“เจ้าคนชั้นต่ำ ดูสิว่าเจ้ายังหนีไปไหนพ้น!”
เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้น คนกลุ่มหนึ่งพุ่งตามมาติดๆ ผู้นำคือชายวัยกลางคนสวมเกราะศึกเก่าคร่ำ โครงร่างหยาบใหญ่ อานุภาพร้ายกาจเต็มเปี่ยม
“นำสมบัติที่เจ้าเพิ่งขุดได้ออกมา มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้!” ขณะกล่าวชายวัยกลางคนสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาแล้ว
คนอื่นต่างปิดทางคับแคบสายนั้น นัยน์ตาล้วนเจือแววเย้ยหยันดุดัน
ในสายตาพวกเขาหญิงสาวนั่นเหมือนเนื้อบนเขียง หนีความตายไม่พ้น
“เจ้าอย่าเข้ามา ไม่อย่างนั้นข้าจะทำลายสมบัตินี้!”
หญิงสาวชูหินแร่สีเขียวก้อนหนึ่งขึ้นมา ร้องเสียงแหลมทันที
ฮูม…
แม้ว่าหินแร่สีเขียวนี้มีขนาดแค่กำปั้น แต่เมื่อชูขึ้นกลับเปล่งแสงเทพสีเขียวเจิดจรัสเป็นประกาย ส่องทางเหมืองมืดมนนี้จนสว่างไสว
จากนั้นคลื่นพลังมหามรรคยิ่งใหญ่สายหนึ่งแผ่ออกมาจากหินแร่สีเขียวนี้
ชายกลางคนหยุดเดินทันที มองหินแร่ก้อนนี้ด้วยแววตาละโมบ เขายื่นมือขวาออกมาพลางกล่าว “ส่งสมบัตินี้มา ข้ารับรองว่าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
สีหน้าคนอื่นเจือแววละโมบเช่นกัน
หินแร่สีเขียวนั้นน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว พวกเขาขุดแร่ที่นี่มาร้อยพันปี เพิ่งเคยเจอหินแร่อัศจรรย์เช่นนี้เป็นครั้งแรก
ไม่ต้องสงสัยว่านี่คือยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง!
หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น “นี่เป็นสิ่งที่ข้าขุดพบ หากเจ้าต้องการก็ได้ แต่ต้องเหลือไว้ให้ข้าส่วนหนึ่ง”
“เหอะๆ”
ชายกลางคนแค่นหัวเราะขึ้นมา “เหลือไว้ส่วนหนึ่ง? ละเมอเพ้อพก! หากข้ามองไม่ผิด ด้วยมรรควิถีของเจ้าคงทำลายสมบัตินี้ไม่ได้แต่แรก!”
เขาพูดพลางก้าวมาข้างหน้าอีกครั้ง
“เช่นนั้นก็ลองดู!”
นัยน์ตาหญิงสาวเผยแววคลุ้มคลั่ง ใช้กำลังทั้งหมดกระแทกหินเทพสีเขียวในมือไปทางผนังหินที่ขวางอยู่ตรงหน้าเต็มแรงทันที
“เจ้ากล้า…!” พวกชายวัยกลางคนเดือดจัด ลงมือในทันที
ตูม!
เวลานี้เองเหตุไม่คาดฝันพลันปรากฏ ผนังหินตรงปลายทางพลิกตลบรุนแรงทันที จากนั้นเงาร่างหนึ่งก้าวออกมาจากผนังหินนั่น
หินแร่สีเขียวที่หญิงสาวเพิ่งซัดออกไปยังไม่กระทบผนังหินก็ถูกเงาร่างซึ่งโผล่มากะทันหันนี้รับไว้
หญิงสาวอึ้งงันแล้ว
พวกชายวัยกลางคนก็ล้วนตกใจ พากันเตรียมพร้อมป้องกัน
ที่นี่คือส่วนลึกของเขาผนึกดารา แต่เวลานี้กลับมีคนผู้หนึ่งทำลายกำแพงเข้ามา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ใครเล่าจะไม่ตกใจ
ขณะเดียวกันหลินสวินก็ตกตะลึง ก้มมองหินแร่สีเขียวในมือ ทั้งมองหญิงสาวคนนั้นรวมถึงพวกชายวัยกลางคนที่อยู่ห่างไปพลางกล่าว “ก่อนหน้านี้พวกเจ้ากำลังแย่งชิงหินแร่ก้อนนี้หรือ”
ก่อนหน้านี้เขาเดินอยู่ในอุโมงค์มิติ มองไปล้วนเป็นภาพขุ่นมัว เดิมใกล้จะถึง ‘ทางออก’ ที่อยู่ในส่วนลึกของเขาผนึกดารานี้แล้ว
แต่ใครจะคิดว่าเมื่อครู่เขาพลันได้ยินเสียงกระหน่ำโจมตีลุ่มลึกหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงตามเสียงนั้นมา จากนั้นก็มาถึงที่นี่และเห็นเหตุการณ์นี้
“หินแร่ก้อนนั้นข้าเป็นคนขุดออกมา”
หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น “พวกเขาจะแย่งชิงไป ข้าจึงตัดสินใจทำลายมันทิ้ง”
หลินสวินเหลือบมองพวกชายวัยกลางคน “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
ชายวัยกลางคนถูกสายตาหลินสวินจ้องมองจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ขวัญหนีดีฝ่อ รีบร้อนกล่าวว่า “เรียนผู้อาวุโส หินแร่ในเขาผนึกดารานี้ล้วนเป็นของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยาง สาเหตุที่พวกเราลงมือแย่งชิง เป็นเพราะคนชั้นต่ำนี่คิดจะฮุบสมบัตินี้ไว้คนเดียว”
“พวกเจ้าก็คิดแย่งมาเป็นของตนไม่ใช่หรือ” หญิงสาวกล่าวเดือดดาล
หลินสวินก้มหน้าพิจารณาหินแร่สีเขียวในมือ เพียงพริบตาก็ระบุได้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหินแร่นี้คือแกนเทพวิญญาณเขียวซึ่งหาได้ยากยิ่ง มีประโยชน์ไม่อาจประเมินต่อการฝึกปราณระดับอมตะ
เมื่อมองพวกหญิงสาวกับชายวัยกลางคนอีกครั้ง แม้ว่าพลังปราณต่างกัน แต่ยังมีมรรควิถีระดับจักรพรรดิเท่านั้น ไม่แปลกที่จะมองของสิ่งนี้เป็นยอดสมบัติ ช่วงชิงกันราวกับเอาชีวิตเข้าแลก
แต่จะว่าไปตอนตัวเขายังมีพลังปราณระดับจักรพรรดิ เกรงว่าคงใจสั่นเพราะสมบัตินี้ไม่หยุดเช่นกัน
“หากข้าคืนหินแร่นี้ให้เจ้าของเดิม พวกเจ้าจะยอมหรือไม่” หลินสวินเล่นหินแร่สีเขียว สายตามองพวกชายวัยกลางคน
พวกชายวัยกลางคนรีบร้อนกล่าว “ล้วนแล้วแต่ผู้อาวุโสตัดสินใจ!”
แม้ว่ากลิ่นอายบนตัวหลินสวินจะราบเรียบ ทำให้พวกเขามองตื้นลึกไม่ออก แต่เมื่อถูกสายตาของหลินสวินกวาดมอง พวกเขาต่างรู้สึกว่าแทบหายใจไม่ออกราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง เหมือนมดปลวกเผชิญหน้ากับนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง!
“ดี ในเมื่อพวกเจ้ารับคำแล้ว ภายหน้าก็อย่าหาเรื่องแม่นางน้อยคนนี้อีก เข้าใจไหม” หลินสวินกล่าว
“เข้าใจขอรับ!” ชายวัยกลางคนมีหรือจะกล้าไม่ตกปากรับคำ หากถูกสายตาหลินสวินจับจ้องอีกพวกเขาคงคุกเข่าทันทีแน่
เวลานี้หญิงสาวอึ้งงันแล้ว ล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง เคราะห์สังหารคราหนึ่งถูกคลี่คลายด้วยคำพูดไม่กี่คำเช่นนี้หรือ
“เอาไปเถอะ”
หลินสวินมอบหินแร่สีเขียวให้
เขามองออกในปราดเดียว แม้ว่าหญิงสาวคนนี้ผมเผ้ารุงรัง เปื้อนฝุ่นโคลนเต็มตัว แต่ยังเยาว์วัยนัก ดูจากพลังชีวิตและแก่นกระดูกของนาง อย่างมากก็ไม่เกินสามสิบปี
ด้วยอายุเท่านี้กลับมีมรรควิถีระดับมกุฎจักรพรรดิด่านสาม หากอยู่ในน่านฟ้าอื่นคงเรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคชวนตะลึงยิ่งคนหนึ่งแล้ว
นี่ทำให้หลินสวินนึกถึงถังเจียงศิษย์ที่ตนรับไว้ขึ้นมาในชั่วขณะ แต่พูดเปรียบเทียบกันแล้ว โชคชะตาของถังเจียงยังดีกว่าหน่อย ถึงแจ้งมรรคระดับมกุฎจักรพรรดิได้ในเวลาอันสั้น
แต่หญิงสาวคนนี้…
เห็นชัดว่าสถานการณ์น่าอนาถนัก
“ขอบคุณผู้อาวุโส แต่… แต่ท่านช่วยชีวิตของข้า ข้าไม่อาจเก็บสมบัตินี้ไว้ได้อีก ท่านโปรดรับไว้เถิด ถือว่า… เฉียนเสวี่ยตอบแทนบุญคุณของท่าน”
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ โค้งคำนับกล่าว
หลินสวินอดแปลกใจไม่ได้ เขายิ้มกล่าว “ของสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์กับข้า เจ้าเอาไปเถอะ”
ขณะกล่าวหินแร่สีเขียวนั้นตกสู่มือหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า ‘เฉียนเสวี่ย’
“ผู้น้อยชื่อว่าชิงเฉียนเสวี่ย หากภายหน้าผู้น้อยรอดไปจากเขาผนึกดารานี้ได้ ย่อมตอบแทนบุญคุณของผู้อาวุโสในวันนี้”
ชิงเฉียนเสวี่ยกล่าวเสียงหนักแน่น
“ตกเป็นทาสมีแต่ตายสถานเดียว ปัญหาอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น ไหนเลยจะมีโอกาสจากไปอีก” กลับเห็นชายวัยกลางคนนั่นกล่าวทอดถอนใจ
คนอื่นล้วนเงียบไปอย่างอดไม่ได้
“พวกเจ้าทำผิดอะไร เหตุใดถึงถูกจับมาขุดแร่”
หลินสวินอดเอ่ยถามไม่ได้
ชิงเฉียนเสวี่ยเอ่ยสีหน้าเซื่องซึม “ด้วยบิดาข้าไม่ยอมส่งข้ามาเป็นบ่าวที่เผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยาง พวกเขาจึงสังหารบิดาข้า คนตระกูลชิงของข้าล้วนถูกจับตัวมาที่นี่ทั้งหมด”
พวกชายวัยกลางคนก็เอ่ยปาก ต่างบอกเหตุผลที่ถูกจับมา น้ำเสียงล้วนเจือแววโศกเศร้าและขมขื่น
เหตุผลที่ถูกจับตัวมาพวกนี้ทำให้หลินสวินเปิดโลกทัศน์เช่นกัน บ้างผูกพยาบาทกับทายาทของตระกูลหยางจึงถูกจับมา บ้างก็ถูกจับมาด้วยเรื่องขี้หมูขี้หมาบางอย่าง
หลินสวินอดรู้สึกยากจะเชื่ออยู่บ้างไม่ได้ “ตระกูลหยางเป็นเผ่าเทพนิรันดร์ ทำไมถึงเผด็จการเช่นนี้”
“เพราะเป็นเผ่าเทพนิรันดร์ ตระกูลหยางจึงกล้าไม่กลัวสิ่งใดเช่นนี้ ในน่านฟ้าที่เก้าตระกูลหยางยืนหยัดถึงตอนนี้มานานแล้ว ก็เหมือนเทพสูงส่งเหนือผู้อื่น ทำให้สรรพชีวิตนับหมื่นแสนได้แต่ยอมจำนน”
ชิงเฉียนเสวี่ยกล่าว “ตระกูลหยางผ่านช่วงชีวิตหลายหลากมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด คนในตระกูลมีมากมาย คนประเภทไหนก็ล้วนมี บางทีเหล่าบุคคลสำคัญนั้นอาจคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ค่าอย่างพวกเรา แต่พญายมชอบหาเรื่อง ผีตัวจ้อยย่อมเซ้าซี้ สุดท้ายก็มีพวกคนเลวใช้อำนาจตระกูลทำทุกอย่างตามต้องการ”
พวกชายวัยกลางคนต่างพยักหน้าไม่ว่างเว้น
“ทำไมยามพวกเจ้าพูดถึงเรื่องนี้กลับดูไม่แค้นตระกูลหยางเท่าไร”
หลินสวินรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง
“แค้น? ไม่กล้าหรอก”
ชิงเฉียนเสวี่ยส่ายหัว “ได้แต่โทษตัวเองว่าชีวิตรันทดที่ไปล่วงเกินตระกูลหยาง”
ช่วงเวลาที่ตระกูลหยางคงอยู่บนโลกเนิ่นนานเกินไป อิทธิพลยิ่งใหญ่หยั่งรากลงในใจของสิ่งมีชีวิตทั่วหล้าอยู่ก่อนแล้ว อย่าว่าแต่ไปเคียดแค้น แม้แต่ความคิดแก้แค้นยังไม่อาจมี
หลินสวินเห็นดังนี้แล้วพลันทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
มองเห็นจุดเล็กรับรู้ถึงภาพรวม ตระกูลหยางซึ่งมีฐานะเป็นเผ่าเทพนิรันดร์ ช่วงเวลาปกครองโลกนี้นานเกินไป ต่อให้ไปจับกุมสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มาเป็นทาส ผู้คนก็ยังไม่กล้าไปเคียดแค้น!
นี่เห็นได้ว่าไร้สาระนัก
แต่กลับเกิดขึ้นจริงๆ
ทั้งหลินสวินยังกล้ายืนยันว่าสิ่งที่ตนเห็นวันนี้ไม่ใช่กรณีเดียวแน่นอน ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดและทุกหนแห่งทั่วหล้านี้ สถานการณ์เช่นนี้อาจเปิดฉากไม่รู้กี่ครั้ง
ผู้คนอาจเคยชินกับโชคชะตาที่ถูกมองเป็นทาสเช่นนี้นานแล้ว!
หลินสวินอดนึกไม่ได้ เหล่าผู้แข็งแกร่งนอกน่านฟ้าที่เก้าล้วนมุ่งหวังมาฝึกปราณในน่านฟ้าที่เก้า หากพวกเขารู้เรื่องพวกนี้จะยอมเป็นบริวารใต้อาณัติเผ่าเทพนิรันดร์ ถูกมองเป็นทาสตามใจหรือไม่
“หากข้าจะช่วยพวกเจ้าออกไปจากที่นี่ พวกเจ้ายินดีหรือไม่”
หลินสวินพลันเอ่ยถาม
พวกชายวัยกลางคนสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด แต่ไม่นานก็ส่ายหัวขมขื่น “ขอบคุณผู้อาวุโสที่หวังดี จากไปก็คงถูกจับกลับมา ซ้ำถึงตอนนั้นคงรักษาชีวิตไม่รอด”
แม้แต่ความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ปฏิเสธ!
นี่ต้องหวาดกลัวเผ่าเทพนิรันดร์ถึงขั้นไหนจึงยอมจำนนเช่นนี้
หลินสวินเหลือบสายตามองชิงเฉียนเสวี่ยพลางกล่าว “เจ้าล่ะ”
ชิงเฉียนเสวี่ยเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นเงยหน้าขึ้นทันใด สายตามองหลินสวินแล้วกล่าว “หากผู้อาวุโสพาผู้น้อยออกไปจากที่นี่ได้ ต่อให้ภายหน้าประสบเคราะห์ข้าก็ยอม!”
บิดาของนางถูกฆ่าตายแล้ว คนในตระกูลล้วนตกเป็นทาสอยู่ที่นี่ ย่อมมีแต่ตายสถานเดียว
ทุกอย่างนี้กลับทำให้นางทุ่มสุดตัว
ถึงอย่างไรเป็นทาสอยู่ที่นี่ก็ต้องตาย ทำไมไม่ฮึดสู้เล่า
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
ฟุ่บ!
แสงมรรคไหลวนอาบไล้ทั่วร่างชิงเฉียนเสวี่ย เพียงชั่วขณะหนึ่งเศษฝุ่นโคลนทั้งตัวนางพลันหายไป รอยแส้ชุ่มเลือดชวนประหวั่นทั้งตัวนั้นหายลับ แม้แต่ร่างกายที่อ่อนแอยังเต็มไปด้วยพลังชีวิตเปี่ยมล้น
นางในตอนนี้นอกจากเสื้อผ้ามอมแมมแล้ว ก็เป็นยอดหญิงงามนัยน์ตากระจ่างฟันขาวคนหนึ่งชัดๆ รูปร่างหน้าตาพริ้มเพราเหมือนเด็กสาว
แค่ชั่วพริบตาทั้งตัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้ชิงเฉียนเสวี่ยอึ้งงันแล้ว
หัวใจนางเต้นรัวไม่เป็นส่ำ รู้ว่าผู้อาวุโสตรงหน้าคนนี้มีโอกาสสูงว่าเป็นยอดผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง!
พวกชายกลางคนเห็นดังนี้กลับไม่แยแส ถึงขั้นว่าสายตาที่มองชิงเฉียนเสวี่ยยังเจือแววซับซ้อนพิกล
คิดจริงหรือว่า… มีการช่วยเหลือจากผู้อาวุโสคนนี้แล้วจะรอดชีวิตจากไปได้
ที่นี่คือเขาผนึกดารา!
เป็นอาณาเขตของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยาง!
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดผู้ที่กล้าต่อต้านเผ่าเทพนิรันดร์บนโลกนี้ล้วนตายไปนานแล้ว!
พร้อมกันนี้เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งพลันดังมาจากทางมืดมิดที่ห่างไกล
พวกชายวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสีกล่าวว่า “ต้องเป็นเหล่าผู้คุ้มกันที่คอยลาดตระเวนแน่!”
ชิงเฉียนเสวี่ยใจกระตุกวูบ หนาวสั่นไปทั้งตัว ถ้าเหล่าผู้ลาดตระเวนตระกูลหยางพบว่าที่นี่ผิดปกติ พวกเขาล้วนอย่าหวังว่าจะรอดชีวิตจากไป!