ตอนที่ 398 แอบฟัง
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ที่จริงแล้วคุณหนูลั่วผู้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทยอยซื้อบ้านและร้านค้าที่อยู่รอบๆ หอสุราเอาไว้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ขาดแคลนเงิน มีทรัพย์สินมากกันเอาไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย
ตอนที่ซื้อบ้านและร้านค้านั้นลั่วเซิงไม่ได้ออกหน้าเอง คนนอกไม่รู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของบ้านและร้านค้าตัวจริง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อจูอู่มาถามบ้านใกล้เรือนเคียงที่มีปล่อยเช่า เจ้าของบ้านโดยพฤตินัยจึงบอกเพียงว่า ‘ไม่ปล่อยเช่า’
จนสุดท้าย กว่าจะได้เช่าบ้านที่มีอุโมงค์ลับหลังนี้ จูอู่ก็ดีใจจนเกือบจะร้องไห้
ลั่วเซิงเข้าไปในอุโมงค์ลับจากห้องเก็บสุรา เมื่อออกมาอีกครั้งก็อยู่ในห้องลับห้องหนึ่งแล้ว
เดิมทีทางออกของอุโมงค์ลับนี้คือห้องเก็บฟืน ต่อมาลั่วเซิงแอบเปลี่ยนแปลงเอง
บ้านหลังนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก มีเพียงห้องหลักสามห้อง ได้แก่ห้องทิศตะวันออก ห้องทิศตะวันตกและห้องโถง
โครงสร้างเช่นนี้ โดยปกติแล้วห้องทิศตะวันออกจะเป็นที่พักอาศัยของเจ้าของ ส่วนห้องทิศตะวันตกจะเป็นห้องหนังสือ หากมีแขกมา เป็นไปได้ว่าจะรับแขกที่ห้องนั่งเล่นของตนเอง หรือไม่ก็เจอกันที่ห้องหนังสือล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
ลั่วเซิงต้องตัดสินใจเลือก ห้องนอนและห้องหนังสือล้วนมีห้องลับแยก ย่อมไม่พลาดหากจะดักฟัง
ห้องที่นางแอบเข้าไปคือห้องลับของห้องหนังสือ
ห้องลับและห้องหนังสือไม่มีทางเข้าออก ดูจากมุมของห้องหนังสือแล้วเห็นเพียงกำแพง ซึ่งทำให้ตัดความเป็นไปได้ที่ประตูลับจะถูกค้นพบไป
เพียงแต่ว่ากำแพงนี้หนาขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งบางมาก หากแนบหูกับกำแพงก็จะได้ยินความเคลื่อนไหวในห้องหนังสือได้แจ่มชัด
กระทั่งในยามจำเป็น ยังใช้สิ่งแหลมคมแทงทะลุเป็นรูเล็กๆ เพื่อแอบดูสถานการณ์ในห้องหนังสือได้
ลั่วเซิงเงี่ยหูฟังและได้ยินเสียงสนทนาชัดเจน
นางอดยกมุมปากไม่ได้
นางทายถูก
“เจ้ายังเหลวไหลไม่พออีกหรือ” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นในหูของลั่วเซิง
เสียงๆ นี้ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเสียงของชายวัยสี่ห้าสิบ
เสียงของจูอู่ดังขึ้น “ข้าไม่ได้เหลวไหล”
ลั่วเซิงเม้มปากเบาๆ
ต่อหน้าคนของหอสุราแล้ว จูอู่เรียกได้ว่าเป็นคนดูแลบัญชีที่หนักแน่นคนหนึ่ง แต่ครานี้ความรู้สึกที่นางสัมผัสได้กลับเหมือนกับเด็กหนุ่มที่ชอบเยาะเย้ยถากถางสังคม
ลั่วเซิงเข้าใจ นี่เป็นเพราะสภาพจิตใจและสถานะของจูอู่เปลี่ยนไปแล้ว
สำหรับจูอู่แล้ว พวกเขาก็แค่คนนอกที่เขาจำเป็นต้องคบหาเนื่องจากลี้ภัยชั่วคราว และชายที่อยู่ในห้องหนังสือบัดนี้น่าจะเป็นผู้อาวุโสที่จูอู่สนิมสนมด้วย
ลั่วเซิงรู้สึกอยากจะแทงกำแพงให้ทะลุเป็นรูเล็กๆ เพื่อดูโฉมหน้าที่แท้จริงชายวัยกลางคนนัก
แต่นางก็ข่มความคิดนี้ไว้
ฝีมือของจูอู่นางรู้จักดี ฝีมือของเขาอาจจะดีกว่าที่นางรู้ หากส่งเสียงอะไรออกไปแล้วถูกจับได้ ทุกอย่างจะสูญเปล่า
การตั้งใจฟังต่อไปถึงจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
“ไม่ได้เหลวไหลรึ” เสียงเจือความโกรธของผู้ชายดังขึ้น “ครานั้นเจ้าดึงดันจะก่อตั้งกลุ่มนักฆ่าอะไรนั่น ฆ่าคนวางเพลิงรับเงินรางวัล เดิมข้าก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีนอกรีตเช่นนี้ แต่เจ้ายืนหยัดจะทำ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วตอนนี้เล่า คนที่เจ้ารับไว้ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปหมดแล้ว แม้แต่เจ้าก็อาจตกเป็นเป้าสายตา เจ้ายังคิดจะดิ้นรนอย่างไรอีก หรือว่าอยากจะเปิดโปงฝั่งเราด้วย”
“จะเปิดโปงได้อย่างไร เจ้าหน้าที่ถามอะไรจากนักฆ่าเหล่านั้นไม่ได้เสียหน่อย อย่างมากที่สุดก็รู้แค่ว่ามีบัญชีรายชื่อคนจ้างวานช่วงไม่กี่ปีนี้เท่านั้น” จูอู่ไม่คิดเช่นนั้น น้ำเสียงเจือความเย็นชา “รายชื่อตกอยู่ในมือของพวกเขาแล้วอย่างไร รายชื่อผู้ที่ร่วมมือด้วยมากที่สุดคือองค์รัชทายาทเชียวนะ”
ลั่วเซิงใจกระตุก
นางเคยคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่กลุ่มนักฆ่าลึกลับนี้ทำงานให้เว่ยเชียง แต่ฟังจากน้ำเสียงของจูอู่แล้ว เหมือนกับว่าอยากให้เว่ยเชียงเคราะห์ร้าย จงใจขุดหลุมพรางหลอกล่อองค์รัชทายาทอย่างนั้น
ลั่วเซิงเอามือยันกำแพง สีหน้าเคร่งขรึม
เหมือนกับว่าจะหวั่นไหวกับคำพูดของจูอู่ น้ำเสียงของชายคนนั้นสงบลงเล็กน้อย “แม้จะเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว รีบกลับไปเถอะ”
จูอู่เงียบไม่พูดอะไร
“อู่หลัง ข้าอายุมากแล้ว เจ้าคงไม่ได้รอจนข้าไม่ไหวแล้วถึงจะกลับมารับช่วงองครักษ์จูเชวี่ยหรอกนะ ถึงครานั้น เจ้าอาจจะโน้มน้าวทุกคนไม่ได้แล้ว…”
อีกด้านหนึ่งของกำแพง ลั่วเซิงตกใจมาก
องครักษ์จูเชวี่ย คือองครักษ์จูเชวี่ยที่นางรู้จักนั่นหรือไม่
จวนเจิ้นหนานอ๋องมีองครักษ์ที่เก่งกล้าที่สุดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นองครักษ์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้รายนามทหารที่ขึ้นทะเบียน ถือว่าเป็นทหารส่วนตัวที่ท่านพ่อเลี้ยงดู ทหารส่วนตัวเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในจวนเจิ้นหนานอ๋องด้วยซ้ำ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าปกติพวกเขาฝึกซ้อมที่ไหน
ก่อนออกเรือน นางเพิ่งทราบการมีอยู่ขององครักษ์จูเชวี่ยจากปากของท่านพ่อ
ท่านพ่อบอกว่านี่คือทุนเล็กน้อยสำหรับจวนเจิ้นหนานอ๋องในการหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครั้งหากมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น
องครักษ์จูเชวี่ยไม่ได้ถูกเริ่มเลี้ยงดูจากท่านพ่อ แต่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
องครักษ์จูเชวี่ยแต่ละรุ่นอาจไม่ปรากฏตัวต่อภายนอกในฐานะองครักษ์จูเชวี่ยจนกว่าร่างกายจะอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ในทางกลับกันพวกเขาจะถอนตัวออกอย่างเงียบๆ และให้องครักษ์จูเชวี่ยรุ่นใหม่รับช่วงต่อแทน
สิ่งที่สามารถบัญชาการองครักษ์จูเชวี่ยคือป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยอีกครึ่งหนึ่ง
