การต่อสู้ปิดฉากลงอย่างหวุดหวิด
รูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์ทั้งสองนั้น ท้ายที่สุดก็ยังถูกจ้งชิวสังหาร
ใช้เวลาหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ
และจ้งชิวก็จ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย ร่างกายได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรง เพียงแต่ดูแล้วยับเยินนัก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดขาว หายใจหอบถี่
ชั่วขณะที่การต่อสู้จบลงนั้น เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เอ่ยทอดถอนใจว่า “ตอนนี้นับว่าข้าได้รู้แล้ว ว่าระดับของเจ้าศิษย์น้องเล็กแข็งแกร่งปานไหน”
หลินสวินก้าวไปข้างหน้า ส่งลูกกลอนโอสถขวดหนึ่งให้จ้งชิว เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ รักษาแผลก่อน”
ไกลออกไปเสวียนเฟยหลิงที่เห็นภาพก่อนหน้านี้ทั้งหมดกลับกล่าวพึมพำ “ดังคาด ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่มีใครไม่วิปริตสักคน…”
เพียงอาศัยพลังต่อสู้ของตัวเอง ในสถานการณ์หนึ่งต่อสองยังสังหารรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์สองคนได้ ความแข็งแกร่งของจ้งชิวเรียกได้ว่าเย้ยฟ้าแล้ว
แน่นอนว่าถ้าเทียบกับหลินสวินอาจจะด้อยกว่าไม่น้อย แต่เทียบกับคนระดับเดียวกันบนโลกนี้คนอื่น จ้งชิวก็เรียกได้ว่าเป็นพวกอหังการของระดับนี้ไปแล้ว!
……
ทะเลหมื่นดาราไม่คืนสภาพนานแล้ว บนผืนดินแหวกออกเป็นโกรกธารน่าตกตะลึง ตัดสลับนับไม่ถ้วน สรรพสิ่งล้วนวอดวาย ห้วงอากาศปั่นป่วนมีพายุอาละวาด ส่งเสียงหวีดหวิวออกมา
นี่เป็นร่องรอยที่มหาศึกหลงเหลือไว้!
ต่อให้จักจั่นทองลงมือสลายภัยพิบัติที่รุนแรงที่สุดได้ทันเวลา แต่ความพังพินาศจากระลอกคลื่นการต่อสู้ก็ยังเรียกได้ว่าน่าตกตะลึง
อย่างน้อยในเวลาสั้นๆ ทะเลหมื่นดาราก็ไม่มีทางกลับไปเป็นดังเก่าได้
การต่อสู้ปิดฉากลงแล้ว หลินสวินจัดการทรัพย์หลังศึกในสนามรบ ดวงตามองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้า
ที่นั่นแสงเคราะห์โชติช่วง สายฟ้าถาโถม มหาเคราะห์นิรันดร์ที่พุ่งเป้าไปยังโหยวเป่ยไห่นี้ยังดำเนินต่อไป เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็พาให้คนอกสั่นขวัญแขวนแล้ว
“ไป กลับสำนักเดี๋ยวนี้เลย”
หว่างคิ้วเสวียนเฟยหลิงเผยแววหนักอึ้ง
แม้เคราะห์สังหารที่มาจากโลกภายนอกจะคลี่คลาย แต่โหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์ได้สำเร็จหรือไม่ยังชวนปาดเหงื่อดังเดิม ไม่อาจคาดเดาได้
ฟุ่บๆๆ!
ไม่นานนักเงาร่างของพวกเขาก็หายลับไปในทางเข้าลัทธิแรกกำเนิด
……
“จบหรือยัง”
“มหาเคราะห์วันสิ้นโลกนั่นไม่ได้มาเยือน”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมภัยพิบัติน่ากลัวปานนี้ถึงเกิดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ”
ขณะเดียวกันทั้งน่านฟ้าที่เจ็ด สรรพชีวิตมากมายก็ค่อยๆ สงบใจลงจากความพรั่นพรึงและสิ้นหวัง
มหาเคราะห์ราวกับจะทำลายโลกเมื่อครู่นั้นไม่ได้มาเยือนจริงๆ แต่สำหรับสรรพชีวิตที่กระจายอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ดเหล่านี้แล้ว กลับไม่ด้อยไปกว่าเดินเฉียดใกล้ประตูผี
และตอนนี้เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังกฎระเบียบฟ้าดินค่อยๆ กลับเป็นปกติ มองดูบนเวิ้งฟ้านั้นก็ไม่ปรากฏภัยพิบัติน่าเหลือเชื่ออีก ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนรอดจากหายนะ ทั้งยินดีปรีดาและฉงนใจ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
และในเวลาเดียวกัน ในน่านฟ้าที่หนึ่งถึงหก กระทั่งน่านฟ้าที่แปด ต่างก็ถกกันถึงปรากฏการณ์ประหลาดพิบัติเคราะห์ที่เรียกได้ว่าไม่เคยพบเห็นมาก่อนนี้
แต่เทียบกับน่านฟ้าที่เจ็ด น่านฟ้าอื่นไม่ได้สัมผัสชัดเจน แรงโจมตีที่ได้รับก็ไม่มาก ดังนั้นแม้จะตกตะลึงและฉงนใจ แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก
มีเพียงขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะในน่านฟ้าที่แปดนั้นที่สัมผัสกลิ่นอายที่แตกต่างออกไปได้อย่างชัดเจน รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปบ้าง
ทว่าขนาดพวกเขาก็ยังคาดเดาไม่ได้ ว่าตอนจบของเคราะห์สังหารที่พุ่งเป้าไปยังหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดนี้เป็นเช่นไร
ก็ในวันนั้นเอง ยักษ์ใหญ่เหล่านี้ก็ส่งกำลังพลออกไปสืบข่าวจากโลกภายนอก
……
แดนแรกเริ่ม
เคราะห์สวรรค์อันน่าครั่นคร้ามก็ถั่งโถมลงมาเหมือนน้ำตก
เงาร่างของโหยวเป่ยไห่กรำศึกอยู่กลางเคราะห์สวรรค์ ภาพดูน่ากลัวนัก
“พวกเจ้าควรทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องสนข้า ข้าจะดูอยู่ตรงนี้”
จ้งชิวหยุดเท้าทันที มองไปยังมหาเคราะห์นิรันดร์ครั้งนี้
หลินสวินคิดแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ข้าก็จะอยู่ด้วย”
ก่อนจักจั่นทองจากไปได้มอบขวดหยกไว้กับเขาขวดหนึ่ง ให้เขามอบให้โหยวเป่ยไห่หลังจากเคราะห์นิรันดร์ครั้งนี้ปิดฉากลง
“ได้ ข้าไปหาพวกเหล่าฟาง”
เสวียนเฟยหลิงทะยานตรงไปแดนลับแรกฟ้า
ตอนนี้รองหัวหน้าหออย่างพวกฟางเต้าผิง ตู๋กูยง หยวนอู่เทียนต่างอยู่ที่แดนลับแรกฟ้า ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่โลกภายนอก
กระทั่งเสวียนเฟยหลิงจากไป หลินสวินจึงเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ ตอนนี้ท่านน่าจะบอกข้าได้แล้วกระมัง ว่าทำไมผู้อาวุโสจักจั่นทองถึงยืนกรานจะให้พวกอาจารย์อาคงเจวี๋ยไปแหล่งสถานคุนหลุนด้วยให้ได้”
จ้งชิวคิดๆ แล้วกล่าวว่า “ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว”
“ฟ้าเปลี่ยนหรือ”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดลงเล็กน้อย
จ้งชิวเอ่ยเสียงเบาว่า “สถานการณ์วันนี้คล้ายเป็นหมากกระดานหนึ่ง และเป็นไปได้สูงยิ่งว่าคนวางหมากจะเป็นผู้บงการหลังม่านเคราะห์แห่งยุคสมัยนั่น”
หลินสวินเอ่ยอย่างกริ่งเกรง “ก่อนหน้านี้บรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ ผู้อาวุโสซวีอิ่นก็เคยสันนิษฐานไว้เช่นนี้ ทั้งยังบอกว่าวสิ่งที่เคราะห์สังหารนี้ต้องการจัดการจริงๆ… น่าจะเป็นข้า”
จ้งชิวเอ่ยปากชมอย่างอดไม่ได้ “ผู้อาวุโสซวีอิ่นสมกับเป็นยอดเมธีผู้มากความสามารถที่ท่องไปในยุคสมัยมากมาย ข้อสันนิษฐานของเขากับอาจารย์ และผู้อาวุโสจักจั่นทองเหมือนกัน”
หลินสวินจิตใจหดเกร็ง “หมายหัวข้าจริงๆ หรือ”
จ้งชิวยิ้มเอ่ย “ทำไม ศิษย์น้องเล็กเจ้ากลัวหรือ”
หลินสวินส่ายหัว “ข้าไม่ได้กลัว แต่ไม่เคยคิดว่าเป้าหมายสุดท้ายของเรื่องในวันนี้จะดันเป็นการจัดการข้า”
จ้งชิวเอ่ย “อาจารย์เคยว่าไว้ มีเพียงพลังนิพพานถึงคุกคามผู้บงการหลังม่านนั่นได้ เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยเผยพลังนิพพาน บนโลกนี้ก็แทบไม่มีใครเชื่อว่าจะมียอดมรรคาอมตะอยู่ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่เพียงลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน กับเผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าพวกนั้นที่รู้เรื่องนี้ กระทั่งผู้บงการหลังม่านนั่นก็คงระแวงระวังแล้ว”
เขาหยุดไปครู่แล้วเอ่ยว่า “ก็อย่างเคราะห์สังหารในวันนี้ ถ้าไม่ใครบงการ เจ้าคิดว่าลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน และน่านฟ้าที่เก้าจะเคลื่อนกำลังพลมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาไม่กังวลว่าถ้าเปิดศึกเต็มรูปแบบกับลัทธิแรกกำเนิด ก็จะทำให้ตนเสียหายมหาศาลไปด้วยหรือ”
หลินสวินนึกถึงแต่ละเหตุการณ์ในวันนี้ กระทั่งรูปจำลองเจตจำนงบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งของหอบรรพจารย์ทั้งสองหอกับร่างต้นระดับนิรันดร์ล้วนออกเคลื่อนไหว นี่ก็เหนือความคาดหมายเกินไปจริงๆ!
ถ้าไม่ใช่เพราะมีใครบงการ ลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน และเผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าเหล่านั้น จะยอมส่งกำลังพลน่ากลัวมากขนาดนี้มาสู้ได้อย่างไร
“นี่เป็นสิ่งที่ผู้บงการหลังม่านนั่นควบคุมทั้งหมดหรือ”
ในใจหลินสวินหนาวสะท้าน
จ้งชิวเอ่ย “น่าจะเป็นเช่นนี้”
“ศิษย์พี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าตกลงแล้วผู้บงการหลังม่านนั่นเป็นคนหรือพลังกฎระเบียบที่ลึกลับน่ากลัวถึงขีดสุดบางอย่างกันแน่” หลินสวินถามอย่างอดไม่ได้
ตั้งแต่สมัยอยู่แหล่งสถานศุภโชคเขาก็เคยถามเฉินหลินคงเช่นกัน แต่เฉินหลินคงกลับให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้
เพราะในการผันเปลี่ยนของมหายุคมากมาย ไม่มีใครเคยเห็นผู้บงการหลังม่านคนนี้สักนิด!
รวมถึงเฉินซีปู่ทวดของเฉินหลินคง เมื่อนานมาแล้วก็เริ่มเสาะหาร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับผู้บงการหลังม่านนี้ แต่เหมือนว่า… จะไม่พบอะไรเท่าไรเช่นกัน
ดังคาด จ้งชิวก็ส่ายหัวเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่ข้า กระทั่งพวกอาจารย์กับผู้อาวุโสจักจั่นทองยังได้แต่คาดเดากับสันนิษฐานบางสิ่งบางอย่างมาจนถึงตอนนี้”
พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง เนิ่นนานก่อนหน้านี้อาจารย์ก็จากไปเพื่อหาแหล่งสถานอัศจรรย์นั่น เจ้ารู้ไหมว่าทำไมอาจารย์ถึงทำเช่นนี้”
หลินสวินเอ่ย “ตามที่พูดกัน มีข่าวลือว่าในแหล่งสถานอัศจรรย์มีวิธีสลายเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้โดยสมบูรณ์อยู่”
จ้งชิวพยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ สถานที่อย่างแหล่งสถานอัศจรรย์ไม่ใช่ที่ที่ผู้บงการหลังม่านนั่นควบคุมได้ และก็มีแต่ที่นั่นที่อาจจะหาโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้บงการหลังม่านนั่นได้”
หลินสวินถอนใจเบาๆ “ตอนนี้ข้าไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องพวกนี้จริงๆ”
จ้งชิวยิ้มออกมา “กังวลว่าหลังจากถูกผู้บงการหลังม่านนั่นหมายหัวแล้ว ต่อจากนี้ไปจะไม่มีวันสงบสุขหรือ”
ไม่ทันรอให้หลินสวินตอบ จ้งชิวก็เอ่ยว่า “วางใจ ก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยจะมาเยือนในพันปี ผู้บงการหลังม่านนั่นย่อมไม่สามารถปรากฏตัวเด็ดขาด”
หลินสวินประหลาดใจ “รู้ได้อย่างไร”
จ้งชิวยักไหล่พูด “อาจารย์บอกมา ถ้าเจ้าอยากรู้ ภายหน้ารอได้พบอาจารย์ไปถามเขาก็รู้แล้ว”
หลินสวิน “…”
จ้งชิวตบไหล่เขาเบาๆ เอ่ยว่า “ถ้าผู้บงการหลังม่านปรากฏตัวก็เท่ากับเดินมาหน้าฉากแล้ว ไม่อาจพูดว่าเป็นผู้บงการลับๆ ได้อีก ยุคสมัยผันเปลี่ยนมาหลายครั้งแต่ยังไม่มีใครรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ก็เพราะเขาไม่เคยเผยร่องรอยมาตลอด ตอนนี้ก็เช่นกัน”
เขาหยุดไปครู่แล้วกล่าวต่อ “ส่วนที่ผู้อาวุโสจักจั่นทองยืนกรานให้พวกอาจารย์อาคงเจวี๋ยไปแหล่งสถานคุนหลุนก็ง่ายนัก อีกไม่นานโลกยอดนิรันดร์แห่งนี้จะฟ้าเปลี่ยนแล้ว…”
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน “ขอศิษย์พี่แถลงไขด้วย”
“ในอดีต ก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยแต่ละครั้งจะมาเยือน เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพที่พุ่งเป้าไปที่ระดับนิรันดร์ก็จะปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแต่เข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุนถึงมีหวังจะหลบภัยพิบัติเช่นนี้ได้”
จ้งชิวเอ่ย “ตามที่อาจารย์กับผู้อาวุโสจักจั่นทองคาดการณ์ ในช่วงหลายปีต่อจากนี้ เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพของยุคสมัยนี้ก็จะปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่รีบออกจากโลกยอดนิรันดร์ตอนนี้ เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะถูกเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพโจมตีถึงตาย”
“ดังนั้นสำหรับระดับนิรันดร์พวกนั้นแล้ว ยิ่งจากไปเร็วก็ยิ่งปลอดภัย ตอนนี้ รูปจำลองเจตจำนงของอาจารย์กับผู้อาวุโสจักจั่นทองต่างอยู่ที่แหล่งสถานคุนหลุน ยังสามารถช่วยเหลือพวกอาจารย์อาคงเจวี๋ยได้บ้าง แต่ถ้าล่าช้าต่อให้อยากช่วยก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
หลินสวินถึงเข้าใจถ่องแท้
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินว่าแหล่งสถานคุนหลุนเป็นสถานที่พิเศษยิ่งแห่งหนึ่ง ทุกครั้งที่เคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือน ระดับนิรันดร์เหล่านั้นก็จะรวมตัวอยู่ภายใน ดำเนินการแย่งชิงเพื่อหลบการโจมตีจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ
แน่นอนว่าในเวลาเช่นนั้น ก็สามารถหาร่องรอยการไปแหล่งสถานอัศจรรย์จากในแหล่งสถานคุนหลุนได้
การแก่งแย่งที่ว่าก็คือการช่วงชิงโอกาสไปแหล่งสถานอัศจรรย์!
“พูดเช่นนี้ ต่อให้เป็นระดับนิรันดร์ในเผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าพวกนั้น ก็จะทยอยจากไปในช่วงไม่กี่ปีต่อจากนี้หรือ”
หลินสวินดวงตาเป็นประกาย เขารู้ดีว่านี่หมายความว่าอะไร
จ้งชิวเอ่ย “ไม่ผิด เพื่อปกป้องตัวเอง เผ่าเทพน่านฟ้าที่เก้าเหล่านั้นก็ต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องที่สำคัญยิ่ง จะไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องนอกน่านฟ้าที่เก้าง่ายๆ อีก สถานการณ์เช่นนี้จะดำเนินไปถึงก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยจะมาเยือน”
หลินสวินเข้าใจกระจ่างแจ้งในที่สุด เอ่ยว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ สำหรับพวกเราแล้วช่วงเวลาหลังจากนี้ก็จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการแก้แค้น!”
เสียงเจือความฮึกเหิม
จ้งชิวส่ายหัวเอ่ย “ศิษย์น้อง อย่าดูเบาเผ่าเทพนิรันดร์พวกนั้น พวกเขาดำรงอยู่ในยุคสมัยผันเปลี่ยนมากมายมาถึงตอนนี้ รากฐานพลังของพวกเขาแค่คิดก็รู้ว่าน่ากลัวปานไหน”
เขาเว้นช่วงไปแล้วเอ่ยต่อ “เมื่อก่อนทุกครั้งที่เคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือน ในเผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้นก็จะเลือกระดับนิรันดร์สักคนหรือสองสามคนให้อยู่ต่อ ระดับนิรันดร์เหล่านี้เตรียมตัวสละชีพเพื่อคุ้มครองตระกูลไว้แล้ว ไม่สนกระทั่งชีวิต ย่อมไม่สนใจภัยของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพอยู่แล้ว”