แดนฌาน
อาณาเขตของหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน ทั้งถูกเรียกว่า ‘แดนธรรมสว่างไสว’
ตั้งแต่ ‘ซื่อ’ บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งลัทธิฌานเปิดสำนักที่นี่ ไม่ว่าเรื่องทางโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ลัทธิฌานยังอยู่ในสี่หอบรรพจารย์ตลอด คงอยู่ชั่วนิรันดร์
แดนลับธรรมตะวัน สถานที่ปิดด่านของพุทธปัจจุบันเจียหนาน
หืม?
เจียหนานที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง ปิดด่านตลอดมาตลอดหลายปีนี้ลืมตาขึ้นเงียบๆ หว่างคิ้วเผยแววจริงจังวูบหนึ่ง ในใจเขาพลันสั่นระรัว สังเกตเห็นกลิ่นอายของมหาเคราะห์นิรันดร์!
‘ก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือน ทำไมยังเกิดจุดเปลี่ยนของการแจ้งมรรคนิรันดร์อีก’
ยามนี้เจียหนานอึ้งงันและยากจะเชื่ออย่างอดไม่ได้
เวลานี้เสียงแหบชราหนึ่งพลันดังขึ้น “เจียหนาน รีบมายังถ้ำสถิตของข้า”
เจียหนานใจสะท้าน หยัดร่างขึ้นทันที เงาร่างหายไปกลางอากาศโดยไร้สุ้มเสียง
ในถ้ำสถิตแห่งหนึ่งที่มีบัวเทพเก้าสีมากมายเบ่งบาน ภิกษุชราเคราขาวดุจหิมะรูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง ร่างผอมบางสันหลังโก่งงอ
เจียหนานเพิ่งมาถึงที่นี่ก็ก้มหัวคำนับ “คารวะอาจารย์ลุง”
ภิกษุชราเคราขาวดุจหิมะนี้คือฟ่านอั้นผู้อาวุโสสูงสุดของลัทธิฌานในปัจจุบัน
ศิษย์เพียงคนเดียวที่บรรพจารย์ซื่อรับมา ตั้งแต่ลัทธิฌานเพิ่งก่อตั้ง ฟ่านอั้นก็ติดตามฝึกปราณข้างกายซื่อแล้ว
“กลิ่นอายของเคราะห์นิรันดร์เมื่อครู่เจ้าน่าจะสังเกตเห็นแล้วกระมัง” ฟ่านอั้นเอ่ยปากกล่าว เสียงแหบชราต่ำลึก
เจียหนานพยักหน้า “ขอรับ”
ฟ่านอั้นลุกขึ้นจากเบาะรองนั่ง นัยน์ตาขุ่นมัวมองเจียหนานกล่าวว่า “ปีนั้นยามบรรพจารย์จากไป เคยทิ้งของไว้สามอย่างได้แก่ ‘คทามหายานสมประสงค์’ ที่ควบคุมระเบียบระดับเทพของพวกเราลัทธิฌาน รูปจำลองเจตจำนงของบรรพจารย์ รวมถึงรูปปั้นหินที่สลักคำว่า ‘ไท่ชู’ ไว้สองคำ”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ปีนั้นรูปปั้นไท่ชูเผยเจตจำนง ดังนั้นจึงสั่งจี้คงให้นำรูปจำลองเจตจำนงที่บรรพจารย์ทิ้งไว้ ทั้งพาเหล่าผู้แข็งแกร่งของสำนักออกเคลื่อนพล ร่วมมือกับลัทธิพ่อมด หมายจับตัวหลินสวินผู้สืบทอดของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลนั่น แต่สุดท้าย… กลับล้มเหลว”
สีหน้าเจียหนานเผยแววอึมครึม
ปีนั้นพวกเขาลัทธิฌานเรียกว่าพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่จี้คงกับเหล่าขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ที่พังพินาศทั้งกองทัพ แม้แต่รูปจำลองเจตจำนงของบรรพจารย์ พุทธอดีตเจียซิว พุทธอนาคตเจียจิ้งก็หายไปอย่างแปลกประหลาด!
ฟ่านอั้นกล่าวเสียงต่ำลึก “ตอนนี้รูปปั้นไท่ชูเผยเจตจำนงที่สองออกมาแล้ว”
“อะไรนะ!?” เจียหนานพลันตกตะลึง “หรือว่า… อยากให้พวกเราไปจัดการลัทธิแรกกำเนิดอีกรึ”
นัยน์ตาขุ่นมัวของฟ่านอั้นเปลี่ยนเป็นล้ำลึกเกินคาดเดา “ไม่ ไปจัดการหลินสวิน”
หลินสวิน!
เจียหนานนัยน์ตาหดรัด ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง “กลิ่นอายมหาเคราะห์นิรันดร์ซึ่งปรากฏเมื่อครู่นั้น คงไม่ใช่หมอนี่ชักนำมากระมัง”
ฟ่านอั้นถอนหายใจเบาๆ “ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีก แม้แต่ข้ายังตกใจ คิดไม่ถึงว่าเขาได้จุดเปลี่ยนแจ้งมรรคเสี้ยวนั้นมาอย่างไร”
เจียหนานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เจตจำนงของรูปปั้นไท่ชูบอกว่าอย่างไร”
“ข้าแค่สัมผัสได้ถึงเจตจำนงชั้นยอดสายหนึ่ง ไม่มีคำพูดหรืออักษรอย่างเป็นรูปธรรม”
ฟ่านอั้นกล่าวเสียงขรึม “เจตจำนงนี้ง่ายมาก หลินสวินชักนำมหาเคราะห์นิรันดร์มา ทำให้คนผู้นั้นสังเกตเห็น ออกคำสั่งให้พวกเราลัทธิฌานมุ่งหน้าไปกำจัดทันที”
ฟ่านอั้นเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ทั้งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังมีลัทธิพ่อมดกับเผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าเข้าร่วมด้วย”
เจียหนานกล่าว “ครั้งนี้ดูเหมือนไม่ต่างอะไรกับการไปโจมตีลัทธิแรกกำเนิดครั้งก่อน”
“ไม่ แตกต่างกัน ด้วยตอนนี้ลัทธิแรกกำเนิดไม่มีระดับนิรันดร์บัญชาการแล้ว ถ้าเจ้าหลินสวินนี่เลือกข้ามด่านเคราะห์ในลัทธิแรกกำเนิด ระเบียบระดับเทพของลัทธิแรกกำเนิดต้องเสียอานุภาพทั้งหมดแน่”
แววตาฟ่านอั้นลึกลับเยียบเย็น “ทั้งภารกิจครั้งนี้เจ้ายังไม่ต้องห่วงว่าจะประสบเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ถึงขั้นว่า… หากทำสำเร็จ ภายหน้าก็ไม่ต้องห่วงว่าจะประสบเคราะห์นี้อีก”
เจียหนานใจสะท้าน กล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่รูปปั้นไท่ชูนั้นพูดเองหรือ”
ฟ่านอั้นกล่าว “พูดเอง? ไม่ถึงขั้นนั้น แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือนี่เป็นเจตจำนงซึ่งมาจากคนผู้นั้น”
เจียหนานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกล่าวว่า “อาจารย์ลุง คนผู้นั้นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ เขา… เป็นคนหรือเป็นพลังกฎระเบียบที่ไม่อาจจินตนาการอย่างหนึ่ง”
ฟ่านอั้นส่ายหัว “เรื่องนี้อาจมีแค่บรรพจารย์ที่พอรู้อยู่บ้าง”
เจียหนานใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ได้ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง!”
“เจ้าออกเดินทางเสียตอนนี้ หากเร่งเดินทางเต็มกำลัง สามารถไปถึงลัทธิแรกกำเนิดได้ในสิบชั่วยาม”
ฟ่านอั้นกล่าว
เจียหนานพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป
กระทั่งมองส่งเงาร่างเขาจากไป ฟ่านอั้นนั่งบนเบาะรองใหม่อีกครั้ง หยิบรูปปั้นหินสีดำสนิทถ้วนทั่ว คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยกออกมาจากอก
เห็นชัดว่ารูปปั้นหินคือรูปคน ร่างสูงโปร่งแต่ใบหน้าเลือนราง แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง
ใต้รูปปั้นหินสลักคำว่า ‘ไท่ชู’ ไว้สองคำ
ก่อนหน้านี้เจตจำนงสายนั้นก็แผ่อบอวลออกมาจากคำว่าไท่ชูนี้
‘ใช่แล้ว เจ้า… เป็นใครกันแน่’ นัยน์ตาฟ่านอั้นจ้องมองรูปปั้นหิน นิ่งงันเหม่อลอย
…
ลัทธิพ่อมด
ยอดเขารัศมีหมื่นจั้งพลันสั่นสะเทือน จากนั้นร่างผอมบางหนึ่งเดินออกมาจากยอดเขาทีละก้าว
“ขอเพียงข้าไม่เจอภัยคุกคามจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ อย่าว่าแต่ฆ่าหลินสวิน ต่อให้ไปเหยียบประตูทางเข้าลัทธิแรกกำเนิดข้าก็ไม่นิ่วหน้าแม้แต่นิด”
ร่างผอมบางนี้กล่าวเสียงเยียบเย็น
เมื่อมองโดยละเอียดเขาสวมชุดหนังสัตว์ ผิวหนังที่เผยออกมาเหมือนหล่อจากสำริด ใบหน้าดำด้านดุจแกะสลัก ส่วนลึกของนัยน์ตามีลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นสีเลือดดุจนรกวาววาม
ราชครูฟ้าถานอู่!
“ตกลงตามนี้ ข้าไปล่ะ”
ถานอู่พูดพลางก้าวเท้าออกไปทันที ห้วงอากาศตรงหน้าพลันแยกออกเป็นทางน้ำวนกาลเวลา เมื่อเขาก้าวเข้าไปในนั้นก็หายไปในพริบตา
…
เมฆาเคราะห์แน่นหนาราวหมึกเขียนย้อมทุกอย่างกลางฟ้าดินเป็นสีดำสนิท กลิ่นอายด่านเคราะห์ที่กดดันเหมือนหินหนืดไร้รูป คำรามพลุ่งพล่านในห้วงอากาศทุกอณู
ทุกภาพนั้นทำให้พวกเสวียนเฟยหลิงที่สังเกตการณ์อยู่ในแดนแรกเริ่มอกสั่นขวัญแขวนไม่หยุด
นี่คือมหาเคราะห์นิรันดร์!
แม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่มาหลายแสนปียังหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง หวาดกลัวเมื่อมองเห็น
เวลานี้หลินสวินยืนนิ่งกลางอากาศเพียงลำพัง ชายเสื้อพลิ้วไหว สันโดษปลีกวิเวก
ตั้งแต่กลิ่นอายมหาเคราะห์นี้ปรากฏจนปัจจุบัน ถือว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่ยังไม่มีสัญญาณว่าจะปะทุ
มันเหมือนสั่งสมพลังอย่างต่อเนื่อง ส่วนลึกของเวิ้งฟ้าถูกด่านเคราะห์สีดำปกคลุมนานแล้ว
หลินสวินไม่ได้รีบร้อน ทั้งไม่หวาดกลัวเช่นกัน สภาวะจิตว่างเปล่า ไม่โศกเศร้ายินดี ไม่ทุกข์ไม่ร้อน
เขาจ้องมองส่วนลึกของเวิ้งฟ้า คล้ายต้องการมองความลับภายในนั้นให้ออกทั้งหมด
เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย
ทันใดนั้นส่วนลึกของเมฆาเคราะห์พลันม้วนซัด มีแสงเคราะห์เจิดจ้าบาดตาสายหนึ่งปรากฏกะทันหัน แหวกผ่านเมฆาเคราะห์แน่นหนาเหมือนกระบี่ยาวคมกริบ สาดส่องสรรพสิ่งทั่วหล้าที่ถูกความมืดปกคลุม
ตูม!
ตอนแรกแสงเคราะห์สายนี้ไม่สะดุดตา แต่หลังพุ่งออกมาจากเมฆาเคราะห์แน่นหนานั้นกลับกลายเป็นอสนีเคราะห์ทั่วฟ้า คล้ายฝูงอสรพิษเริงระบำ มาเยือนด้วยอานุภาพปกคลุมฟ้าดิน
“มาแล้ว!”
พวกเสวียนเฟยหลิงพลันหยุดหายใจ
‘ในที่สุดก็มาแล้ว…’
หลินสวินกลับเผยรอยยิ้ม ไม่หลบหลีก กระทั่งอสนีเคราะห์นั้นพุ่งโจมตีมา บนตัวเขาพลันปรากฏแสงมรรคนับหมื่นแสน วิวัฒน์เป็นเตาหลอมเปล่งแสงสว่างไสวกลางอากาศ
ตูม…
ฟ้าถล่มดินทลาย สรรพสิ่งจ่อมจม
อสนีเคราะห์โหมกระหน่ำจ้าตา ความน่ากลัวของพลังที่แฝงอยู่ ทำให้ฟ้าดินแถบนี้ราวกับถูกทำลาย ไม่ดำรงอยู่อย่างสิ้นเชิง
แต่เมื่อเตาหลอมซึ่งวิวัฒน์จากกฎเกณฑ์อมตะทั้งตัวหลินสวินหมุนวนกู่ก้อง อสนีเคราะห์ที่ปกคลุมฟ้าดินนี้ล้วนถูกกำราบเข้าไปในเตาหลอมทั้งหมด
เตาหลอมมรรคสยบแสงเคราะห์!
จากนั้นพลังอสนีเคราะห์ราวกับจะทำลายล้างถูกหลอมสลาย เหลือเพียงพลังชีวิตยิ่งใหญ่หนาแน่น ถูกกายมรรคของหลินสวินดูดกลืนจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่น้อย
ทั้งตัวเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด!
มองจากไกลๆ เขาเหมือนมองมหาเคราะห์นิรันดร์เป็นอาหารเลิศรส กำลังหล่อหลอมกลืนกินมัน
ภาพชวนตระหนกนั้นทำเอาพวกเสวียนเฟยหลิงตาค้างแข็ง ต่อให้ผ่าสมองออกมาพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินถึงกับใช้วิธีนี้ข้ามด่านเคราะห์
กลืนอสนีเคราะห์หรือ
เย้ยฟ้าเกินไปแล้ว!
‘นี่ก็คือพลังชีวิตมหามรรคที่แฝงอยู่ในอสนีเคราะห์หรือ…’
หลินสวินสัมผัสพลังชีวิตอสนีเคราะห์ที่สั่งสมอยู่ในทุกอณูบนผิวหนัง ทั่วร่างมีความรู้สึกอัศจรรย์ ราวกับดูดกลืนสิ่งหล่อเลี้ยงที่ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง
ตูม!
ไม่รอให้เขาสัมผัสขึ้นไปอีกขั้น ส่วนลึกเมฆาเคราะห์แน่นหนามีเสียงฟ้าร้องทึบหนักดังก้องอีกครั้ง ปั่นป่วนเก้าชั้นฟ้า สะเทือนทั่วสิบทิศ
แค่อานุภาพซึ่งอัดแน่นในเสียงนั้นก็ทำให้ระดับอมตะขวัญหนีดีฝ่อ
จากนั้นแสงเคราะห์หลากสายแหวกผ่านเมฆาเคราะห์ เบียดเสียดแน่นขนัดเหมือนกฎระเบียบตรวนเทพป่วนคลั่ง เปล่งประกายเจิดจรัส
แสงเคราะห์เหล่านี้งดงามจริงๆ ตระการตาไร้ขอบเขต แต่น่ากลัวถึงขั้นไม่อาจจินตนาการเช่นกัน ทันทีที่ปรากฏก็กลายเป็นทวนศึกเปี่ยมพลังพิพากษาและปลิดชีพมากมาย แทงผ่านอากาศไปทางหลินสวิน
ตึง!
เตาหลอมซึ่งวิวัฒน์มาจากกฎเกณฑ์อมตะรอบตัวหลินสวินถูกทวนแสงเคราะห์เล่มหนึ่งโจมตีใส่ เกิดเสียงปะทะสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เตาหลอมพลันสั่นไหว
จากนั้นทวนศึกแต่ละเล่มรวมตัวพุ่งเข้ามา พลังทำลายล้างนั้นซัดจนเตาหลอมระเบิดออกทันที
พวกเสวียนเฟยหลิงตกใจจนหน้าถอดสี
เพียงแต่ครู่ต่อมาก็เห็นว่าเตาหลอมซึ่งถูกทำลายนั้นทรุดตัวกลายเป็นหุบเหวหนึ่ง ลึกล้ำยากหยั่งถึง ขยายตัวไม่รู้กี่เท่าทันที เขมือบกลืนท้องนภาโดยพลัน
ตูม!
แสงเคราะห์แน่นหนาที่เหมือนทวนพิพากษานั้นล้วนถูกเหวลึกกลืนกินท่ามกลางเสียงกัมปนาท หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลินสวินเพียงส่งเสียงอึดอัดในลำคอคราหนึ่ง เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โคจรมรรควิถีของตนเต็มกำลัง พลังกฎเกณฑ์อมตะที่เปลี่ยนเป็นเหวลึกนั้นกู่ก้องต่อเนื่อง หลอมทวนแสงเคราะห์มากมายที่ติดอยู่ในนั้น…
“เจ้าหมอนี่วิปริตเกินไปแล้วกระมัง”
“ตอนหัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคดูหมดสภาพและน่าอนาถเพียงใด แล้วมองดูหลินสวินสิ… ไม่อาจเทียบได้โดยสิ้นเชิง…”
“กฎเกณฑ์อมตะของเขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว สั่นคลอนกฎระเบียบฟ้าดิน ทั้งกำราบพลังเคราะห์นิรันดร์นั้นได้อย่างแข็งกร้าว!”
พวกเสวียนเฟยหลิงเห็นภาพทั้งหมดนี้ในสายตา ทุกคนล้วนสั่นสะท้านไม่หยุด สีหน้าเปลี่ยนเป็นมึนงงอยู่บ้างเล็กน้อย
“นี่เพิ่งเริ่มต้นด่านเคราะห์ก็แข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าต่อจากนี้คงน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ”
ตู๋กูยงมุ่นคิ้วกล่าว
เขาเคยสังเกตการณ์ยามโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคกับตา สังเกตเห็นชัดเจนว่าอานุภาพมหาเคราะห์นิรันดร์ที่หลินสวินข้าม เหนือกว่ามหาเคราะห์นิรันดร์ที่โหยวเป่ยไห่เผชิญหน้าตอนนั้นอยู่มาก!
ในใจทุกคนเครียดขมึงอย่างอดไม่ได้