ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 394 ทีเล่นทีจริง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 394 ทีเล่นทีจริง

เซียวกุ้ยเฟยปรายตามองซิ่วเย่ว์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าเตือนข้าพอดี แทนที่ข้าจะลองสูตรยาไม่ทราบที่มา มิสู้ขอให้คุณหนูลั่วช่วยเชิญหมอเทวดาที่น่าเชื่อถือมาไม่ดีกว่าหรือ”

ซิ่วเย่ว์ยิ้มๆ “หม่อมฉันคิดว่าเรื่องขอบุตรเช่นนี้เหนียงเหนียงทรงไม่อยากให้คนรู้มาก นายหญิงของเราเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น เพียงแต่ว่าบุ่มบ่ามไปเล็กน้อย…”

เซียวกุ้ยเฟยขมวดคิ้วและถามว่า “หมายความว่า สูตรอาหารนี้คุณหนูลั่วไม่ทราบหรือ”

ซิ่วเย่ว์หลุบตาลงพยักหน้า “ย่อมไม่ทราบเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยลังเล

หากคุณหนูลั่วไม่รู้เรื่องสูตรอาหารดังเช่นที่แม่ครัวพูด เรื่องขอบุตรคนรู้ยิ่งน้อยย่อมยิ่งดี

แม้คุณหนูลั่วจะไม่ใช่คนโง่อย่างที่ทุกคนคิด แต่นางก็เป็นคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการทั่วไป ทั้งยังเป็นบุตรของแม่ทัพใหญ่ลั่ว แม้นางอยากฆ่าอีกฝ่ายปิดปากก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนั้น

เปรียบเทียบกันแล้ว แม่ครัวตรงหน้าควบคุมได้ง่ายกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

หนึ่งปี…

ปลายนิ้วของเซียวกุ้ยเฟยปัดผ่านแก้มเบาๆ

นางอยู่ในวัยสาว เวลาหนึ่งปีเป็นเวลาที่รอได้ หากหลังจากหนึ่งปียังไม่มีข่าวคราว ค่อยไปหาคุณหนูลั่วก็ยังไม่สาย

เซียวกุ้ยเฟยครุ่นคิดเสร็จก็คิดถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ทว่าเป็นเรื่องที่ยากจะเอ่ยปาก

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เซียวกุ้ยเฟยก็สั่งว่า “เถาหง เจ้าไปเฝ้าหน้าประตูเถอะ”

เถาหงเหลือบมองซิ่วเย่ว์อย่างลังเลครู่หนึ่ง

เหลือเพียงเหนียงเหนียงและแม่ครัวไม่ทราบชื่อ ช่างทำให้นางยากจะวางใจจริงๆ

“ไปเถอะ”

เถาหงจึงย่อเข่าเล็กน้อย เดินออกไปเงียบๆ

เซียวกุ้ยเฟยมองซิ่วเย่ว์นิ่ง ถามเรื่องสำคัญเรื่องนั้น “หากว่า… เป็นปัญหาของบุรุษเล่า”

ซิ่วเย่ว์พูดอย่างสงบว่า “เหนียงเหนียงมีพระชันษาเพียงยี่สิบสี่ ตามหลักแล้วไม่มีปัญหาใหญ่ ไม่เช่นนั้นคราวนั้นที่หมอหลวงตรวจชีพจรคงกล่าวถึงแล้วเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยตะลึง

อันที่จริงนางเคยคิดว่าที่ไม่มีข่าวมาหลายปีน่าจะไม่ใช่ปัญหาของนาง ไม่เช่นนั้นวังหลังมีนางในมากมายเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่มีใครตั้งครรภ์เลยสักคนเล่า

ฝ่าบาทมีพระชนม์พรรษาห้าสิบกว่าพรรษาแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นปัญหาที่แท้จริง

ด้วยเหตุนี้ นางเคยถามหมอหลวงที่เชื่อใจได้ แม้หมอหลวงจะไม่กล้ากล่าวถึงฝ่าบาทว่าเป็นอย่างไร แต่ก็บอกว่าร่างกายนางแข็งแรงดี

เมื่อได้ยินอาซิ่วพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางต้องการจะสื่อเช่นนี้เช่นกัน

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจที่ร้อนรุ่มของเซียวกุ้ยเฟยก็เย็นลง

หากไม่ใช่ปัญหาของนาง นางทานยาไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด

เมื่อได้ยินเซียวกุ้ยเฟยถามเช่นนี้ ซิ่วเย่ว์ก็เหลือบมองไปที่ช่องฉากบังลม

เซียวกุ้ยเฟยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พูดถึงตรงนี้แล้ว เจ้ามิต้องปิดบังอะไรอีก มีอะไรก็พูดมา”