ป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งอยู่ในมือของหัวหน้าองครักษ์จูเชวี่ย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในมือของเจิ้นหนานอ๋องที่สืบทอดต่อกันมา
หัวหน้าองครักษ์ชูเชวี่ยจะถือป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยครึ่งซ้าย ตราบใดที่เห็นผู้ที่มีป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยครึ่งขวา องครักษ์จูเชวี่ยทุกคนต้องฟังคำสั่ง
ลั่วเซิงกำหมัดแน่น
หากองครักษ์จูเชวี่ยยังอยู่จริงๆ นางมีป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยครึ่งขวาอยู่ในมือแล้วยังจะกังวลว่าไม่มีผู้มีความสามารถให้ใช้อีกหรือ
ของผู้อื่นจะใช้ดีอย่างไรก็ไม่ใช่ของตนเอง และยังต้องติดค้างหนี้บุญคุณมากมาย แม้ถูกอีกฝ่ายลูบศีรษะก็ทำได้เพียงยิ้มให้
“ลุงซิ่ง ท่านก็รู้ ท่านอ๋องน้อยยังไม่ตาย ตอนนี้ถูกกักบริเวณ ข้าไม่อยากยอมแพ้ออกจากเมืองหลวงไปง่ายๆ ข้าจะพยายามลองหาทางช่วยท่านอ๋องน้อยออกมา…”
“เหลวไหล!” ชายวัยกลางคนตะคอก
ลั่วเซิงดีใจ
องครักษ์จูเชวี่ยของจวนเจิ้นหนานอ๋องจริงๆ ด้วย!
เสียงตะคอกของชายคนนั้นทำให้นางรักษาความสงบและตั้งใจฟังอีกฝ่ายพูดต่อไป
ชายคนนั้นพูดทีละคำว่า “ข้าไม่รู้จักท่านอ๋องน้อยอะไรทั้งนั้น”
ลั่วเซิงชะงัก
เสียงร้อนรนของจูอู่ดังขึ้น “ลุงซิ่ง…”
“เจ้ามิต้องพูดมาก ข้าไม่รู้จักท่านอ๋องน้อยอะไร ข้ารู้จักเพียงป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยอีกครึ่งหนึ่งเท่านั้น”
“ลุงซิ่ง เหตุใดท่านจึงเป็นคนคร่ำครึเช่นนี้!” จูอู่โมโหเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าไม่ได้คร่ำครึ แต่นี่คือกฎที่องครักษ์จูเชวี่ยต้องรักษา ตั้งแต่องครักษ์จูเชวี่ยรุ่นแรกก็รู้จักเพียงป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ย ไม่รู้จักผู้ใด”
“แต่หากป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยอีกครึ่งหนึ่งตกอยู่ในมือผู้อื่นเล่า”
ชายวันกลางคนยิ้ม “เจ้าไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจอะไร”
“นอกเสียจากว่าเจิ้นหนานอ๋องส่งต่อเป็นการส่วนตัว มิเช่นนั้นแม้ผู้อื่นเห็นป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยอีกครึ่งหนึ่งก็ไม่รู้ว่านั่นคือป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ย ผู้ที่ท่านอ๋องบอกย่อมเป็นผู้ที่ท่านอ๋องเชื่อใจ เป็นคนที่สามารถบัญชาการองครักษ์จูเชวี่ยได้”
“แต่นั่นคือท่านอ๋องน้อยนะขอรับ!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นท่านอ๋องน้อย” ชายวัยกลางคนย้อนถาม
จูอู่ชะงัก
ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “อู่หลัง คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ แต่ป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ข้าเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จูเชวี่ย กฎที่ตั้งไว้ตั้งแต่ก่อตั้งองครักษ์จูเชวี่ย ข้าไม่สามารถทำลายมันได้”
“ก็ได้ ลุงซิ่งกลับไปเถอะ ต่อไปก็อย่าติดต่อข้าอีกเลย จะได้ไม่ถูกจับตามอง”
“ในเมื่อรู้ว่ามีคนเจตนาไม่ดีมากมาย แล้วเจ้ายังไม่ถือโอกาสหนีไปตอนนี้อีกหรือ” ชายวัยกลางคนถามอย่างโมโห
“ตอนนี้น่าจะยังไม่มีอะไร…”
จูอู่ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะดังขึ้น