หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูสักหน่อย
สวบ!
เงาร่างของเขาพริบไหว เข้าไปใกล้ภูเขาสูงตระหง่านที่ราวกับเพลิงลุกโชน ปกคลุมด้วยแสงประกายสีเลือด
พอเข้าใกล้หลินสวินจึงมองเห็นอย่างชัดเจน ว่าแสงประกายสีเลือดบนภูเขานี้ถึงกับมาจากคราบเลือดบนโขดหินที่หลงเหลือ
คราบเลือดนั่นกระจายอยู่ทั่วบนล่างของภูเขา ราวกับดอกเหมยแต่งแต้ม กลิ่นอายระดับนิรันดร์อบอวล น่าสยดสยองหาใดเปรียบ
‘หืม?’
จู่ๆ หลินสวินก็หัวใจสั่นไหว
เขาเห็นว่าบนภูเขาใหญ่สีเลือดมีเงาร่างเลือนรางมากมายพริบไหวอยู่ในหมอกราวกับภูตผี ปรากฏเป็นระยะๆ แล้วหายไปอย่างกะทันหัน
แม้จะเป็นเช่นนี้หลินสวินกลับขนลุกซู่ รู้สึกถึงอันตรายอย่างแรงกล้า
ควรรู้ว่าตอนนี้เขายังไม่ได้เข้าใกล้อย่างแท้จริง ยิ่งไม่ได้ก้าวขึ้นภูเขาลูกนี้ เพียงมองจากไกลๆ เท่านั้นก็เกิดความรู้สึกอันตรายทิ่มแทงเข้ามาแล้ว!
‘เงามายาพวกนี้คืออะไรกันแน่’
หลินสวินชะงักเท้าทันที ตะลึงและสงสัยยิ่งนัก
สวบ!
จู่ๆ ในอากาศก็มีแสงเลือดพริบไหว จากนั้นเงามายาสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ พุ่งมาทางหลินสวิน เร็วจนเหลือเชื่อ
หลินสวินขนลุกซู่ไปทั้งตัว สำแดงอภินิหารประตูเนรเทศตามจิตใต้สำนึก
แต่ตอนนี้เองแสงประกายขาวโพลนพุ่งโฉบออกมา
ปัง!
เงามายานั่นถูกแสงประกายขาวโพลนโจมตี ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดสะเทือนฟ้าดิน ทว่าเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เงามายานี้ก็หายไปในแสงประกายนั่น
หลินสวินเพิ่งมองเห็นอย่างชัดเจนว่าแสงประกายนี้เป็นเจดีย์ที่ราวกับหลอมจากทองเทพ โปร่งแสงเป็นประกาย มีลำแสงประกายงามไหลเคลื่อน ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งยวด
“เจดีย์ไร้สิ้นสุด!?”
แวบแรกที่หลินสวินเห็นก็เกือบร้องเสียงหลง
เพราะเจดีย์สมบัตินี้คุ้นเคยมากเกินไปจริงๆ
“อย่าตะโกน ระวังจะทำให้ ‘วิญญาณร้ายโลหิต’ แตกตื่น!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลินสวินก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยพุ่งมา ปรากฏตัวข้างกายตน
สวมชุดนักพรต รูปลักษณ์ราวกับเด็กหนุ่ม สีหน้าเต็มไปด้วยความสง่างาม
เป็นศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อ!
“ศิษย์พี่สี่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หลินสวินอึ้งไป ประหลาดใจอย่างที่สุด คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกว่าจะเจอศิษย์พี่สี่ที่นี่
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเล่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หลิงเสวียนจื่อเก็บเจดีย์ไร้สิ้นสุด สีหน้าประหลาดใจมากเช่นกัน
หลินสวินเล่าเรื่องที่ตนกลับทางเดินโบราณฟ้าดาราออกมาทั้งหมด
หลิงเสวียนจื่อเข้าใจทันที ยิ้มพูด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเจ้าถึงมาที่นี่ได้”
“ศิษย์พี่สี่ ท่านเล่า” หลินสวินถาม
หลิงเสวียนจื่อเงยดวงตาขึ้นมองรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “ที่นี่ประหลาดและอันตรายเกินไป พวกเราหาที่ปลอดภัยคุยกันเถอะ”
ว่าพลางเขาก็พาหลินสวินเดินห่างออกไป สุดท้ายมาอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจคือ ในหุบเขากลับมีถ้ำสถิต ภายในถ้ำสถิตมีเบาะรองนั่ง โต๊ะเตี้ย เตียง เตาโอสถเป็นต้น
มองเพียงแวบเดียวหลินสวินก็รู้ว่าหลิงเสวียนจื่อคงอยู่ที่นี่มานานแล้ว
“ศิษย์น้องเล็กเจ้านั่งตามสบาย”
หลังจากเดินเข้าถ้ำสถิต หลิงเสวียนจื่อจึงเหมือนผ่อนคลายลงอย่างสิ้นเชิง นั่งลงพร้อมบิดตัวอย่างเกียจคร้าน จากนั้นหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาดื่มอย่างบ้าคลั่ง
“ศิษย์น้อง เรื่องมันยาว ตอนอยู่นอกเมืองจรดฟ้า หลังจากส่งเจ้าจากไปข้าก็ถูกรูปจำลองเจตจำนงของอาจารย์ช่วยเหลือ และพาตัวไปที่น่านฟ้าที่เจ็ด”
หลิงเสวียนจื่อยื่นกาเหล้าให้หลินสวิน “ตอนนั้นอาจารย์ให้สองตัวเลือกกับข้า หนึ่งคืออยู่และทำตามคำสั่งของศิษย์พี่สาม สองคือแฝงตัวเข้าไปในลัทธิฌาน สืบข่าวของบรรพจารย์ ‘ซื่อ’ ตามคำที่อาจารย์พูดเป็นไปได้สูงมากว่า ‘ซื่อ’ จะเกี่ยวข้องกับผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัย”
ฟังถึงตรงนี้หลินสวินหัวใจสะท้าน นึกถึงการปะทะยามลัทธิพ่อมดและลัทธิฌานร่วมมือกัน เข้าโจมตีหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด
ตอนนั้นรูปจำลองเจตจำนงของบรรพจารย์ทั้งสี่หอบรรพจารย์ล้วนปรากฏตัว
อีกทั้งรูปจำลองเจตจำนงของบรรพจารย์ซวีอิ่นแห่งลัทธิวิญญาณยิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าเคราะห์แห่งยุคสมัยกำลังจะมาเยือนภายในพันปี ในเวลาเช่นนี้ การที่สามารถทำให้สองหอบรรพจารย์อย่างลัทธิพ่อมดและลัทธิฌานร่วมมือกันมาโจมตีลัทธิแรกกำเนิดได้ มีเพียงความเป็นไปได้เดียว
นั่นก็คือมี ‘ผู้บงการหลังม่าน’ คอยสั่งการทุกอย่าง!
พูดอีกอย่างก็คือสถานการณ์ครั้งนั้นก็เหมือนหมากกระดานหนึ่ง ลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานล้วนเป็นตัวหมาก และคนวางหมากก็คือผู้บงการหลังม่าน
ส่วนสาเหตุของการวางหมาก ก็เพื่อกำจัดตนที่ครอบครองศักยภาพแฝงยอดอมตะและมีระเบียบนิพพาน!
ตอนนี้ฟังคำพูดของศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อแล้ว หลินสวินพลันตระหนักได้ว่า หากคนที่วางหมากตอนนั้นคือผู้บงการหลังม่านจริงๆ ถ้าอย่างนั้นบรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌานก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้บงการนั่น
“ข้าเลือกจะแฝงตัวเข้าไปในลัทธิฌาน”
หลิงเสวียนจื่อพูดต่อ “ด้วยความสามารถของข้า การเป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งของลัทธิฌานย่อมไม่ใช่ปัญหา หลังจากอยู่ในลัทธิฌานเป็นเวลาสิบแปดปี ในที่สุดข้าก็ได้ข้อมูลที่พอจะมีค่ามาบ้าง”
“ข้อมูลอะไรหรือ” หลินสวินประหลาดใจ
หลิงเสวียนจื่อกล่าว “ก่อนที่ร่างต้นของบรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌานจะออกจากลัทธิฌานไปแหล่งสถานอัศจรรย์ ได้ทิ้งสมบัติไว้สามอย่าง หนึ่งคือรูปจำลองเจตจำนงของเขา อีกหนึ่งคือสมบัติลับที่ใช้ระเบียบระดับเทพของลัทธิฌาน และอย่างสุดท้ายคือรูปปั้นหินองค์หนึ่ง
“รูปปั้นหินหรือ”
“ใช่ เพียงแต่น่าเสียดาย รูปปั้นนี้มีฟ่านอั้น ระดับนิรันดร์ของลัทธิฌานเป็นผู้ดูแลมาโดยตลอด แม้แต่รูปปั้นหินหน้าตาเป็นอย่างไรข้าก็ไม่เคยเห็น”
หลิงเสวียนจื่อเบ้ปาก
“ศิษย์พี่ ท่านสงสัยว่ารูปปั้นหินนี้เกี่ยวข้องกับผู้บงการหลังม่านหรือ”
“แน่นอน”
หลิงเสวียนจื่อพูดโดยไม่คิดด้วยซ้ำ “แม้ข้าไม่เคยเห็นรูปปั้นหิน แต่จากการสืบจากหลายทาง ก็พบตำราที่เมธีลัทธิฌานทิ้งเอาไว้ในหอตำราโบราณของลัทธิฌาน ในตำราเล่มนี้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับรูปปั้นหินนี้ไว้บ้าง ทำให้ข้าเริ่มมั่นใจในที่สุดว่า บรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌานจะต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับผู้บงการหลังม่าน!”
หลินสวินยิ่งประหลาดใจ “รูปปั้นหินนั่นมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่”
หลิงเสวียนจื่อกล่าว “ตามที่ตำรานี้บันทึกไว้ ตอนที่ซื่อจากไป เคยออกคำสั่งกับศิษย์ฟ่านอั้นว่า หากวันหนึ่งรูปปั้นหินนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด ก็ให้เรียกรูปจำลองเจตจำนงที่เขาทิ้งเอาไว้ออกมา”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดทันที
ก่อนหน้านี้บนทะเลหมื่นดาราของลัทธิแรกกำเนิด หลินสวินเคยเห็นรูปจำลองเจตจำนงของซื่อ บรรพจารย์ของลัทธิฌาน นี่หมายความว่าก่อนโจมตีลัทธิแรกกำเนิด รูปปั้นหินของซื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาด จึงได้มีการใช้รูปจำลองเจตจำนงที่เขาทิ้งเอาไว้หรือ
และการเปลี่ยนแปลงประหลาดของรูปปั้นหินจะใช่คำสั่งที่ผู้บงการหลังม่านสั่งการออกมาหรือไม่ เพราะได้รับคำสั่งเช่นนี้ ลัทธิฌานจึงร่วมมือกับลัทธิพ่อมดมาเล่นงานตนที่ลัทธิแรกกำเนิด
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็บอกการคาดเดาของตนกับหลิงเสวียนจื่อ
ฟังจบหลิงเสวียนจื่อตบเข่าฉาด พูดอย่างตื่นเต้น “ต้องเป็นเช่นนี้แน่! รูปปั้นหินนั่นคือสมบัติที่ผู้บงการหลังม่านใช้สื่อสาร! และเห็นชัดว่าตอนที่ซื่อจากไปก็รู้ถึงประโยชน์ของรูปปั้นหินนี้แล้ว จึงได้ทิ้งรูปปั้นหินและรูปจำลองเจตจำนงของตนเอาไว้”
ในใจหลินสวินกระเพื่อมไหว ไม่สามารถสงบได้ บรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌานก็เป็นยอดบุคคลที่ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยมามากมาย
คนเช่นนี้กลับร่วมมือกับผู้บงการหลังม่าน นี่น่าประหลาดใจมากจริงๆ
“นอกจากเรื่องพวกนี้ ข้ายังสืบมาได้ว่าด้านล่างของรูปปั้นหินนี้สลักอักษรมหามรรคที่ลึกลับอย่างที่สุดไว้ คือคำว่า ‘ไท่ชู’ (แรกปฐม) คำนี้ถูกมองเป็นคำต้องห้าม ต่อหน้าคำนี้ก็เหมือนเผชิญกับตัวตนไร้เทียมทาน ทำให้คนไม่อาจเกิดความคิดดูหมิ่นและต่อต้านได้”
หลิงเสวียนจื่อลูบคาง สายตาเร่าร้อน “แค่สองคำกลับมีอานุภาพถึงเพียงนี้ ข้าถึงขั้นสงสัยว่านี่จะใช่ชื่อของผู้บงการหลังม่านหรือไม่”
หลินสวินได้ยินเช่นนี้ก็อึ้งงันไปอย่างสิ้นเชิง
ไท่ชู!
ตั้งแต่ตอนอยู่ในแหล่งสถานศุภโชค เขาก็เคยได้ยิน ‘สือซาน’ คนของจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์กล่าวว่า เมื่อนานมาแล้วระหว่างที่จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์เดินทางมายังเมืองเทพศุภโชค เคยถูกเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพโจมตี
และในเคราะห์ใหญ่ครั้งนี้ ก็เคยมีระฆังมรรคที่กลิ่นอายแรกกำเนิดคละคลุ้งปรากฏขึ้น ถูกเรียกว่าระฆังแรกปฐม!
ด้านล่างของรูปปั้นหินสลักคำว่าไท่ชู ในเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพก็มีระฆังแรกปฐมปรากฏขึ้น…
นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไร
ถึงตอนนี้หลินสวินมั่นใจว่าบรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌานจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้บงการหลังม่านแล้ว ส่วนคำว่าไท่ชูจะต้องหมายถึงผู้บงการหลังม่านอย่างแน่นอน!
คิดถึงตรงนี้หลินสวินอดคิดถึงเฉินหลินคง รวมถึงเฉินซีท่านปู่ของเฉินหลินคงไม่ได้ พวกเขา… จะสืบรู้เบาะแสนี้แล้วหรือไม่
ครู่ใหญ่หลินสวินส่ายหน้า ไม่คิดเรื่องพวกนี้อีก
“หลังจากนั้นล่ะ” หลินสวินถาม
หลิงเสวียนจื่อกล่าว “ภายหลังยามข้าสืบข่าวถูกจับได้โดยไม่ทันระวัง เกือบถูกพวกเฒ่าชราเจ้าเล่ห์ลัทธิฌานจับตัวไป หลังจากหนีออกจากลัทธิฌานมาได้ เดิมทีข้าคิดจะไปหาศิษย์พี่สามรั่วซู่ แต่ตอนนั้นข้าได้เจอกับศิษย์พี่รองจ้งชิวเข้า”
สีหน้าของหลินสวินแปลกประหลาด เพราะเท่าที่เขารู้ จ้งชิวคือคนที่เกลียดหลิงเสวียนจื่อที่สุด เพราะจ้งชิวสงสัยว่าหลิงเสวียนจื่อเปิดเผยมรดกของเขาให้กับจักรพรรดิสวรรค์ดำรง
ตอนอยู่ในแหล่งสถานคุนหลุน จ้งชิวยังเคยให้เขาไปสังหารคนทรยศอย่างศิษย์พี่สี่
“สายตาเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หลิงเสวียนจื่อถลึงตาใส่หลินสวินอย่างไม่อภิรมย์ “เรื่องเข้าใจผิดคลี่คลายไปนานแล้ว ยามศิษย์พี่รองเจอข้า ออกจะสนิทสนมเป็นกันเองมากเลยเชียว”
“จริงหรือ” หลินสวินประหลาดใจ
หลิงเสวียนจื่อใบหน้ากระตุก กล่าวว่า “พวกเราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ข้ายังจะโกหกเจ้าได้หรือ”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่หลินสวินกลับรู้สึกว่าหลิงเสวียนจื่อมีแววร้อนตัวเล็กน้อย
แต่เขาก็ไม่ได้ถามอีก
หลิงเสวียนจื่อเองก็ไม่อยากพูดมากไปกว่านี้จึงเบี่ยงประเด็น “สรุปแล้วหลังจากข้าเจอศิษย์พี่รอง ภายใต้การจัดการของรูปจำลองเจตจำนงของอาจารย์ ก็ได้ออกจากโลกยอดนิรันดร์ มายัง ‘แดนฝังมรรค’ ที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ อาจารย์บอกว่าขอเพียงแค่ข้ายืนหยัดฝึกปราณที่นี่ ก็สามารถก้าวสู่มรรคานิรันดร์ของตนได้… คำนวณดูแล้ว ตั้งแต่ข้ามาถึงที่นี่ก็ผ่านไปเกือบร้อยปีแล้ว”
พูดถึงตอนสุดท้าย สีหน้าของเขาก็เผยแววทอดถอนใจเต็มประดา
แดนฝังมรรค!
ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อจึงปรากฏตัวที่นี่ ทั้งหมดนี้ถึงกับเป็นฝีมือของอาจารย์
‘ก็จริงอยู่ เมื่อนานมาแล้วอาจารย์ก็ได้ตั้งสำนักคีรีดวงกมลไว้ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีโลกที่ชื่อว่าแดนฝังมรรค’
หลินสวินลอบกล่าวในใจ