ตอนที่ 212 ปลาติดเบ็ด
ชิ่งอ๋องเห็นน้องชายนิ่งอึ้งก็ระงับโทสะตนเองลงเอ่ยว่า “น้องพี่ ข้ารู้ว่าการตายของท่านลุงกระทบกระเทือนจิตใจเจ้ามาก และเพราะเหตุนี้ เจ้าจึงต้องรักษาสติไว้ให้มั่น อย่าได้ผู้อื่นพูดจาลวงหลอกหาช่องโหว่โจมตีเจ้าได้”
ไต้เจ๋อริมฝีปากสั่นเทา “ท่านพี่ไม่เชื่อข้า?”
“ข้าไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้า แต่ไม่เชื่อวาจาเหลวไหลของหญิงสาวคนหนึ่ง” เห็นไต้เจ๋อยังต้องการโต้แย้ง แววตาชิ่งอ๋องก็เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “คนบนโลกเรานี้ได้ยินเสียงลมก็ว่าเป็นฝน หากแพร่ออกไปว่าการตายของท่านลุงเกี่ยวข้องกับข้า เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องดีต่อข้า ต่อจวนกู้ชางป๋อหรือ”
“คุณหนูโค่วจะไม่พูดออกไป…” ไต้เจ๋อพึมพำ
ชิ่งอ๋องสีหน้ายิ่งเย็นเยียบ “น้องพี่ ตอนนี้ท่านลุงไม่อยู่แล้ว เจ้าควรโตได้แล้ว”
ไต้เจ๋อแววตาตกตะลึง เป็นนานก่อนจะคอตกเศร้าสลด “ทราบแล้ว”
ชิ่งอ๋องตบไหล่เขา “ทราบแล้วก็ดี พวกเราไปจวนป๋อกันเถอะ”
ทั้งสองคนไปจวนกู้ชางป๋อด้วยกัน ฮูหยินกู้ชางป๋อเห็นบุตรชายรีบถลันออกไป และกลับมาพร้อมกับชิ่งอ๋องก็ไม่ได้ถามอันใดมากมายอีก
ความกระทบกระเทือนจิตใจที่มาอย่างกะหันหันนี้ ทำให้หญิงผู้นี้ราวกับบุปผาสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยง ซีดขาวแห้งเหี่ยว
ชิ่งอ๋องอยู่จนฟ้ามืดจึงค่อยออกจากจวนกู้ชางป๋อ ระหว่างทางกลับจวนอ๋องก็เลิกม่านหน้าต่างขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่ง
นั่นก็คือทิศทางที่ตั้งของร้านหนังสือชิงซง
ตอนได้ยินวาจาเหล่านี้ แม้ต่อหน้าไต้เจ๋อ เขาจะแสดงท่าที่แข็งกร้าวเย็นเยียบ แต่ในใจเขาจะไม่มีกระแสคลื่นกระหน่ำได้อย่างไร
ขณะที่รถม้าแล่นอยู่ ชั่วขณะหนึ่งเขาอยากสั่งสารถีมากว่าให้ไปร้านหนังสือชิงซงพบคุณหนูโค่วสักครั้ง
ดูว่านางเป็นคนหรือเป็นผี แต่เขายังคงระงับความคิดตนเองเอาไว้ได้ ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะเข้าวัง
วันต่อมาชิ่งอ๋องเข้าวังขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
หลายวันนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ออกประชุมท้องพระโรงตามปกติ จัดการราชกิจตามปกติ ไม่ว่าหน้าท้องพระโรงหรือว่าคนในวังหลังล้วนพากันเคร่งเครียดขมวดขึ้งไม่กล้าผ่อนคลายความระวัง
หากยังไม่รู้สาเหตุแท้จริงที่กู้ชางป๋อถูกฮ่องเต้เดียดฉันท์ ทุกคนก็ไม่อาจวางใจได้
แม้ชิ่งอ๋องเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอผลเป็นเช่นนี้ ในใจก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ได้แต่หันไปตำหนักฮั่นตั้นกง
จุดประสงค์ที่เขาเข้าวังวันนี้ก็เพื่อเข้าเฝ้าพระสนมซูเฟย
พอได้พบพระสนมซูเฟย ชิ่งอ๋องก็ต้องตกใจ “เสด็จแม่ เหตุใดซูบผอมเพียงนี้”
เวลาไม่กี่วัน พระสนมซูเฟยแก้มตอบลึก ขอบตามีรอยคล้ำที่แป้งชาดกลบไม่มิด
“ลุงเจ้าเกิดเหตุกะทันหันเช่นนี้ ข้าจะดีได้อย่างไร…” ให้นางกำนัลขันทีถอยไปแล้ว เหลือเพียงบุตรชายตรงหน้า พระสนมซูเฟยจึงได้หลั่งน้ำตา
ความจริงเรื่องที่ทำให้นางนอนไม่หลับทุกคืนไม่เพียงแต่เพราะความเศร้าโศกที่สูญเสียพี่ชายไป แต่ยังเป็นห่วงว่าเรื่องนั้นจะถูกเปิดโปงหรือไม่
“เสด็จแม่” ชิ่งอ๋องมองพระสนมซูเฟย เอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียด “แท้จริงเหตุใดท่านลุงจึงต้องตาย”
พระสนมซูเฟยแววตาวูบไหว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฝื่อนขม “ท่านลุงเจ้าไม่รู้จักรักษาธรรมเนียมมารยาท ดื่มสุราแล้วก็ยิ่งไม่รู้จักระงับตนเองมากขึ้น บางทีวันนั้นอาจกล่าวอันใดล่วงเกิน…ข้าเคยเตือนเขาแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาออกรบศึกเหนือใต้ในวันวานอีกแล้ว…”
“เสด็จแม่!” ชิ่งอ๋องขัดคำพูดพระสนมซูเฟยขึ้น “ท่านเห็นข้าเป็นเด็กน้อยหรือ ท่านถามทุกคนในราชสำนักดู มีผู้ใดเชื่อเหตุผลนี้บ้าง”
พระสนมซูเฟยพลันพูดไม่ออก ริมฝีปากสั่นเทาครู่หนึ่งแล้วก็มิได้เอ่ยอันใดออกมา
ชิ่งอ๋องย่อตัวลงคว้าแขนเสื้อพระสนมซูเฟยไว้เหมือนตอนเป็นเด็ก ถามคำถามนั้นทีละคำ “เสด็จแม่ การตายของท่านลุงเกี่ยวข้องกับข้าใช่หรือไม่”
เขาเห็นแววตาตื่นตกใจและลนลานของมารดาตน ก็นิ่งอึ้งไปทันที
คำพูดน้องชายเขาถึงกับเป็นเรื่องจริง!
“เสด็จแม่ พูดสิ!”
พระสนมซูเฟยตั้งสติได้ก็กระชากแขนเสื้อตนเองออกจากมือชิ่งอ๋อง พยายามฝืนระงับอารมณ์ตนเองเอ่ยว่า “อี้เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้คิดเหลวไหล แต่เล็กจนโตเจ้ายอมเรียนหนังสือ รู้จักกตัญญู ไม่นานนี้ยังสร้างความดีความชอบกลับมา เป็นองค์ชายที่เสด็จพ่อให้ความใส่พระทัยที่สุด การตายของลุงเจ้าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าได้อย่างไร”
ชิ่งอ๋องถามอีก พระสนมซูเฟยก็ยิ่งปิดปากสนิท
เขารู้ว่าคงถามไม่ได้ความอันใดจากปากเสด็จแม่แล้ว ได้แต่กลับไป “เสด็จแม่พักผ่อนให้ดี อย่าได้เสียพระทัยจนเสียสุขภาพ”
“เจ้าเองทำอันใดก็สุขุมให้มากหน่อย อย่าได้ถูกคำพูดเหลวไหลทำให้หวั่นไหว และก็ต้องเตือนน้องชายเจ้าด้วยว่าอย่าได้เหลวไหลเหมือนเมื่อก่อน”
“ข้าทราบแล้ว”
มองตามชิ่งอ๋องจากไป พระสนมซูเฟยกลับถึงห้องด้านในก็นั่งลงบนเตียงนอน มือกำเสาเตียงไว้แน่น
อี้เอ๋อร์ได้ยินอันใดมาใช่หรือไม่ ตอนนี้นอกวังมีข่าวลืออันใด
เรื่องที่พระสนมซูเฟยหวาดกลัวที่สุดก็คือเรื่องที่พี่ชายส่งคนไปสังหารฮองเฮาซินถูกเปิดโปง
นางไม่โทษพี่ชายว่าคิดทำเอาเอง
นางกับพี่ชาย คนหนึ่งในวัง คนหนึ่งนอกวัง อาศัยที่นางดูแลวังหลัง การจะส่งข่าวออกไปก็ยังไม่ยาก แต่โอกาสจะได้พบหน้ากันนั้นน้อยมาก
ตอนพบร่องรอยหญิงที่หายสาบสูญไปผู้นั้น อันดับแรกที่คิดก็ย่อมเป็นตัดรากถอนโคน ไม่เช่นนั้นรอให้พบหน้าหารือกันค่อยลงมือ ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะแปรเปลี่ยนเป็นเช่นใด
นางกำนัลเดินเข้ามาเงียบกริบ รายงานเบาๆ ว่า “พระสนม หลายวันนี้ผู้ที่ดูแลวังหลังก็คือพระสนมเสียนเฟย”
พระสนมเสียนเฟยก็คือพระมารดาขององค์ชายสาม
หลายวันนี้การตายของพี่ชายพระสนมซูเฟยกำลังเป็นกระแส อำนาจการจัดการวังหลังที่นางใส่ใจที่สุดตกอยู่ในมือพระสนมเสียนเฟย
ยังดีที่ไม่ใช่พระสนมอันผิน…นี่คือความคิดแวบแรกของพระสนมซูเฟย
พระสนมอันผินเป็นเสด็จแม่ขององค์ชายใหญ่ซิ่วอ๋อง ในพระทัยพระสนมซูเฟย แม้ฮ่องเต้ไม่โปรดซิ่วอ๋อง แต่ในฐานะบุตรชายคนโต ซิ่วอ๋องก็คือภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบุตรชายนาง
แต่ไม่นานนางก็กระดกมุมปาก แววตาสีหน้าได้ใจ
นางย่อมควรได้ใจ
ตอนนั้นฮ่องเต้ไปตำหนักพระสนมอันผินมากกว่า พระสนมอันผินตั้งครรภ์ก่อนนาง ฮองเฮาให้กำเนิดไม่ได้ ในบรรดาพวกนาง ผู้ใดให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ก่อน ก็ย่อมแตกต่าง
ผู้ใดจะรู้ว่าตอนพวกนางตั้งครรภ์ไม่นาน ฮองเฮาเองก็ตั้งครรภ์
ฮ่องเต้เป็นเจ้าผู้ปกครองแผ่นดิน รับพระสนมนางในยังไม่กล้าให้ฮองเฮารู้ ส่งพวกนางไปอยู่อี๋หยวน หากฮองเฮาให้กำเนิดโอรส ยังจะมีทางรอดให้พวกนางอีกหรือ!
ดีที่พระสนมอันผินโง่เง่าไม่น้อย ปรากฏตัวต่อหน้าฮองเฮาตามแผนของนาง ฮองเฮาโง่เง่ายิ่งกว่าพระสนมอันผิน ถึงกับถือทิฐิไปจากวังหลวง
แต่นี้ไปในวังไม่มีฮองเฮาแล้ว และมีองค์ชายใหญ่ที่ถูกทอดทิ้งเพิ่มมาคนหนึ่ง
พระสนมซูเฟยแววตาวูบไหวเล็กน้อย กระชากตนเองออกจากความคิดในอดีต
หญิงผู้นั้นหายสาบสูญไปหลายปี นางราบรื่นดีมาตลอด ตอนนี้ประสบกับด่านที่สอง ยังจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นไหม
คิดถึงตอนนี้ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ พระสนมซูเฟยก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทันที
ชิ่งอ๋องออกจากวังหลวงก็ตรงกลับจวนอ๋องก่อน
สังเกตว่าตามท้องถนนหลายวันนี้มีกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมากขึ้น เขาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่ไม่ได้แสดงสถานะแล้วก็นั่งรถม้าธรรมดาตรงไปร้านหนังสือชิงซง
ช่วงใกล้เที่ยง ยังไม่ใช่เวลาที่นักเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนจะออกมากัน คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ไม่เลือกเวลากินข้าวตอนเที่ยงมาเดินร้านหนังสือ ยามนี้ร้านหนังสือชิงซงนับว่าเงียบสงบ
ชิ่งอ๋องลงจากรถม้าเข้าไปในร้านหนังสือ บ่าวรับใช้ติดตามมาสองคน ยังมีองครักษ์แอบซุ่มอยู่รอบร้านหนังสือ
ในห้องโถง ผู้ดูแลร้านหูนั่งอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินหลับตาพัก ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็ลืมตาขึ้นแล้วก็รีบลุกขึ้นคำนับ
ชิ่งอ๋องแสดงท่าทีให้เขาอย่างส่งเสียงดัง ถามขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “คุณหนูโค่วล่ะ”
ผู้ดูแลร้านหูกวาดตามองไปยังชั้นหนังสือเรียงรายด้วยสัญชาตญาณ “เจ้าของร้านเรา…”
ชิ่งอ๋องก็เห็นสาวน้อยในชุดกระโปรงสีครามเสื้อสีอ่อนหอบหนังสือเดินออกมาจากแถวชั้นหนังสือ