บทที่ 1422 พึ่งพาอาศัยกัน
บทที่ 1422 พึ่งพาอาศัยกัน
กู้เสี่ยวหวานเดินไปฟังไปตลอดทาง ฟังโค่วตันเล่าถึงเรื่องราววัยเด็กของฉินเย่จือเป็นครั้งคราวและหัวเราะด้วยความรู้สึกขบขัน
ครั้งเมื่อฉินเย่จือยังเด็ก มีหลายครั้งที่เขาซุกซน แต่นางไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“ฮูหยินไม่เคยมาที่ลานแห่งนี้มาก่อน มีแต่นายน้อยและนายท่านเคยมาที่นี่ เพราะที่นี่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ ฮูหยินเคยกล่าวว่าสวนชิงแห่งนี้จะเป็นของฮูหยินคนถัดไป หลังจากที่นายท่านและฮูหยินจากไป และครอบครัวของคนรับใช้ก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่า กระทั่งต่อมาเมื่อนายน้อยเรียกให้คนรับใช้ที่อาศัยอยู่ที่บ้านหลังเก่ากลับมา”
โค่วตันกล่าวด้วนอารมณ์เศร้าสร้อย
“พี่เย่จือเคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาก่อนหรือ” กู้เสี่ยวหวานไม่เคยได้ยินฉินเย่จือพูดถึงเรื่องนี้
เมื่อโค่วตันได้ยินสิ่งนี้ นางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย หลังจากเหลือบมองคนข้าง ๆ ก็ตอบว่า “อืม…นายท่านอยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ภายหลังฮูหยินไม่คุ้นเคยกับชีวิตในเมืองหลวง นางจึงย้ายไปที่อื่น”
สิ่งที่โค่วตันพูดไม่ผิด ตระกูลฉินต่อสู้เพื่อฮ่องเต้บนหลังม้า
ฉินฟ่างมีฉินเย่จือเมื่ออายุเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน และฮูหยินฉินได้ให้กำเนิดฉินเย่จือตอนที่นางมีอายุที่มากแล้ว ต่อมาสุขภาพของฮูหยินทรุดโทรมลง เพื่อดูแลฮูหยินฉินให้ดี ฉินฟ่างจึงออกจากเมืองหลวงและซื้อบ้านอีกหลังในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไป และพาภรรยาของเขาไปใช้ชีวิตที่นั่น
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลัง นายท่านกับฮูหยินก็คงยังกินดีอยู่ดี
เมื่อคิดถึงการตายของนายท่านอย่างอธิบายไม่ได้ ฮูหยินก็ทนไม่ได้และตรอมใจตายตามไป แต่ในเวลานั้นลูกชายของพวกเขาอยู่ที่ชายแดนที่ห่างออกไปไกลหลายพันลี้ ศพของนายท่านและฮูหยินก็เริ่มส่งกลิ่นคละคลุ้ง
ไม่มีใครกล้าที่จะฝังศพของนายท่านและภรรยาตามความประสงค์ แม้ว่าศพของพวกเขาจะเน่าไปแล้ว แต่นายน้อยก็รีบกลับไปหานายท่านและฮูหยิน
ขณะนั้นนายน้อยเหมือนร่างไร้วิญญาณนอนกอดศพของนายท่านและฮูหยินไว้สามวันสามคืน หากน้ำแข็งในห้องใต้ดินยังไม่ละลายและศพเริ่มเน่า ไม่เช่นนั้นคงรั้งนายน้อยไว้ ไม่รู้ว่าเขาจะปล่อยเมื่อไร
ร่องรอยของความโศกเศร้าส่องประกายในดวงตาของโค่วตัน แต่มันก็หายวับไปเมื่อเขาเผชิญหน้ากับกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ป่าไผ่ข้างหน้านาง ป่าไผ่สีเขียวขจีราวกับกำแพงสีเขียว ต้นไผ่เรียวยาว สูง ตรง ส่วนใบไผ่ก็อ่อนโยนและเป็นสีเขียวดูสบายตา
“ก่อนหน้านี้ฮูหยินชอบต้นไผ่หรือ” เมื่อมองไปที่ป่าไผ่แห่งนี้ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก
“นางชอบมันมาก แต่ฮูหยินไม่เคยอยู่ในบ้านหลังนี้และฮูหยินก็ไม่เคยเห็นการตกแต่งที่นี่” โค่วตันกล่าวอย่างเศร้าใจ “นายท่านใช้เงินจำนวนมากเพื่อสร้างสวนแห่งนี้ เสียดายแค่ว่าฮูหยินไม่เคยได้เข้ามา”
“ครั้งล่าสุดพี่เย่จือเล่าให้ฟังว่าท่านพ่อของเขาสร้างบ้านหลังนี้ให้ท่านแม่ของเขา เขาบอกว่าท่านแม่ของเขาไม่ได้มาจากต้าชิงและไม่มีครอบครัวหรือญาติมิตรที่นี่ ถ้านางโกรธก็จะไม่มีที่ให้นางหนีไปพักพิง ดังนั้นท่านพ่อของพี่เย่จือจึงสร้างสถานที่แห่งนี้ไว้”
สามีและภรรยารักใคร่กลมเกลียว แต่ทว่านายท่านก็ไม่เคยรังแกฮูหยินหรือทำให้นางโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นสวนแห่งนี้จึงไม่เคยได้แสดงบทบาทที่ตั้งใจไว้
“ฮูหยินไม่ได้มาจากต้าชิงหรือ?” กู้เสี่ยวหวานนึกอะไรบางอย่างออก จู่ ๆ นางก็ถามขึ้น คราวที่แล้วนางลืมถามหัวข้อนี้
“ฮูหยินถูกนายท่านพามาที่นี่ นางไม่ได้มาจากต้าชิง” โค่วตันกล่าว “ฮูหยินของข้างดงามและมีจิตใจเมตตา นางปฏิบัติต่อคนรับใช้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับคุณหนูที่ปฏิบัติต่อเราเหมือนคนในครอบครัว”
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ป่าไผ่เหมือนที่กำแพงกั้น โดยคิดว่าฉินเย่จือยืนอยู่ที่นี่อาจนึกถึงพ่อแม่ของเขา
เช่นเดียวกับนาง นางไม่ได้พบพ่อแม่ของนางมาหลายปีแล้ว และความทรงจำที่มีต่อพ่อแม่ของนางก็เริ่มเลือนราง แต่นางโชคดีที่ยังมีเขาอยู่เคียงข้าง
เหมือนกับเขาที่ยังมีนางอยู่ข้าง ๆ
“พวกเรากลับกันเถอะ จวิ้นจู่จะมากินข้าวเย็นที่บ้าน พวกเราไปช่วยนางกันเถอะ” กู้เสี่ยวหวานพูดในขณะที่นางหันหลังกลับ ทันใดนั้นก็พึมพำ “ข้าไม่รู้ว่าท่านพี่เย่จือจะกลับมาทันอาหารมื้อค่ำหรือไม่”
เสียงของกู้เสี่ยวหวานนุ่มนวลมาก แต่สำหรับอาจั่วและโค่วตันผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตลอดทั้งปี เสียงที่นุ่มนวลนั้นได้ยินชัดเจนในหูของพวกเขา ทั้งสองยืนอยู่ข้างหลังกู้เสี่ยวหวานและเดินไปข้างหน้า หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน
กู้ฟางสี่กำลังเตรียมอาหารสำหรับคืนนี้อยู่ในครัว โดยมีคนรับใช้สองคนคอยช่วยนาง ภายใต้การนำของกู้ฟางสี่ พวกนางกำลังเตรียมอาหารสำหรับคืนนี้
“เสี่ยวหวาน ดูสิ คืนนี้ข้าเตรียมไข่ตุ๋นหน้ากุ้ง ปลากะพงนึ่ง แกงนกพิราบกับเห็ดถั่งเช่า รังนกใส่น้ำตาลกรวด และอาหารเบา ๆ สองสามอย่าง ซึ่งทั้งหมดมันน้อยและมีเนื้อน้อย เจ้าว่าอย่างไรบ้าง?”
ต่อมากู้ฟางสี่เพิ่งรู้ว่าคุณหนูคนเดิมคนนั้นคือจวิ้นจู่และปู่ของนางเป็นถึงท่านแม่ทัพใหญ่ ถือเป็นขุนนางระดับสองในเมืองหลวง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่ากู้หนิงผิงชอบนาง กู้ฟางสี่ก็ยิ่งตกตะลึง
ไม่รู้ว่านางคิดเรื่องนี้อยู่ในใจนานแค่ไหน แต่รู้สึกว่านี่มันผิดจริง ๆ
นางพูดเรื่องนี้กับกู้เสี่ยวหวานหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องของกู้หนิงผิงและถานอวี้ซู และยังบอกด้วยว่าสถานะของถานอวี้ซูนั้นสูงส่งเกินไป ถึงเวลาถ้ากู้หนิงผิงแต่งงานกับนางไป เขาจะไม่ถูกครอบครัวของฝ่ายหญิงดูถูกดูแคลนไปตลอดชีวิตหรือ
หากต้องการหาภรรยา แม้ว่าตอนนี้จะชอบกันมากแค่ไหนก็ตาม ก็ต้องหาคนที่ครอบครัวเหมาะสมกัน
กู้ฟางสี่เองก็หวาดกลัวเช่นกัน นางรู้สึกว่าหากชายหญิงคู่นี้แต่งงานกัน แม้ว่าพวกเขาจะชอบกันแค่ไหน แต่ตัวตนของพวกเขาก็ถูกคั่นด้วยแม่น้ำและภูเขานับพัน หากพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะมีความสุขจริงหรือ?
กู้เสี่ยวหวานพูดคุยกับนางหลายครั้งกว่าที่นางจะเข้าใจ แต่สุดท้ายกู้ฟางสี่ก็ยังคงกังวลว่าตระกูลกู้จะไม่สามารถเทียบได้กับผู้สูงศักดิ์
ต่อมาเมื่อนางรู้ว่ากู้หนิงผิงกำลังจะเข้าร่วมกองทัพ กู้ฟางสี่ก็มีความรู้สึกต่อต้าน โดยบอกว่าในค่ายทหาร ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาเพียงชั่วครู่ถัดไป มันเหมือนกับการเอาชีวิตไปเสี่ยง นางไม่อยากให้กู้หนิงผิงไป
เมื่อเห็นว่าทัศนคติของนางมั่นคงมาก กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่จำเป็น นางพูดเพียงประโยคเดียวและกู้ฟางสี่ก็ยอมเห็นด้วย