“เช่นนั้นหม่อมฉันขอบังอาจทูลแล้ว สูตรยานี้สามารถช่วยปรับร่างกายของสตรีให้อยู่ในสภาวะที่สามารถตั้งครรภ์ได้ง่าย ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าพลังงานของบุรุษจะอ่อนลงตามอายุ แต่โอกาสที่สตรีจะตั้งครรภ์ก็จะมีมากขึ้น เว้นเสียแต่ว่า…”

“เว้นเสียแต่ว่าอะไร…”

“เว้นเสียแต่ว่าฝ่ายชายจะไม่เคยมีทายาทเลย”

เซียวกุ้ยเฟยใจกระตุก

ฮ่องเต้ทรงเคยมีทายาท ในช่วงปีแรกๆ ฮ่องเต้ทรงมีโอรสสามคนและมีธิดาถึงหกคน เพียงแต่ว่าองค์ชายและองค์หญิงทยอยสิ้นพระชนม์ เหลือเพียงองค์หญิงหกเพียงผู้เดียว

แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา องค์จักรพรรดิก็ทรงเรียกหมอหลวงมาปรึกษาอย่างลับๆ พระองค์ทรงไม่ต้องการสิ้นไร้ทายาทไปเช่นนี้

ผลการวินิจฉัยของหมอหลวงคือ ฮ่องเต้ทรงมิได้มีบุตรยาก หากต้องให้พูดถึงปัญหาจริงๆ ก็พูดได้เพียงว่าพระองค์มีพระชนม์พรรษามากแล้ว ไร้วาสนากับเด็กๆ

แน่นอนว่าที่เหล่าหมอหลวงพูดเช่นนี้เป็นการอ้อมค้อมแล้วอ้อมค้อมอีก ไม่มีใครกล้าทูลกับฮ่องเต้ตรงๆ ว่าท่านชราภาพแล้ว ไม่สามารถมีบุตรได้แล้ว

เรื่องที่เชิญหมอหลวงมาเป็นการเชิญมาโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ นอกจากฮ่องเต้และหมอหลวงสองสามท่านที่ถูกเชิญมาวินิจฉัยก็ยังมีนางอีกคนที่รู้เรื่องนี้

เซียวกุ้ยเฟยมองซิ่วเย่ว์นิ่ง เสียงสั่นเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าสูตรยานั่นได้ผลกับคนที่มีอายุมากขึ้นและไม่สามารถมีลูกได้หรือ”

ซิ่วเย่ว์พยักหน้า

ครานั้นท่านอ๋องและพระชายาอายุสี่สิบกว่าแล้ว สูตรอาหารเป็นยาที่หมอเทวดาคิดค้นขึ้นมามีไว้สำหรับแก้ไขปัญหาผู้มีบุตรยากเนื่องจากอายุมากโดยเฉพาะ

เซียวกุ้ยเฟยเงียบไปนาน นางจับที่พักแขนของเตียงหลัวฮั่นแน่น ค่อยๆ พูดว่า “ข้าจะลองดู”

แม้จะมีความหวังเพียงเล็กน้อย นางก็อยากจะคว้าไว้

ฮ่องเต้พระชนมายุห้าสิบกว่าชันษา นางสนมอายุยี่สิบกว่า หากไม่มีทายาทสักคนเคียงข้างกายจะมีจุดจบแบบใด นางรู้แจ้งแก่ใจดี

สีหน้าเซียวกุ้ยเฟยกลับมาสงบนิ่ง นางมองซิ่วเย่ว์ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าบอกได้แล้วว่าเจ้าต้องการสิ่งใด”

เสี่ยงชีวิตมาถวายสูตรยาต่อหน้านาง คงไม่ได้ถูกความงดงามของนางดึงดูดมาหรอก

ซิ่วเย่ว์แนบหน้าผากจรดพื้น “หม่อมฉันมีความแค้นกับจวนผิงหนานอ๋องเพคะ”

สีหน้าเซียวกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอซิ่วเย่ว์พูดต่อไปเงียบๆ

“อาจารย์ของหม่อมฉันเคยเป็นพ่อครัวของจวนผิงหนานอ๋อง มีอยู่วันหนึ่งผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ… เอ่อ องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันกินขนมหยอดก้นหอยที่อาจารย์ทำแล้วท้องเสีย เพียงไม่กี่วันก็มีอันตรายถึงชีวิต พระชายาผิงหนานอ๋องโมโหสั่งให้เฆี่ยนอาจารย์ของหม่อมฉันจนตาย…”

สตรีที่คุกเข่าบนพื้นตัวสั่นเทา แม้นางจะก้มศีรษะทำให้มองไม่เห็นสีหน้า เซียวกุ้ยเฟยก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บแค้นเข้ากระดูกดำของอีกฝ่าย

เซียวกุ้ยเฟยคิดว่า ความแค้นนี้เป็นความแค้นที่ไม่สามารถแสดงออกมาได้

สิ่งนี้ขจัดข้อสงสัยของนางอย่างไม่ต้องสงสัย

มิน่าแม่ครัวคนนี้จึงคิดหาทุกวิถีทางเพื่อมาหานาง ต้องการยืมมือของนางแก้แค้นจวนผิงหนานอ๋องนี่เอง ช่างใจกล้าจริงๆ

“หม่อมฉันไร้บิดามารดาแต่เล็ก อาจารย์ก็เปรียบเสมือนบิดาของหม่อมฉัน หากแค้นนี้ไม่ชำระ หม่อมฉันตายตาไม่หลับ” จู่ๆ ซิ่วเย่ว์ก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางดูน่ากลัวขึ้นไปอีกเนื่องจากสีหน้าบิดเบี้ยว “หากเหนียงเหนียงทรงให้กำเนิดโอรสมังกร บางทีหม่อมฉันก็อาจจะได้สมปรารถนา…”

“เจ้าบังอาจ!” เซียวกุ้ยเฟยตวาด

ซิ่วเย่ว์ยิ้มๆ “หม่อมฉันกล้ามายืนต่อหน้าพระพักตร์เหนียงเหนียง หม่อมฉันไม่ได้สนใจความเป็นความตายนานแล้ว ตราบใดที่สามารถล้างแค้นให้อาจารย์ได้ ชีวิตของหม่อมฉันตายไปก็ไม่เสียดาย”

ครานี้เอง เซียวกุ้ยเฟยจ้องมองซิ่วเย่ว์นานกว่าเดิม

ซิ่วเย่ว์เผชิญหน้าอย่างสงบ

“อาซิ่ว เจ้ารู้ผลของการหลอกลวงข้าหรือไม่”

ซิ่วเย่ว์พูดโดยไม่ต้องคิดว่า “หากเหนียงเหนียงไม่เชื่อหม่อมฉัน เหนียงเหนียงสามารถส่งคนไปตรวจสอบลับๆ ได้เพคะ”

เรื่องที่นางพูดเป็นเรื่องจริง

ครานั้นผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยังเล็ก เขามีอันตรายถึงชีวิตเพราะท้องเสียไม่หยุดจริงๆ จวนผิงหนานอ๋องเชิญหมอเทวดาไม่ได้ ผิงหนานอ๋องมาจวนเจิ้นหนานอ๋องด้วยตนเอง ไหว้วานให้ท่านอ๋องช่วยเชิญหมอเทวดาให้

เมื่อถึงมือหมอเทวดา เว่ยเชียงก็รอดพ้นจากขีดอันตราย

ตอนที่ยังเชิญหมอเทวดามาไม่ได้ มองดูลูกชายที่ตกอยู่ในอันตราย พระชายาผิงหนานอ๋องทั้งโมโหและทุกข์ใจ นางสั่งลงโทษคร่าชีวิตพ่อครัวที่ทำขนมหยอดก้นหอย

พ่อครัวคนนั้นไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลผู้รับใช้จวนผิงหนานอ๋อง แต่เป็นคนนอกที่เดินทางมายังเมืองหนานเซียงเพื่อหาเลี้ยงชีพ เขาสร้างชื่อให้ตัวเองด้วยการทำขนมหยอดก้นหอย และได้รับการว่าจ้างจากจวนผิงหนานอ๋อง ครอบครัวพ่อครัวจะมีใครบ้าง เคยรับลูกศิษย์กี่คน ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ใครจะไปสืบได้เล่า

ที่ท่านหญิงรู้เรื่องนี้ ยังเป็นเพราะผิงหนานอ๋องมาขอความช่วยเหลือด้วยตนเองที่จวนเจิ้นหนานอ๋อง

แม้เซียวกุ้ยเฟยจะระมัดระวังตัว ลอบส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีเพียงยืนยันสิ่งที่นางพูดเท่านั้น

เว้นเสียแต่ว่าเซียวกุ้ยเฟยจะไปถามสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋อง บางทีอาจจะมีข้อมูลที่ไม่ตรงกันเล็กน้อย แต่นี่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋องจะยังจำประวัติของพ่อครัวคนนั้นได้

เซียวกุ้ยเฟยจะไปหาสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋องเพื่อถามเรื่องเหล่านี้หรือ

แน่นอนว่าไม่

ซิ่วเย่ว์คิดเรื่องเหล่านี้ สีหน้าก็ยิ่งสงบ

ท่านหญิงของนางไม่เคยลงมืออย่างวู่วาม

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท