ตอนที่ 2935 คัดเลือก

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 2935 คัดเลือก

เรือนมรรคกลาง

บนโต๊ะวางอาหารรสเลิศเต็มโต๊ะ การกลับมาของหลินสวินได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากรองหัวหน้าหอทั้งเจ็ดนนำโดยเสวียนเฟยหลิง

ในงานเลี้ยง พวกเสวียนเฟยหลิงแย่งกันถามรายละเอียดการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในน่านฟ้าที่หก

หลินสวินไม่ได้ปิดบัง ตอบทุกคำถามเช่นกัน

ชั่วขณะหนึ่งก็ได้ยินเสียงอุทานดังขึ้นไม่ขาดหู

เมื่อรู้รายละเอียดยิ่งทำให้ในใจเฒ่าชราอย่างพวกเขาสั่นไหว และยิ่งตระหนักได้ว่าพลังต่อสู่ของหลินสวินตอนนี้เย้ยฟ้าขนาดไหนเช่นกัน艾琳小說

โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าหลินสวินใช้พลังแห่งตนอย่างเดียวกำจัดรูปจำลองเจตจำนงของไท่เฮ่าหานเว่ยได้ พวกเขาล้วนอึ้งอยู่ตรงนั้น แต่ละคนตาเบิกโพลง มองหน้ากันไปมา

เนิ่นนานพวกเขาถึงค่อยคืนสติ เพียงแต่ยามมองมาทางหลินสวิน แววตาล้วนเปลี่ยนเป็นแปลกไป มองจนหลินสวินอึดอัดไปทั้งตัวจนต้องรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ผู้อาวุโสทุกท่าน ข้าคิดจะไปน่านฟ้าที่แปดสักรอบ” หลินสวินเอ่ยปาก

ประโยคเดียวทำเอาบรรยากาศที่เดิมทีคึกคักเงียบสงัดลง

“คาดไว้นานแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ว่าคราวนี้เจ้าจะตัดสินใจเองโดยพลการไม่ได้อีกแล้ว”

เสวียนเฟยหลิงกล่าวสีหน้าจริงจัง “ข้ารู้ว่าสิบยักษ์ใหญ่อมตะในตอนนี้เสียหายรุนแรง สถานการณ์ล่อแหลมยิ่ง ขอเพียงคว้าโอกาสนี้ไว้ก็สามารถเล่นงานพวกเขาถึงชีวิตได้ แต่ถ้าเจ้าไปจริงๆ เกรงว่าจะเจอภัยร้ายแรงที่คาดไม่ถึง”

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดลงกล่าวว่า “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”

ฟางเต้าผิงเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “สิบยักษ์ใหญ่อมตะต่างก็มีเผ่าเทพนิรันดร์หนุนอยู่เบื้องหลัง อย่างเบื้องหลังตระกูลหวังก็คือเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลชาง เบื้องหลังตระกูลจู่คือเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยวน…”

“ครั้งนี้สิบยักษ์ใหญ่อมตะพ่ายแพ้ยับเยิน สะเทือนไปถึงรากฐานตระกูลของพวกเขา มีหรือพวกเขาจะเดาไม่ออกว่าเจ้าจะต้องมุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่แปดแน่ๆ”

“สิบยักษ์ใหญ่อมตะต้องแล่นไปขอความช่วยเหลือเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้าทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย!”

ตู๋กูยงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็กล่าวว่า “นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีเพียงน่านฟ้าที่แปดเท่านั้นที่มีเส้นทางเชื่อมต่อกับน่านฟ้าที่เก้า หากบอกว่าน่านฟ้าที่เก้าเป็นรังของเผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้น น่านฟ้าที่แปดนั่นก็คือประตูใหญ่ของรังนี้ และสิบยักษ์ใหญ่อมตะก็เป็นหมาเผ้าประตู”

“ตีหมาไม่ต้องรีบ แต่ถ้าฆ่าหมาไปแล้ว ต่อไปใครจะเฝ้าประตูให้เผ่าเทพนิรันดร์พวกนั้นเล่า”

“ถ้าครั้งนี้เจ้าไปน่านฟ้าที่แปด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเจอการโจมตีที่มาจากเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้า นี่จึงจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่สุด”

ตู๋กูยงเพิ่งพูดจบ เสวียนเฟยหลิงก็เอ่ยปากต่อ “อันที่จริงเคราะห์แห่งยุคสมัยกำลังจะมาแล้ว ตอนเผ่าเทพนิรันดร์กำลังเตรียมการสำหรับเรื่องนี้ คงไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องอื่น แต่ถ้าเกิดเหตุอันตรายที่สามารถคุกคามมาถึงพวกเขา มีหรือพวกเขาจะนิ่งดูดาย”

อวี๋สิ่งที่อยู่อีกด้านกล่าวเสริม “ยิ่งกว่านั้นลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานไม่เคลื่อนไหวมาตลอด นี่ต่างหากที่เป็นภัยคุกคามที่ต้องระวังและป้องกันที่สุด”

หยวนอู่เทียน ถงเจาอวิ๋น จางเชียนซีเองก็เอ่ยปากเช่นกัน หลินสวินรีบโบกมือทันที ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ข้าเข้าใจแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้ายังจะไปน่านฟ้าที่แปดอีกหรือไม่”

เสวียเฟยหลิงเอ่ย

สายตาเหล่าเฒ่าดึกดำบรรพ์มองมาทางหลินสวิน ราวกับขอเพียงเขากล้าบอกว่าจะไป ก็จะห้ามปรามเขาต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด

หลินสวินกล่าวอย่างจนใจ “ข้าฟังคำพวกท่าน”

ทุกคนล้วนขึ้นออกมาอย่างอดไม่ได้

ความจริงหลังฟังการวิเคราะห์ของพวกเขาแล้ว หลินสวินเองก็ตระหนักได้ว่าถ้าคิดฉวยโอกาสนี้ขุดรากถอนโคนสิบยักษ์ใหญ่อมตะ เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะยังมีภัยคุกคามที่ใหญ่กว่าอีกสองอย่าง

หนึ่งคือกำลังพลของลัทธิพ่อมดและลัทธิฌาน

อีกหนึ่งคือเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้า

ถ้าเขาไปน่านฟ้าที่แปด ภัยคุกคามใหญ่ทั้งสองนี้ต้องฉวยโอกาสโจมตีเป็นแน่

“ตอนนี้ห่างจากช่วงที่หัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์อีกแค่ยี่สิบกว่าปี ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เจ้าก็อยู่ที่ลัทธิแรกกำเนิด ตั้งใจฝึกปราณก็พอ”

ตู๋กูยงเอ่ยแนะนำ

หลินสวินพยักหน้าและเอ่ยถามต่อว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ถ้าเคราะห์แห่งยุคสมัยมาถึง พวกเราลัทธิแรกกำเนิดควรสลายเคราะห์อย่างไร”

ประโยคเดียวทำเอาพวกเสวียนเฟยหลิงล้วนคร่ำเคร่งไอรีนโนเวล

พักใหญ่เสวียนเฟยหลิงจึงเอ่ยเสียเบา “รอหลังจากหัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคแล้วค่อยคุยเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย”

สำหรับลัทธิแรกกำเนิด เรื่องที่โหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

ถึงตอนนั้นพลังระเบียบระดับเทพของลัทธิแรกกำเนิดจะได้รับผลกระทบจากมหาเคราะห์นิรันดร์ ทำให้ทั้งแดนแรกเริ่มเสียการคุ้มครอง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้ากำลังพลของลัทธิพ่อมดและลัทธิฌานบุกเข้ามา ต้องเกิดการต่อสู้ที่ยากจะคาดเดาขึ้นอย่างแน่นอน

เห็นเช่นนี้หลินสวินก็ไม่ถามอะไรอีก

หลังงานเลี้ยงจบลง

หลินสวินมุ่งหน้าไปยอดเขาที่เก้า

เมื่อเห็นหลินสวินปรากฏตัว โม่หลันซานก็หัวเราะลั่นพลางเข้าไปต้อนรับ ประสานมือกล่าว “ผู้นำยอดเขาที่เก้าโม่หลันซาน คาราวะรองหัวหน้าหอหลิน!”

หลินสวินยิ้มเจื่อนกล่าว “ผู้อาวุโส ระหว่างพวกเรายังต้องมีพิธีเช่นนี้ด้วยหรือ”

หลังจากลัทธิแรกกำเนิดทำการชำระล้างครั้งใหญ่ในปีนั้น ผู้นำยอดเขาที่เก้าฉินอู๋อวี้ก็เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสในหอแรกมายา

ส่วนตำแหน่งผู้นำยอดเขาก็ให้โม่หลันซานรับช่วงต่อ

โม่หลันซานยิ้มกว้างกล่าวว่า “ในเมื่อไม่ต้องมีพิธีเช่นนี้ เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเล่า ต่อไปเรียกข้าเหล่าโม่ก็พอ”

หลินสวินรับคำอย่างยินดี

จากนั้นโม่หลันซานก็พาหลินสวินเข้ามารับรองในโถงใหญ่ หลังจากชงชาให้หลินสวินกับมือแล้วจึงค่อยเอ่ยถาม “น้องชายไม่ใช่ว่าปิดด่านอยู่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงมายอดเขาที่เก้า หรือว่ามีเรื่องอะไรอยากให้ช่วย”

หลินสวินเองก็กล่าวอย่างไม่ปิดบัง “ข้ารับศิษย์มาคนหนึ่ง ปีนี้เพิ่งอายุหกขวบ ไม่เคยฝึกปราณมาตลอด ต่อจากนี้ไปข้าอาจจะยังต้องปิดด่านต่อ ไม่มีเวลาสอนนางฝึกปราณ ดังนั้นจึงมาที่นี่โดยเฉพาะ อยากให้นางฝึกปราณอยู่ที่ยอดเขาที่เก้าก่อนสักระยะหนึ่ง”

โม่หลันซานกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าออกไปรับศิษย์ข้างนอกตั้งแต่เมื่อไร”

“ไม่กี่วันก่อน” หลินสวินกล่าว

เขาไม่ได้อธิบายมากนัก เรื่องที่เกี่ยวกับเขาและพันธมิตรสงครามสิบตระกูล ถึงตอนนี้ยังถูกพวกเสวียนเฟยหลิงปิดเงียบไว้ไม่ให้ทั้งลัทธิแรกกำเนิดล่วงรู้

โม่หลันซานไม่ได้ถามอะไรมาก ยิ้มกล่าว “เจ้าวางใจได้ มอบให้ข้าก็พอ”

หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ถังเจียงก็ปรากฏตัวออกมาตรงหน้า เด็กน้อยมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วกล่าว “ อาจารย์ ที่นี่คือที่ไหนหรือ”

หลินสวินอมยิ้มกล่าว “ต่อไปนี่ก็คือบ้านของเจ้า ยัยน้อย คนนี้คือผู้นำยอดเขาโม่ ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าจะฝึกปราณข้างกายเขาไปก่อน”

ถังเจียงรีบเอ่ย “อาจารย์ ท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ”

โม่หลันซานหัวเราะกล่าวว่า “อาจารย์เจ้าต้องปิดด่านสักระยะหนึ่ง รอหลังเขาออกด่านแล้วเจ้าก็กลับไปฝึกปราณข้างกายเขาได้”

ถังเจียงยังไม่วางใจ มองหลินสวินตาปริบๆ

หลินสวินยิ้มพลางลูบหัวน้อยๆ ของนาง กล่าวว่า “ผู้นำยอดเขาโม่พูดไม่ผิด อาจารย์ต้องปิดด่านสักระยะจริงๆ”

ถังเจียงถึงคล้ายใจลง เอ่ยเสียงกระจ่างใส “ข้าฟังคำอาจารย์!”

หลินสวินกับโม่หลันซานสบตากันแล้วหัวเราะออกมา

นับจากวันนี้ไปถังเจียงก็อยู่ฝึกปราณที่ยอดเขาที่เก้า

นางที่เพิ่งจะหกขวบได้รับการต้อนรับจากเหล่าผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าทั้งบนล่าง โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่านางเป็นศิษย์เบื้องท้ายของหลินสวิน แม้แต่ศิษย์แกนหลักบางคนยังอิจฉายิ่ง

หลังกลับมาถ้ำสถิต หลินสวินก็นั่งลงขัดสมาธิ

‘ระยะเวลาก่อนหัวหน้าโหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์เหลือประมาณยี่สิบปี ส่วนระยะห่างของขั้นสัมบูรณ์ของข้ายังห่างไกลอยู่ไม่น้อย…’

หลินสวินจมสู่ภวังค์

ในเมื่อตัดสินใจไม่ไปน่านฟ้าที่แปดแล้ว ในใจหลินสวินก็เริ่มมุ่นมั่นกับการฝึกปราณของตัวเอง

จากขั้นหลุดพ้นขั้นปลายไปถึงขั้นสัมบูรณ์ ไม่มีทางลัดอื่นให้เดิน

เหมือนอย่างยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลหวัง มีขั้นหลุดพ้นมากกว่าร้อยคน แต่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ผู้ที่ก้าวสู่ขั้นสัมบูรณ์ได้มีเพียงเก้าคนเท่านั้น

จากจุดนี้ก็เห็นได้ว่าคิดจะทะลวงไปถึงขั้นสัมบูรณ์ยากเย็นเพียงใด

แต่หลินสวินกลับไม่กังวลเรื่องพวกนี้

ในมือเขาไม่ขาดทรัพยากรฝึกปราณ สิ่งเดียวที่ขาดกลับเป็นเวลา

เวลาราวๆ ยี่สิบปี ถ้าทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าสู่การฝึกปราณ ก็น่าจะทะลวงไปถึงขั้นสัมบูรณ์ได้

‘ยังมีพลังระเบียบนิพพาน ตอนนี้ก็หลอมไปได้แค่หกส่วนเท่านั้น’

หลินสวินนึกถึงยามอยู่น่านฟ้าที่หก ภาพการต่อสู้กับพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ของพันธมิตรสงครามสิบตระกูลนั่น

เรียกได้ว่ากฎเกณฑ์อมตะที่เขาหลอมพลังระเบียบนิพพานหกส่วนเข้าไปนั่น มีประโยชน์ในการต่อสู้เป็นอย่างมาก

นี่ก็คือรากฐานให้เขาสามารถสำแดงอานุภาพไร้ศัตรูที่ประเหนึ่งชั้นยอดได้

ตอนนั้นแม้แต่ ‘เจตเยือกแข็งไร้สิ้นสุด’ ที่แฝงพลังกฎระเบียบซึ่งไท่เฮ่าหานเว่ยสำแดงออกมา ล้วนถูกกฎเกณฑ์อมตะของเขาสลายไปทั้งหมด แค่คิดก็รู้ว่าอานุภาพของระเบียบนิพพานน่าสะพรึงเพียงใด

พูดกันถึงขอบเขต กฎเกณฑ์อมตะที่หลินสวินครอบครองตอนนี้ ล้วนสามารถไปสั่นคลอนกฎเกณฑ์ฟ้าดินได้!

นี่ยังเป็นเพียงอานุภาพของระเบียบนิพพานหกส่วนเท่านั้น

ถ้าหลอมมาได้ทั้งหมดต้องยิ่งน่าเหลือเชื่อเป็นแน่

เพียงแต่หลินสวินรู้ดีว่าในช่วงเวลาหลังจากนี้ ต่อให้ตนทุ่มเวลาและพลังทั้งหมดหลอมระเบียบนิพพาน ก็เกรงว่าจะไม่อาจหลอมมันได้ทั้งหมด

หนึ่ง เพราะเวลาไม่พอ

สอง เพราะการหลอมระเบียบนิพพานยากเกินไปอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้หลินสวินปิดด่านห้าสิบห้าปี ก็หลอมไปได้แค่หกส่วนเท่านั้น

จุดนี้หลินสวินกลับไม่ได้รีบร้อน จากที่เขาดู สามารถหลอมระเบียบนิพพานได้ทั้งหมดก่อนแจ้งมรรคนิรันดร์ก็พอแล้ว

‘นอกจากนี้พลังอภินิหารพรสวรรค์อย่างดาบกาลเวลาและประทับผนึกเวลาก็ต้องศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น…’

ไม่ทันไรหลินสวินพลันนึกถึงพลังพรสวรรค์ที่ตัวเองครอบครองขึ้นมาอีกครั้ง

นัยเร้นลับของประตูเนรเทศถูกเขาศึกษาอย่างละเอียดแล้ว

แต่ดาบกาลเวลากับประทับผนึกเวลาที่เขาครองครอง กลับยังไม่อาจครอบครองนัยเร้นลับของมันอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะดาบกาลเวลา อภินิหารนี้เป็นสิ่งที่สืบต่อมาจากเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ ในการต่อสู้หลายปีนี้หลินสวินแทบจะไม่ค่อยได้ใช้ทัน

ทว่าอภินิหารนี้เป็นอภินิหารพรสวรรค์ขั้นที่สามเช่นกัน หากใช้ได้ถูกที่ถูกเวลา อานุภาพของมันย่อมทรงพลังมาก

ส่วนประทับผนึกเวลายิ่งไม่ต้องพูดถึง พลังป้องกันของมันเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าแน่นอน เพียงแต่สำหรับหลินสวิน รัศมีการปกคลุมของมันมีจำกัด ครอบคลุมห้วงอากาศได้เพียงพันจั้งเท่านั้น

นึกย้อนไปถึงตอนนั้น ประทับผนึกเวลาที่จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์สำแดง สามารถปกคลุมทั้งแดนผนึกเรืองแสงได้ แม้แต่ระดับนิรันดร์ที่แท้จริงก็ไม่อาจสั่นคลอน

นั่นถึงจะเป็นอานุภาพที่แท้จริงของประทับผนึกเวลา!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท