บทที่ 390 ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้
อัลสตันข้อเท้าหักเพราะสะดุดเท้าคนอื่นแล้วล้มลงพื้น จึงเกิดอุบัติเหตุขึ้น
การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่น หลังจากเอกซเรย์ภาพจากหลายๆ มุมก็เริ่มทำกายภาพบำบัดก่อนแล้วจึงชะโลมยาแผนจีนพร้อมกับใส่เฝือกที่ข้อเท้า
ยาประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นผลงานวิจัยล่าสุดของสถาบันวิจัย ซึ่งยาชนิดนี้เป็นยาที่ได้จากการสกัดยาแผนจีนโบราณและสารสกัดในตัวยาจะซึมผ่านผิวหนังได้
ระหว่างที่ไป๋เยี่ยกำลังจะออกไปข้างนอกหลังจากให้ยาเสร็จแล้ว จู่ๆ เขาก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา!
เรียกได้ว่ามันเป็นความคิดชั่ววูบอย่างหนึ่ง!
ไป๋เยี่ยไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันเหมือนกับความคิดชั่ววูบที่แทรกขึ้นมายามที่ค้นพบอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร!
ไป๋เยี่ยตั้งสติและเปิดโหมดระดมความคิดเพื่อตามหาสิ่งนั้น!
เขาค่อยๆ หลับตาลง
ทันใดนั้น ความรู้จำนวนมากก็หลั่งไหลเขามาในหัวของไป๋เยี่ยดั่งสายน้ำ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับว่าเขากำลังเดินทางด้วยไทม์แมชชีนไม่มีผิด!
ความคิดนับไม่ถ้วนปะทะกันในหัวของไป๋เยี่ย!
จากนั้นความคิดก็ถูกแยกออกเป็นส่วนๆ ทำให้หัวของไป๋เยี่ยเบาลงเล็กน้อย
ทันใดนั้น!
ไป๋เยี่ยก็ลืมตาขึ้น!
ใช่แล้ว!
นี่คือการตอบสนองอย่างรวดเร็วของร่างกายมนุษย์ ไป๋เยี่ยรู้สึกว่าระหว่างการรักษา บริเวณข้อเท้าของอัลสตินมีเลือดคั่งอย่างรวดเร็ว แท้จริงแล้วมันอาจจะเป็นกลไกการป้องกันการแตกหักก็ได้!
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็รีบลุกไปที่ห้องแล็บทันที!
ใช่แล้ว นี่คือแนวคิดอย่างหนึ่ง
เพราะเมื่อเกิดลิ่มเลือดขึ้น การแตกหักก็ไม่เพียงแต่จะทำลายเนื้อเยื่อกระดูกเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความเสียหายไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียงด้วย นอกจากนี้บริเวณเนื้อเยื่อกระดูกและไขกระดูกยังมีหลอดเลือดที่เสียหาย ทำให้มีเลือดออกรอบๆ จึงเกิดเป็นอาการเลือดคั่งที่ปลายกระดูกที่แตกออกจากกันนั่นเอง
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ลิ่มเลือดก็จะไปกดทับเส้นประสาท ส่งผลต่อการทำงานของเนื้อเยื่อและอวัยวะโดยรอบ บริเวณปลายหักของกระดูกจึงต้องมีกลไกการป้องกันความเสียหายด้วย
ไป๋เยี่ยยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น!
ไป๋เยี่ยก็รีบเดินไปดึงตัวโมลโดมา เขาเริ่มเดินไปพูดไป “ไปห้องแล็บกันเถอะ! บอกให้ทีมวิจัยปัจจัยการเจริญเติบโตเตรียมเข้าประชุมด้วย ผมมีเรื่องอยากแจ้ง”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยเดินออกมาก็พบกับคนร่างสูงกว่าสองเมตรยืนอยู่ ด้านหลังของเขาก็เป็นผู้คนที่มีส่วนสูงเฉลี่ยราวๆ สองเมตรทั้งนั้น
พวกเขาต่างมองประตูห้องผ่าตัดด้วยสายตาเคร่งเครียด ถึงแม้ว่าทุกคนจะเป็นนักกีฬามืออาชีพและอาการบาดเจ็บก็เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา แต่ข้อเท้าหักก็ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับอัลสตันซึ่งมีอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว
นอกจากนี้ จุดที่ข้อเท้าหักยังเป็นจุดที่อันตรายมากด้วย ซึ่งอาจจะเกิดผลข้างเคียงตามมาได้อย่างง่ายดาย!
อันที่จริง การใช้วิธีผ่าตัดกับเคสนี้เป็นไปได้ยากมาก เพราะเหตุผลสองข้อนี้ ข้อแรกคือข้อเท้าของอัลสตันบาดเจ็บตั้งแต่แรกแล้ว และการเป็นนักกีฬามาเป็นเวลานานก็ทำให้ข้อเท้าของเขาผิดรูป ข้อที่สองคือมุมที่เกิดการแตกหักนั้นแปลกมาก หากผ่าตัดก็อาจจะทำให้บาดเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม
เป็นผลให้ความยากในการรักษาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว นอกจากความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นระหว่างการรักษาแล้ว ในประเทศก็มีคนที่ทำแบบไป๋เยี่ยได้อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสมาคมบาสเกตบอลถึงตามหาไป๋เยี่ย
ทุกๆ ปีเอ็นบีเอจะต้องจ่ายค่านักบำบัดและห้องฝึกซ้อมร่างกายให้กับนักกีฬาปีละประมาณห้าแสนดอลลาร์ ซึ่งก็มีนักบำบัดหลายคนที่รับหน้าที่ดูแลนักกีฬามากกว่าหนึ่งคน
อย่าคิดว่าซุปเปอร์สตาร์เอ็นบีเอจะทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์ต่อปีไปกับเรื่องอื่น ทั้งค่าโค้ช นักบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านสมรรถภาพทางกายและอื่นๆ อีกมากมาย…แต่ละคนก็ล้วนมีค่าใช้จ่ายมหาศาลทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ค่าผ่าตัดของไป๋เยี่ยก็ไม่ได้ถูกเลย เพราะเขาคิดตั้งห้าหมื่นดอลลาร์!
นี่คือราคาที่ไป๋เยี่ยระบุไว้ชัดเจน
เหยาหมิงเห็นว่าไป๋เยี่ยเดินออกมาด้วยท่าทีเร่งรีบก็เอ่ยทักทายและถามอย่างกังวลใจ
“เป็นไงบ้างครับหมอ อัลสตันเป็นไงบ้างแล้ว เขาดีขึ้นไหมครับ”
ไป๋เยี่ยเอาแต่คิดถึงเรื่องการทดลอง จึงได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว “การรักษาประสบความสำเร็จดีครับ”
ไป๋เยี่ยพูดจบก็รีบแทรกตัวผ่านฝูงชนไปข้างหน้าด้วยท่าทีที่ไม่สำรวมเท่าไหร่
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างพากันจ้องมองด้วยความไม่เชื่อ พวกเขาไม่คิดว่าไป๋เยี่ยจะไม่มีมารยาทขนาดนี้
ระหว่างที่ไป๋เยี่ยเดินอยู่นั้น เขาก็หันไปพูดกับผู้ช่วย “อย่าเพิ่งให้ญาติเข้าไปเยี่ยมนะครับ ให้พาผู้ป่วยไปที่ศูนย์ทดลองก่อน ถึงแล้วก็ต่อเครื่องตรวจสอบสมดุลฮอร์โมนเลยนะ เราจะมาทดสอบกัน!”
ไม่ใช่ว่าไป๋เยี่ยไม่อยากทักทายทุกคน แต่ตอนนี้เขามีเรื่องเร่งด่วนสุดๆ บางทีอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า อาการของผู้ป่วยก็อาจจะเปลี่ยนไป และอาจจะตรวจไม่พบสารเป้าหมายก็เป็นได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมไป๋เยี่ยถึงเมินทุกคน!
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเหยาหมิง เฉินเจิ้นปั่ง หรือใครก็ตาม ไป๋เยี่ยก็ไม่สนใจทั้งนั้น
เหยาเหมิงเห็นไป๋เยี่ยเดินออกไปไกลแล้วก็ยกมือขวาขึ้นเกาศีรษะแกรกๆ แก้เขินก่อนจะหันไปทางคนอื่นๆ “ทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม อัลสตันสบายดี กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่กันเถอะ พรุ่งนี้เราค่อยมาเยี่ยมเขากัน!”
เหยาหมิงพูดจบก็เป็นฝ่ายเดินนำทุกคนออกไปด้านนอก
ทันทีที่ไป๋เยี่ยกลับมาถึงสถาบันวิจัย เขาก็รีบบอกทุกคนถึงสิ่งที่ตนได้คิดไว้และขอให้ทุกคนรีบวัดสมดุลฮอร์โมนของอัลสตันทันที
ส่วนไป๋เยี่ยก็ต่อสายหาเกาเย่ว์หยางที่ยูเนียน “อาจารย์เกาครับ ผมมีเรื่องอยากรบกวนหน่อย ถ้าที่แผนกฉุกเฉินของยูเนียนรับผู้ป่วยเคสกระดูกหักเข้ามาเมื่อไหร่ ช่วยส่งเคสมาที่ผมได้ไหมครับ”
เกาเย่ว์หยางไม่ได้ถามหาเหตุผล เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบตกลงไป
ถึงแม้ว่าเกาเย่ว์หยางจะไม่รู้ว่าไป๋เยี่ยจะทำอะไร แต่เขาก็รู้นิสัยของเด็กหนุ่มคนนี้ดี
หลังจากติดต่อกับทุกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว ไป๋เยี่ยก็ขอให้ทีมวิจัยเริ่มปฏิบัติการทันที
เขาสัมผัสได้ว่าผลลัพธ์จะออกมาภายในไม่เกินสองวันข้างหน้า!
ถ้าค้นพบสิ่งนั้น มันจะต้องกลายเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่แน่นอน รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ก่อน ไป๋เยี่ยจะเปิดโหมดระดมความคิด ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ตีเหล็กต้องตีตอนยังร้อน’ บางทีเขาอาจจะได้รับผลการวิจัยก็ได้
ไป๋เยี่ยยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งเต้นระรัว
นี่มันอะไรกัน
สัญญาณแห่งความสำเร็จงั้นเหรอ
ไป๋เยี่ยยกยิ้มและทุ่มเททั้งกายและใจให้กับงานชิ้นนี้