เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เวลานี้ชิงเฉียนเสวี่ยเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบนัก สื่อจิตกล่าวอย่างรวดเร็ว ‘ผู้อาวุโส ท่านโปรดซ่อนตัวเถิด รอพวกเรารับมือเหล่าผู้คุ้มกันลาดตระเวนนี้แล้ว…’
กลับเห็นหลินสวินยิ้มพลางกล่าว “แค่พวกผู้คุ้มกันเท่านั้น ไม่ต้องกังวล”
ชิงเฉียนเสวี่ยอึ้งงัน
ด้วยคำพูดหลินสวินไม่ได้ปกปิดและไม่ได้สื่อจิต สำหรับผู้มีสัญชาตญาณฉับไวย่อมได้ยินชัดเจน!
จริงดังคาด ครู่ต่อมาก็มีเสียงเยียบเย็นดังมาจากอุโมงค์มืดมิดห่างไกล “ทาสชั้นต่ำคนไหนสบประมาทพวกเราที่นี่ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่ไหม!”
ที่มาพร้อมกับเสียงคือเงาร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวมา แต่ละคนล้วนแต่งกายสะดุดตา หว่างคิ้วเปี่ยมไอพลังดุร้ายไม่อำพรางแม้แต่น้อย
ผู้นำคือชายหน้าแข็งกร้าวเฉยชาคนหนึ่ง มีนัยน์ตาทองโดยกำเนิด แปลกประหลาดน่าพรั่นพรึง
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ชิงเฉียนเสวี่ยกับพวกชายวัยกลางคนต่างสิ้นหวัง
จวีหมาง!
หนึ่งในเก้าหัวหน้าผู้คุ้มกันซึ่งลาดตระเวนเขาผนึกดารา ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง เหี้ยมโหดอำมหิต ดุดันกระหายเลือด แค่ช่วงสิบปีนี้ทาสที่ตายด้วยมือเขาก็มีมากนับร้อย
สภาพการตายของแต่ละคนล้วนน่าอนาถหาใดเปรียบ
“หืม?”
เมื่อจวีหมางเห็นชิงเฉียนเสวี่ยที่บาดแผลฟื้นฟู หน้าตาสดใสก็อึ้งงันเล็กน้อย จากนั้นนัยน์ตาเป็นประกายกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะงามเช่นนี้”
เมื่อถูกนัยน์ตาสีทองของเขาจับจ้อง ชิงเฉียนเสวี่ยสั่นไปทั้งตัว
“เมื่อครู่ใครสบประมาทใต้เท้าจวีหมาง ก้าวออกมา!”
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่อยู่ข้างจวีหมางกล่าวเสียงขรึม แม้จะพูดเช่นนี้แต่นัยน์ตาเขาจับจ้องหลินสวินแล้ว
ด้วยหลินสวินสวมชุดประณีต ทั้งเป็นคนแปลกหน้า เมื่อก่อนไม่เคยเจอโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงถูกเขาสังเกตเห็นทันที
“พวกนี้ล้วนเป็นคนตระกูลหยางหรือ”
หลินสวินถาม
ชิงเฉียนเสวี่ยกัดฟัน กล่าวเหมือนไม่สนใจสิ่งใด “เรียนผู้อาวุโส พวกเขาล้วนเป็นทาสที่ถูกจับตัวมา แต่กลับมีใจขายชีวิตให้ตระกูลหยาง ถูกแต่งตั้งเป็นผู้คุ้มกันลาดตระเวน เรื่องที่ทำทุกวันก็คือตรวจสอบและข่มเหงพวกเรา หากจำนวนหินแร่ที่ขุดพบในแต่ละวันไม่เพียงพอก็จะถูกพวกเขากระทำการเหี้ยมโหด หลายปีนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนเท่าไรถูกพวกเขาฆ่าตาย”
พวกจวีหมางต่างแปลกใจยิ่ง คล้ายคิดไม่ถึงว่าชิงเฉียนเสวี่ยที่เป็นทาสเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกับกล้ากล่าวหาพวกเขาซึ่งหน้า
“คนชั้นต่ำ! เจ้ารนหาที่ตาย!”
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งพูดพลางหวดแส้ไปทางชิงเฉียนเสวี่ย เปล่งแสงมรรคอัคคีชวนประหวั่น
ปัง!
แส้ยังไม่ถึงตัวชิงเฉียนเสวี่ยก็ระเบิดออกกลางอากาศ
ต่อมาผู้คุ้มกันคนนั้นทรุดลงกับพื้น พลังขับเคลื่อนทั่วร่างถดถอยหายไปเหมือนลูกหนังปล่อยลม ถึงกับถูกทำลายปราณลงตรงนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินแค่มองคนผู้นี้ปราดหนึ่ง ไม่ได้ลงมือโดยสิ้นเชิง
เหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกใจจนอึ้งงันอย่างอดไม่ได้ หนาวเยือกไปทั้งตัว
“ไป!”
จวีหมางตอบสนองเร็วที่สุด สังเกตเห็นว่าไม่เข้าทีก็หันหลังหนี
แต่เมื่อขาของเขาเพิ่งก้าวไปก็ทรุดลงกับพื้นดังตึง กล้ามเนื้อและกระดูกทั้งตัวระเบิดแหลกทั้งหมด ลุกไม่ขึ้นเหมือนโคลนตมกองหนึ่ง
เขาหวีดร้องลั่น “พวกเจ้าจะก่อกบฏหรือ!? ที่นี่เป็นอาณาเขตของตระกูลหยาง พวกเจ้า…”
ไม่รอให้พูดจบหลินสวินยื่นมือออกไป จิตวิญญาณของจวีหมางถูกดึงออกมาสู่มือหลินสวิน
ความทรงจำทุกอย่างของจวีหมางถูกหลินสวินตรวจสอบทันที
ปัง!
เมื่อหลินสวินบดขยี้จิตวิญญาณของจวีหมางลวกๆ ยามมองคนอื่นในที่นั้น แต่ละคนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น สีหน้าล้วนเผยความตกตะลึงและหวาดกลัว
แม้แต่ชิงเฉียนเสวี่ยกับพวกชายวัยกลางคนยังถูกวิธีเผด็จการที่สำแดงออกมาโดยไม่ตั้งใจของหลินสวินทำให้ตื่นตระหนก
เสียงทึบหนักระลอกหนึ่งดังสนั่น ผู้ลาดตระเวนคนอื่นต่างคุกเข่าลงกับพื้น สีหน้าแตกตื่นกล่าวว่า “ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย!”
หลินสวินกลับไม่แม้แต่จะมองพวกเขา กล่าวว่า “แม่นางน้อย พวกเราไปกันเถอะ”
เขาทราบข่าวที่ตนต้องการรู้จากความทรงจำของจวีหมางแล้ว แน่นอนว่าไม่อยากหยุดพักในอุโมงค์มืดมนนี้อีก
“แต่…”
เมื่อชิงเฉียนเสวี่ยเพิ่งหมายจะพูดว่าควรจัดการเหล่าผู้คุ้มกันลาดตระเวนนั้นอย่างไร กลับเห็นว่าเมื่อหลินสวินก้าวเดิน เงาร่างของผู้คุ้มกันลาดตระเวนที่คุกเข่ากับพื้นนั้น แต่ละคนกลายเป็นเถ้าถ่านสลายหายไปโดยไร้สุ้มเสียง
นางอึ้งงันแล้ว รีบตามเงาร่างหลินสวินไป แต่สภาวะจิตกลับไม่อาจนิ่งสงบเนิ่นนาน
ผู้อาวุโสท่านนี้… มีมรรควิถีที่แข็งแกร่งเพียงใดกันแน่
กระทั่งเงาร่างของหลินสวินกับชิงเฉียนเสวี่ยหายไป พวกชายวัยกลางคนจึงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน สั่นสะท้านไปทั้งตัว
“สหายยุทธ์ พวกเราอ้อนวอนผู้อาวุโสคนนั้นให้พาพวกเราจากไปด้วยดีไหม” มีคนอดถามไม่ได้
“ใช่แล้ว จวีหมางนั่นมีพลังปราณระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่กลับถูกสังหารโดยไร้สุ้มเสียง ง่ายยิ่งกว่าบี้มดตัวหนึ่งให้ตาย จากมุมมองนี้อย่างน้อยผู้อาวุโสคนนั้นก็ต้องเป็นบุคคลที่ก้าวสู่มรรคาอมตะ หากมีเขาช่วยเหลือ พวกเราอาจหลุดพ้นจากที่นี่ได้จริงๆ”
คนอื่นก็พากันเอ่ยปาก
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำพลันสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด แต่สุดท้ายยังส่ายหัวอย่างหดหู่ “ทุกท่านอย่าลืมสิ ที่นี่คือเขาผนึกดารา เป็นอาณาเขตของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยาง! จากอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน ในโลกยอดนิรันดร์นี้ไม่มีผู้ต้านทานตระกูลหยางได้อย่างสิ้นเชิง!”
คำพูดเดียวเหมือนน้ำเย็นถังหนึ่งสาดลงบนหัว ทำให้คนอื่นต่างหนาวเยือกในใจ
เผ่าเทพนิรันดร์!
แค่สี่คำก็ทำให้ใครก็ตามสิ้นหวังแล้ว!
…
“ผู้อาวุโส พวกเรา… จะเดินออกไปเช่นนี้หรือ”
ในทางมืดมนชิงเฉียนเสวี่ยอดถามไม่ได้
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินเปิดเผย ไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อซ่อนตัวแม้แต่น้อย เหมือนไม่กลัวว่าจะถูกผู้คุ้มกันประจำเขาผนึกดารานี้พบตัวโดยสิ้นเชิง
“ไม่ต้องห่วง ต่อจากนี้ไม่ว่าเจออะไรเจ้าแค่คอยมองดูก็พอ”
หลินสวินยิ้มกล่าวง่ายๆ
ชิงเฉียนเสวี่ยมีหรือจะไม่กังวล
แต่หนทางต่อจากนั้น หลินสวินใช้การกระทำเป็นตัวบอกนางว่าเหตุใดถึงไม่ต้องเป็นห่วง
เมื่อผู้คุ้มกันลาดตระเวนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเพิ่งเจอเงาร่างของพวกเขาก็ล้มลงกับพื้นโดยไร้สุ้มเสียง ร่างกลายเป็นเถ้าถ่านซ่านสลาย
ไม่ว่าระดับปราณสูงหรือต่ำ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ทันส่งเสียงก็จิตสิ้นวิญญาณสลาย!
ชิงเฉียนเสวี่ยสังเกตเห็นอย่างชัดเจน หลินสวินไม่เคยลงมือโดยสิ้นเชิง เขาแค่เดินผ่อนคลายเช่นนั้น แต่หนทางข้างหน้าเขาศัตรูคนใดคิดขวางล้วนหายวับไปในพริบตา…
ภาพความตายเหล่านี้ไม่นองเลือดแม้แต่น้อย ทั้งไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด แต่กลับทำให้ชิงเฉียนเสวี่ยตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า
ในที่สุดพวกเขาก็ก้าวออกจากทางเหมืองจนมาถึงแผ่นดิน ผืนฟ้านิ่งสงบเปล่งประกายกว้างใหญ่ แสงอบอุ่นสาดส่องกลางฟ้าดิน ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ
แววตาชิงเฉียนเสวี่ยพลันเหม่อลอยอย่างอดไม่ได้
นางจำไม่ได้แล้วว่าไม่ได้เจอแสงแดดมานานเท่าไร นับตั้งแต่ถูกจับมาอยู่เขาผนึกดาราที่มืดมน หลายปีนี้นางขุดแร่ในทางเหมืองมืดมิดไร้แสงตะวันเหมือนหนูตัวหนึ่งมาตลอด ทั้งต้องระวังปราณสกปรกเปื้อนโดนตลอดเวลา คอยป้องกันการดักปล้นและช่วงชิงจากทาสคนอื่น…
จนปัจจุบันชิงเฉียนเสวี่ยไม่มีหวังว่าจะรอดออกมาจากเหมืองแล้ว
แต่ตอนนี้เวลานี้นางได้เจอแสงตะวันอีกครั้ง!
ความรู้สึกนั้นเหมือนออกจากนรกมืดมิดมาถึงโลกมนุษย์…
แต่ชิงเฉียนเสวี่ยยังไม่ทันได้สัมผัสถึง ใบหน้างามเปลี่ยนไปทันที
ใกล้ทางออกเหมืองนี้คือหุบเขามหึมาแห่งหนึ่ง สถานที่โดยรอบมีหออาคารมากมายเรียงรายเป็นระเบียบ
ที่นี่คือค่ายผู้คุ้มกันลาดตระเวน แต่ละค่ายล้วนมีผู้คุ้มกันมากนับพันประจำการ ทั้งเขาผนึกดาราค่ายแบบเดียวกันนี้มีมากถึงสิบสามค่าย!
หยางซั่วหงผู้อาวุโสขั้นดับเทพของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยางก็ควบคุมดูแลอยู่ในค่ายแรก
นอกจากหยางซั่วหงแล้ว ในค่ายอื่นต่างมีระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าคนหนึ่งดูแล
เวลานี้เมื่อชิงเฉียนเสวี่ยกับหลินสวินเดินออกมาจากทางเหมือง ก็ถูกผู้คุ้มกันลาดตระเวนมากมายในค่ายตรงหุบเขาสังเกตเห็นทันที เสียงตวาดระลอกหนึ่งดังตามมาติดๆ
“บังอาจ! ใครให้พวกเจ้าออกมาจากถ้ำเหมืองโดยพลการ”
“ไสหัวกลับไป!”
พร้อมกับเสียงนั้นผู้คุ้มกันลาดตระเวนสิบกว่าคนพุ่งมาทางนี้แล้ว
“ผู้อาวุโส พวกเรารีบหนีเร็ว!”
ชิงเฉียนเสวี่ยกล่าวร้อนรน นางไม่ห่วงว่าจะถูกผู้คุ้มกันลาดตระเวนพวกนี้ไล่ตาม แต่ห่วงว่าจะถูกระดับอมตะจากตระกูลหยางในค่ายแห่งนี้จับจ้อง
กลับเห็นหลินสวินตบบ่านางพลางกล่าว “ข้ายังมีเรื่องบางอย่างอยากรู้สักหน่อย อย่าตื่นตระหนก”
ขณะกล่าว…
ตูม!
เงาร่างผู้คุ้มกันลาดตระเวนสิบกว่าคนที่พุ่งมานั้นระเบิดกลางอากาศ กลายเป็นเถ้าถ่านลอยทั่วฟ้า
ภาพนี้ทำให้ในที่นั้นเงียบกริบ จากนั้นค่ายตรงหุบเขาทั้งหมดโกลาหลขึ้นมา ผู้คุ้มกันลาดตระเวนนับไม่ถ้วนล้วนตกตื่น พุ่งออกมาจากอาคารรอบหุบเขานั้นเหมือนกระแสน้ำ
ขณะเดียวกันเสียงตวาดต่ำลึกหนึ่งดังขึ้น
“ใครกล้าเหิมเกริมบนอาณาเขตตระกูลหยางของข้า”
ฟุ่บ!
เงาร่างกำยำอบอวลแสงเทพอมตะหนึ่งเคลื่อนผ่านอากาศ สวมชุดคลุมทอง หน้าตาหล่อเหลา เปล่งประกายเจิดจรัสเหมือนดวงตะวันบนฟากฟ้า
ชิงเฉียนเสวี่ยใจกระตุกวูบ ใบหน้างามซีดเผือด หยางเหวินฉี! นี่เป็นถึงระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าของเผ่าเทพนิรันดร์! บุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ทำให้ทาสคนใดก็ตามบนเขาผนึกดาราหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเอ่ยถึง ทั้งตื่นตระหนกสิ้นหวัง!
แต่เวลานี้กลับเห็นหลินสวินยิ้มไม่แยแสกล่าวว่า “ในที่สุดก็มีเจ้าตัวเล็กที่พอเข้าตาโผล่ออกมาแล้ว”
ขณะกล่าวเขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ตูม!
ผู้คุ้มกันลาดตระเวนที่พุ่งออกมาจากหุบเขาเหมือนกระแสน้ำ เวลานี้พลันตัวแข็งทื่อกันหมด จากนั้นก็แหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่อง
ขณะเดียวกันหลินสวินยื่นมือออกไปกลางอากาศ
หยางเหวินฉีที่ทำให้ชิงเฉียนเสวี่ยรู้สึกหวาดกลัวหาใดเปรียบซึ่งอยู่ไกลออกไปถูกจับมาเหมือนแมลงวันตัวหนึ่ง กลิ้งมาอยู่ตรงหน้าหลินสวินดังตึง!
เพียงพริบตาผู้คุ้มกันลาดตระเวนนับพันในหุบเขาตายอนาถ บุคคลสำคัญของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยางซึ่งดูแลที่นี่ก็ถูกกำราบอยู่ตรงหน้า!!
เหตุการณ์นี้ล้มล้างความเข้าใจของชิงเฉียนเสวี่ยอย่างสมบูรณ์ ทำให้สมองนางว่างเปล่าไปหมด ทั้งตัวอึ้งงันอยู่ตรงนั้น
ผู้อาวุโสคนนี้… ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้!?
เวลานี้หยางเหวินฉีสมองเบลอไปหมด หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ต่อให้ผ่าสมองออกมาก็คิดไม่ถึงว่าทำไมเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่เดินออกมาจากถ้ำเหมืองนั่นถึงน่ากลัวเช่นนี้
“เจ้าเป็นใคร ถึงขั้นกล้าลงมือกับข้า ไม่กลัวตระกูลหยางของข้ามาล้างแค้นหรือ” หยางเหวินฉีสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยปากเหี้ยมเกรียม
ปัง!
กายมรรคอมตะของเขาระเบิดออกเช่นกัน
หลินสวินดึงพลังจิตของเขาออกมาอย่างชำนาญ เริ่มทำการสืบค้นจิตวิญญาณ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมองคนผู้นี้ตรงๆ แน่นอนว่าคร้านจะพูดมากความกับอีกฝ่าย
หากคิดจะเข้าใจเรื่องราว วิธีซึ่งได้ผลที่สุดคือสืบค้นจิตวิญญาณโดยไม่ต้องสงสัย!