสาว่าจะทำเอง ใช่ว่าฉันดูแลตัวเองไม่ได้ซะหน่อย คุณทรมานก็เพราะทำตัวเองล้วน ๆ”

“ผมแค่กลัวคุณจะลื่นล้ม”

ขณะที่เขาถูหลังเธอ เขาก็หลับตาลงแล้วข่มใจ

หลินเซี่ยมองดูสีหน้าอดกลั้นของเขา ก่อนจะถอนหายใจอย่างไร้คำพูด “ไม่เห็นต้องกลัวเลย”

ในที่สุดหลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็แต่งตัวและออกมา ขณะที่เฉินเจียเหออยู่ในนั้นและอาบน้ำเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนจะกลับเข้าห้องพร้อมกับจามไม่หยุด

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ก่อนหน้านี้เคยวิจารณ์คุณแม่ไว้เยอะ แต่มาตอนนี้ต้องขอปรบมือให้คุณแม่ชุดใหญ่เลยค่ะ หมัดชนะน็อกของแท้ ยัยสะใภ้รองเงิบไปต่อไม่เป็นเลย ถ้าเป็นการดวลดาบก็คือโดนแทงแล้วแทงอีกจนพรุนเป็นรังผึ้งอะ

ทรมานล่ะสิพี่เหอ อดทนก่อนนะคะ รอให้พ้นสามเดือนแรกไปก่อน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท