ตอนที่ 1479 ฆ่า
เสียงลมพัดหยุดลง แม้กระทั่งเสียงร้องของแมลงในฤดูร้อนยังเงียบสนิท ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายเหมือนจะหยุดลงเพราะร่างของของสตรีภายใต้แสงจันทร์ผู้นั้น
ชายเสื้อคลุมกันลมของสตรีผู้นั้นสยายไปมาตามแรงลม ผมยาวของหญิงสาวถูกมัดรวบสูง เสื้อเกราะสีเงินสะท้อนแสงเปล่งประกายท่ามกลางแสงจันทร์ ใบหน้าขาวเนียนงดงามเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ไอสังหารรุนแรงแผ่ออกมาจากรอบกายของนาง แววตาของนางคมกริบและดุดัน
“ทหารค่ายหู่อิงจงฟังคำสั่ง!” ไป๋ชิงเหยียนพาดธนูเซ่อรื้อไว้บนบ่าของตัวเอง จากนั้นดึงหอกเงินหงอิงซึ่งเสียบอยู่บนพื้นขึ้นมาชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จงสังหารทุกคนที่พุ่งตรงเข้ามา!”
น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนทรงพลังและหนักแน่นจนศัตรูได้ยินต่างรู้สึกหวาดกลัว ทหารค่ายหู่อิงของกองทัพไป๋มีกำลังใจฮึกเหิมมากกว่าเดิมหลายเท่า
สิ้นเสียงคำสั่งของไป๋ชิงเหยียนทหารค่ายหู่อิงที่ดักซุ่มอยู่สองข้างทางปรากฏกายออกมาให้เห็นทันที ฝนธนูพุ่งตรงไปยังทหารกองทัพตงอี๋ที่ถูกทหารกองทัพไป๋ล้อมอยู่
ทหารค่ายหู่อิงที่ยืนอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียนล้วนเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือ เมื่อไป๋ชิงเหยียนออกคำสั่งพวกเขาจึงพากันยิงธนูไปยังร่างของเหล่าทหารตงอี๋ที่หนีตายมาทางนี้ทันที จากนั้นชักดาบตรงเข้าไปหาทหารเหล่านั้นก่อนที่พวกนั้นจะได้สติยกดาบขึ้นมาต่อสู้กับพวกเขาเสียอีก ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเลือดสดและเสียงร้องของทหาร ทหารตงอี๋ไม่มีเวลาตอบโต้กลับแม้แต่น้อย
ม้าศึกของไป๋ชิงเหยียนชูขาหน้าสองข้างขึ้นจากพื้นแล้วบุกเข้าไปร่วมวงต่อสู้ด้วย หญิงสาวแทงหอกใส่ร่างศัตรูและชักหอกยาวออกอย่างรวดเร็ว เลือดสดกระจายโดนขนขาวของม้าศึกของไป๋ชิงเหยียนจนเปียกชุ่มเป็นหย่อมๆ และหยดลงบนพื้น
เสิ่นเหลียงอวี้คุ้มกันอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียนตลอดเวลา ทว่า เสี่ยวไป๋ไซว่ไม่ได้ต้องการปกป้องจากเขาแม้แต่น้อย ถึงแม้จะขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีของแคว้น ทว่า ฝีมือของเสี่ยวไป๋ไซว่ไม่ได้ด้อยลงกว่าเดิมเลยแม้แต้น้อย
เมื่อไป๋ชิงเหยียนและเสิ่นเหลียงอวี้สังหารทหารตงอี๋ที่หลบหนีมาได้จนหมด เฉิงหย่วนจื้อที่เพิ่งจัดการกับทหารตงอี๋เสร็จจึงตามมาสมทบ
เฉิงหย่วนจื้อเห็นเลือดที่เสื้อเกราะสีเงินของไป๋ชิงเหยียนและซากศพของทหารตงอี๋ที่เกลื่อนเต็มพื้นจึงรีบเข้าไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน จากนั้นถอนหายใจยาวออกมา “ข้าพยายามมาโดยเร็วที่สุดแล้ว ทว่า สุดท้ายก็ยังไม่ทันอยู่ดี!”
“จัดการตรงนี้ให้เรียบร้อย พาทหารที่ได้รับบาดเจ็บกลับไปทำแผล ท้องฟ้าใกล้สว่างแล้ว ตอนนี้ทหารค่ายหู่อิงลอบเข้าไปในเมืองแล้ว เราจะใช้พลุเป็นสัญญาณให้เปิดประตูเมือง พวกเราต้องยึดเมืองหลิ่วกวนให้ได้ก่อนฟ้าสว่าง!” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางกองทัพไป๋ที่กำลังช่วยกันประคองร่างของทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
“ขอรับ” เฉิงหย่วนจื้อรับคำ จากนั้นเขาและเสิ่นเหลียงอวี้ช่วยกันจัดการให้คนพาทหารที่ได้รับบาดเจ็บกลับไปรักษาตัวก่อน
“ทหารของตงอี๋อ่อนแอเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเรามาที่นี่ด้วยใจที่พร้อมตาย นึกไม่ถึงเลยว่าจะสังหารพวกเขาได้ง่ายถึงเพียงนี้!” เฉิงหย่วนจื้อรู้สึกหงุดหงิดเพราะยังทำสงครามได้ไม่เต็มที่ “ฝีมือแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้เสี่ยวไป๋ไซว่ออกโรงเดินทางมาเองด้วยซ้ำ พวกเราประเมินตงอี๋สูงไปจริงๆ น่าจะให้เด็กพวกนั้นมาลองฝึกฝนประสบการณ์จริงๆ”
“ตงอี๋โดดเด่นเรื่องทหารเรือ ที่สำคัญตั้งแต่ตงอี๋ตกเป็นรัฐบรรณาการของต้าเหลียงก็ไม่เคยทำสงครามมาเกือบสี่สิบปีแล้ว เมื่อทำสงครามกลับต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่ผ่านสงครามมานับร้อยอย่างกองทัพไป๋ จะพ่ายแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด” เสิ่นเหลียงอวี้เหยียบเท้าข้างหนึ่งลงบนก้อนหินใหญ่ เขาคาบฟางไว้ในปากพลางโบกมือสั่งให้คนรีบพาทหารที่ได้รับบาดเจ็บออกไป
เฉิงหย่วนจื้อได้ยินเสิ่นเหลียงอวี้กล่าวเช่นนี้จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจเรื่องทุกอย่าง “ดังนั้นเสี่ยวไป๋ไซว่จึงบอกให้พวกเรายึดเมืองหลวงของตงอี๋ให้ได้ภายในสามวันหลังจากขึ้นมาบนฝั่งของตงอี๋ใช่หรือไม่!”
ไม่นานกองทัพไป๋ก็จัดทัพใหม่แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิ่วกวน
ไป๋ชิงเหยียนขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน เมื่อใกล้ถึงประตูเมืองหลิ่วกวนไป๋ชิงเหยียนจึงเอ่ยสั่งเสียงดัง “จุดพลุ!”
แม่ทัพคุ้มกันเมืองหลิ่วกวนมองเห็นแสงสีแดงปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า ทว่า เขายังไม่ทันสังเกตให้ดีว่าคือสิ่งใดก็ถูกคนอุดปากจากทางด้านหลังและปาดคอทิ้งเสียก่อน กระทั่งหมดลมหายใจลงบนพื้นเขาก็ยังไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
ทหารค่ายหู่อิงหอบหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ บนกำแพงเมืองและบันไดเต็มไปด้วยศพของทหารตงอี๋
“เปิดประตูเมืองให้เสี่ยวไป๋ไซว่และกองทัพไป๋เข้ามาในเมือง!” หัวหน้าของทหารค่ายหู่อิงตะโกนขึ้นเสียงดังจากบนกำแพงเมือง
ไม่นานประตูเมืองจึงค่อยๆ ถูกเปิดออกทีละนิด
หัวหน้าทหารหน่วยย่อยคุ้มกันเมืองตงอี๋ที่ได้เวลาออกมาเปลี่ยนเวรเดินบิดขี้เกียจออกมาจากกระโจม ขณะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นไปบนกำแพงเขารู้สึกว่าพื้นที่เขายืนอยู่สั่นสะเทือนเล็กน้อย เขาคิดว่าอาจเกิดแผ่นดินไหวเพราะแคว้นตงอี๋เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งจนชาวตงอี๋เคยชินกับมันแล้ว
ทว่า นอกจากการสั่นสะเทือนบริเวณปลายเท้าแล้วเขายังได้กลิ่นคาวเลือดอีกด้วย หัวหน้าหน่วยย่อยมองไม่เห็นแม่ทัพคุ้มกันเมืองที่อยู่ด้านบนกำแพงจึงวิ่งไปด้านหน้าอีกสองสามเก้า ทว่า เมื่อก้าวขึ้นบนกำแพงเขากลับเห็นหยดเลือดและร่างของสหายที่เสียชีวิตอยู่บนบันได
หัวหน้าหน่วยย่อยคนนั้นถอยหลังหนีเล็กน้อย จากนั้นตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น “ศัตรูบุกแล้ว! ศัตรูบุกแล้ว! รีบตีกลองศึกเร็ว รีบไปตามคนมาเร็วเข้า!”
ทหารหน่วยลาดตระเวนของตงอี๋หวาดกลัวขึ้นมาทันที บางคนไปตะโกนเรียกสหายคนอื่น บางคนวิ่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อตีกลอง บางคนวิ่งเข้าไปในค่ายทหารเพื่อหยิบระฆัง
ทว่า สายไปแล้ว…
หัวหน้าหน่วยย่อยที่สั่งให้คนไปตีกลองศึกและตามคนมาช่วยเหลือมองเห็นประตูเมืองถูกเปิดออกอยู่ด้านล่างกำแพงเมืองกับตาของตัวเอง
สตรีในชุดเกราะสีเงินที่เต็มไปด้วยเลือดถือหอกเงินหงอิงควบม้าสีขาวเข้ามาด้านในเมืองเป็นคนแรก ด้านหลังของนางคือกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีอีกมากมาย
เมื่อทหารหน่วยย่อยมองเห็นกองทัพมากมายนับไม่ถ้วนด้านหลังสตรีสาวที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เขาเริ่มถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ
ธงเฮยฟานไป๋หมั่งของกองทัพไป๋โบกสะบัดไปมากลางอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
หัวหน้าหน่วยย่อมเริ่มเร่งฝีเท้าถอยหลังไปเรื่อยๆ พลางตะโกนดังลั่น “รีบไปรายงานท่านแม่ทัพ กองทัพไป๋บุกมาแล้ว!”
ลูกธนูดอกหนึ่งลอยทะลุลำคอของหัวหน้าหน่วยย่อยผู้นั้นไปปักลงบนกำแพงทางด้านหลังเขา ปลายธนูยังคงสั่นไหวอย่างรุนแรง
เมื่อเสียงกลองศึกดังขึ้นทหารค่ายหู่อิงกรูกันเข้าไปปลิดชีพทหารตงอี๋ราวกับหล่นลงมาจากฟากฟ้า พวกเขาบุกเข้าไปในค่ายทหาร ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกและเลือดสด
หัวหน้าค่ายหู่อิงที่พาทหารหู่อิงหนึ่งร้อยนายบุกเข้ามาในเมืองคุกเข่าลงตรงหน้าไปชิงเหยียน “ข้าขออนุญาตบุกไปจับตัวแม่ทัพคุ้มกันเมืองที่จวนของเขาด้วยตัวเองขอรับ!”
“เสิ่นเหลียงอวี้ เฉิงหย่วนจื้อ!” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยเรียก
“ขอรับ!” เสิ่นเหลียงอวี้รับคำ
“เจ้าพาคนไปจับตัวแม่ทัพคุ้มกันเมืองมา เฉิงหย่วนจื้อ…เจ้าพาคนไปจับตัวขุนนางทุกคนในเมืองมา ห้ามทำร้ายชาวบ้านที่ไม่ขัดขืน ผู้ใดขัดขืนจงสังหารทิ้งทันที!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงราบเรียบ