บทที่ 1145 ตอนพิเศษ (43-2)
บทที่ 1145 ตอนพิเศษ (43/2)
“ได้ ๆ รบกวนมากแล้ว” หลี่ก๋วงไห่เอ่ย “ข้าจะไปส่งท่านกลับ”
ทั้งสองบ้านอยู่ไม่ไกลกันนัก หลิวจิ่วจู๋จึงบอกให้เขากลับไปดูแลภรรยา ไม่ต้องไปส่งนาง
เพียงแต่คราวนี้ฟ้ามืดแล้ว แม้ว่าระหว่างทางจะมีบ้านเพียงสองสามหลังคั่นกลาง ทว่าหลี่ก๋วงไห่ก็ยังคงยืนกรานจะไปส่งหลิวจิ่วจู๋
ประการแรกเพราะเป็นเรื่องของมารยาท อย่างไรเสียเขาก็เชิญนางไปช่วยที่บ้าน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปส่งคนกลับ ประการที่สองเพราะสตรีนางนี้หน้าตาสะสวยเกินไป ละแวกนี้มีอันธพาลอยู่สองสามคนจึงไม่อาจละเลยนางได้
ทันทีที่มาถึงประตูก็เห็นเงาร่างหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ตรงนั้น
“ผู้ใด?” เมื่อหลี่ก๋วงไห่เห็นเงาตะคุ่ม ๆ เงาหนึ่ง เขาก็ไปยืนขวางหน้าหลิวจิ่วจู๋อย่างตื่นตระหนก มองอีกฝ่ายอย่างระแวง
“จู๋จือ…” เสียงแหบแห้งดังขึ้น “จู๋จือ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
เงานั้นลุกขึ้น ภายใต้แสงจันทร์สลัว ในที่สุดก็มองเห็นนางได้ชัดเจน
“ชิงซือหรือ?”
“จู๋จือ…” หยางชิงซือรุดเข้าไปกอดหลิวจิ่วจู๋แน่น
หลิวจิ่วจู๋เอ่ยกับหลี่ก๋วงไห่ “พี่ใหญ่ นี่เป็นพี่น้องข้า นางไม่ใช่คนเลว ขอบคุณพี่ใหญ่ที่มาส่งข้า”
“ดี ๆ ไม่ใช่คนเลวก็ดีแล้ว เช่นนั้นข้ากลับละ ท่านรีบเข้าไปเถอะ!” หลี่ก๋วงไห่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ได้ ขอบคุณท่านมาก”
หลิวจิ่วจู๋เปิดประตูแล้วพาหยางชิงซือเข้าไปข้างใน
ทันทีที่เปิดประตู ตัวเป่าก็รีบวิ่งออกมาหา
หลิวจิ่วจู๋รีบเดินถอยไปข้าง ๆ แล้วเอ่ย “ตัวเป่า อย่าซน”
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว หลิวจิ่วจู๋ก็จุดตะเกียงน้ำมันเป็นอันดับแรก ก่อนจะหันไปมองหยางชิงซือ
บนใบหน้าหยางชิงซือเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ดูแล้วสีหน้าซีดเซียวยิ่งนัก
“เจ้ายังไม่ได้กินข้าวกระมัง? ข้าจะไปทำให้ประเดี๋ยวนี้”
“นั่นไม่ได้” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
หยางชิงซือตามหลิวจิ่วจู๋ไปที่ห้องครัว
แสงไฟสลัวเป็นอย่างยิ่ง สวนทางกับห้องที่ใหญ่โต นั่นทำให้แสงในห้องดูมืดลงยิ่งกว่าเดิม
หยางชิงซือนั่งอยู่หน้าเตาและเริ่มก่อไฟ
นางมองดูไฟในเตา แววตาทั้งสว่างไสวทั้งมืดหม่น
หลิวจิ่วจู๋เองก็จดจ่อในการทำบะหมี่เช่นกัน
“วันนี้ข้าซื้อไข่มาพอดี พวกเรากินหรูหน่อย ทอดไข่เพิ่มอีกฟองเถอะ”
“ข้าไม่กิน”
“เอวข้าหนาขึ้นแล้ว หากเจ้าไม่กิน นั่นไม่เท่ากับปล่อยให้ข้าอ้วนขึ้นผู้เดียวหรือ? นั่นไม่ได้ พี่น้องที่ดีต้องผอมลงและอ้วนขึ้นไปพร้อม ๆ กัน”
หยางชิงซือยิ้มฝืดเฝื่อน “นี่หลักการอะไรของเจ้า?”
หลิวจิ่วจู๋เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
“คนเมื่อครู่นี้คือพี่ใหญ่หลี่ ภรรยาของพี่ใหญ่หลี่เพิ่งคลอดลูกชายผู้หนึ่ง เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาต้องหวาดหวั่นเพียงใด โชคดีที่ข้าทำคลอดได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงลำบากแล้ว…”
หลังจากที่บะหมี่เสร็จแล้ว หลิวจิ่วจู๋กับหยางชิงซือก็ไปนั่งกินบะหมี่ที่โต๊ะ
หลิวจิ่วจู๋พึ่งกินไข่ดาวไป ตอนนี้จึงไม่อยากอาหาร แต่นางรู้ว่าหากนางไม่กิน ดูจากท่าทีของหยางชิงซือแล้วเกรงว่าจะไม่กินด้วยเป็นแน่ หลิวจิ่วจู๋จึงกินไข่สองใบเป็นเพื่อนอีกฝ่าย ส่วนบะหมี่นั้น นางแตะเพียงน้อยนิด
หลังจากกินบะหมี่เสร็จ หยางชิงซือก็แย่งหน้าที่ล้างจานกับนาง
เมื่อหลิวจิ่วจู๋แย่งงานกลับมาไม่ได้จึงปล่อยให้สหายทำ ส่วนตัวเองก็ปัดกวาดเช็ดถูก ทำความสะอาดห้องด้านข้าง
“เจ้าอยากอาบน้ำร้อนหรือไม่?”
“ไม่ละ” หยางชิงซือสั่นศีรษะ “ตอนนี้ข้าไม่มีแรงแล้ว”
“เอาเถอะ เช่นนั้นพวกเราก็ไปพักผ่อนกัน”
หลิวจิ่วจู๋ที่นอนชิดหยางชิงซืออยู่บนเตียงเอ่ยขึ้น “เล่ามาเถอะ สรุปว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“แม่ข้าหมั้นหมายข้าให้กับลูกพี่ลูกน้องแล้ว”
“ลูกพี่ลูกน้องหรือ?” หลิวจิ่วจู๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ฮั่วหลางผู้นั้นหรือ?”
“อืม”
“แม่พี่ซู่เกินคิดจะหาลูกพี่ลูกน้องให้เขา ส่วนแม่เจ้าก็คิดจะหาลูกพี่ลูกน้องให้เจ้าเช่นกัน ข้าว่าพวกนางจงใจทำอย่างเดียวกัน” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ด้วยนิสัยของเจ้า คงไม่เห็นด้วยกระมัง?”
“แม่ข้ารับของหมั้นมาแล้ว แถมยังใช้เงินนั้นมาสร้างบ้านใหม่แล้วด้วย ตอนนี้ไม่เหลือที่ว่างให้ข้าต่อรอง หากข้าไม่แต่ง อีกฝ่ายต้องขอให้แม่ข้าคืนเงิน”
“ด้วยนิสัยของเจ้า คงไม่ประนีประนอมเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้กระมัง? แม่เจ้าเป็นคนเอาเงินไปก็ควรเป็นคนคืน นางใช้เงินหมดแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางหาทางเองเถิด ไม่อาจนำเจ้าไปชดใช้ได้ นอกจากนี้ นั่นไม่ใช่ญาติทางฝั่งแม่เจ้าหรือ? ญาติตนเองคงพูดคุยได้ง่าย พวกเขาไม่มีทางบีบบังคับมารดาเจ้าจนเกินไป ข้าว่าแม่ของเจ้ารู้ว่าจุดอ่อนของเจ้าอยู่ที่ใดจึงคิดจะใช้วิธีนี้บังคับเจ้าให้แต่งงาน”
“ข้าก็รู้เช่นกัน” หยางชิงซือกล่าว “ดังนั้นข้าจึงหนีออกมา”
“หนีมาก็ไม่ช่วยอะไร เรื่องนี้ยังคงต้องแก้ไข ไม่เช่นนั้นยามผู้อื่นเอ่ยถึงเจ้าล้วนจะกล่าวว่าเจ้าหนีงานแต่งงาน ชื่อเสียงของเจ้าย่อมเลวร้ายเป็นแน่”
“ข้าเข้าใจ” หยางชิงซือซบไหล่สหาย “วันนี้ข้าทะเลาะกับท่านแม่ ท่านพ่อยังคิดจะขังข้าไว้ในห้องเก็บฟืน กล่าวว่าแม้ขาของข้าหัก เขาก็ไม่มีทางแต่งข้าให้จงซู่เกิน”
“น่ากลัวจริง ๆ เช่นนั้น พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เจ้าเล่า? พวกเขาไม่ช่วยเจ้าหรือ?”
“หากพวกเขาไม่ช่วยข้า ข้าคงไม่มีแม้กระทั่งโอกาสหนีด้วยซ้ำ เพียงแต่อย่างที่เจ้ากล่าว วันนี้หนีออกมา พรุ่งนี้พวกเขาก็จะต้องรู้ว่าข้าอยู่ที่ใดแน่นอน ถึงตอนนั้นยังจะดึงเจ้าเข้ามาพัวพันด้วย ข้าต้องกลับไปหมู่บ้านสกุลหลิ่วแน่ เพียงแต่ต้องขบคิดให้รอบคอบว่าจะทำอย่างไร ตอนที่ท่านแม่บอกข้า ข้าสับสนไปหมด สมองก็พลอยใช้การไม่ได้ไปด้วย”
“เช่นนั้น เจ้าคิดกระจ่างแล้วหรือยัง?”
“ตอนนี้ข้ากำลังคิดแต่ยังไม่เข้าใจนัก พ่อแม่ข้าจัดการเรื่องการแต่งงานให้ข้าแล้ว ตามกฎข้าไม่มีทางคัดค้านได้เลย”
“เช่นนั้น เรื่องนี้ต้องเริ่มต้นจากลูกพี่ลูกน้องของเจ้า” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ข้าเคยพบลูกพี่ลูกน้องของเจ้าผู้นั้นครั้งหนึ่ง พวกเราสองคนเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน เช่นนั้นข้าก็ขอเอ่ยตามตรงว่า จากความประทับใจแรกที่ข้ามีต่อเขา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนดีอะไรนัก”
ท้ายที่สุดแล้วครั้งแรกที่พบกัน เมื่อคนผู้นั้นเอ่ยปากก็เรียกนางว่าน้องสาว อีกทั้งยามอยู่ต่อหน้านางยังประจบประแจงเพราะหวังผลเสมอ
“แน่นอน ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนเช่นใด” หยางชิงซือเอ่ย “ข้าไม่ได้โง่ ดูจากท่าทีของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่มีเจ้าโง่จงซู่เกินผู้นั้น ข้าก็ไม่มีทางแต่งให้เด็ดขาด หากข้าแต่งให้เขา นั่นไม่เท่ากับหมดสิ้นอนาคตหรือ ยังมีครอบครัวท่านยายกับป้าสะใภ้ของข้าอีก นั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไรเช่นกัน หากข้าตกไปอยู่ในมือพวกเขา พวกเขาคงไม่ทำดีต่อข้าเพียงเพราะเห็นแก่หน้าท่านแม่หรอก”
หลิวจิ่วจู๋เห็นว่าหยางชิงซือมีสติดี พูดจาเป็นระบบระเบียบก็รู้ว่าไม่ได้โกรธจนหูตามืดบอด นางจึงพลอยโล่งใจไปด้วย
“เรื่องของวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน พวกเราพักผ่อนเถอะ!”
“อืม”
หลิวจิ่วจู๋ให้ความสนใจกับสถานการณ์ของหยางชิงซือ เมื่อเห็นว่าไม่ช้านางก็หยุดพูด อีกทั้งลมหายใจเข้าออกยังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จึงหลับตาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา
หลังจากหลิวจิ่วจู๋หลับไปแล้ว หยางชิงซือก็ลืมตาขึ้นมา
นางมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง
เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ นางจะหลับลงได้อย่างไร?
เมื่อครู่ตอนที่อยู่ระหว่างทางมาที่นี่ นางคิดถึงเรื่องเลวร้ายเหล่านี้และลังเลใจว่าจะไปจากที่นี่แล้วไม่หวนกลับมาอีกดีหรือไม่
เพียงแต่ เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าว ที่นี่ยังมีคนมากมายที่นางคิดถึง นางไม่อาจตัดใจทิ้งผู้คนที่รักเพราะบิดามารดาได้
“ข้าหยางชิงซือไม่กลัวฟ้าดิน ความลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ไม่อาจเอาชนะข้าได้” หยางชิงซือพึมพำ “อย่างมากก็ลองดูสิว่า ผู้ใดจะโหดเหี้ยมกว่ากัน ข้าอยากรู้นักว่าพวกเขาคิดจะบีบให้ข้าตายจริง ๆ หรือ”