บทที่ 752 กองทัพใหญ่เข้าประชิด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 752 กองทัพใหญ่เข้าประชิด

‘เพล้ง!’

ไหสุราในมือหลี่หลิงซู่ตกแตกอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องตรงมายังอาซูหลัวอย่างตะลึงงัน พลางเอ่ยตะกุกตะกักว่า

“อา อาอะไรนะ”

อาซูหลัวทวนซ้ำโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“อาซูหลัว!”

เทพบุตรเอ่ยตะกุกตะกักว่า

“อะไร อะไรซูหลัวนะ”

อาซูหลัวตอบอย่างอดทนว่า

“อาซูหลัว!”

เทพบุตรกลืนน้ำลาย

“อาอะไรหลัวนะ”

อาซูหลัวชี้ปลายนิ้วไปที่หว่างคิ้วแล้วพลันส่งพลัง สีน้ำมันเหลืองทองว่ายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ทำให้เขากลายเป็นรูปปั้นสีทองเข้ม

ขณะเดียวกัน ก็มีเสียง ‘ฉ่า’ ที่หลังศีรษะ แล้ววงแหวนเพลิงก็ลุกเป็นไฟ อุณหภูมิสูงขับไล่ความหนาวเหน็บและทำให้บริเวณโดยรอบเข้าสู่กลางฤดูร้อนอันแผดเผา

‘เพล้ง…’

ไหสุราในมือฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจิน และไต้ซือเหิงหย่วนตกพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยพร้อมเพรียง

การแสดงออกของเขาเหมือนกันทุกประการกับเทพบุตรเมื่อครู่ ดวงตาทั้งคู่จ้องตรงมายังร่างสีทองของอาซูหลัวในตอนนี้ด้วยความตะลึงงัน

บ้าไปแล้ว หมายเลขแปดคืออาซูหลัวรึ! วชิระระดับสองควบระดับสามของสำนักพุทธ อาซูหลัวผู้บำเพ็ญทั้งวิชาฉานและวิชายุทธ์น่ะรึ! สมองของฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียงอื้ออึง และนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ตนทดสอบระดับของอาซูหลัวหลายต่อหลายครั้ง ได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างเด่นชัด ใบหน้าของพวกคงแก่เรียนร้อนฉ่าดั่งไฟเผา

อา อาซูหลัวรึ บุตรชายของราชันอสูร หนึ่งในสมาชิกหลักของตระกูลอันวุ่นวาย ข้า ข้ากับหลี่หลิงซู่หัวเราะเยาะเขาต่อหน้าอาซูหลัว ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย…จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วหล้ารู้สึกเพียงว่า เวลานี้ชื่อเสียงของตนป่นปี้แล้ว

รู้สึกอับอายขายหน้าจะแทบจะลงไปกลิ้งทั่วผืนดิน

‘ตุบ!’

เข่าทั้งคู่ของหลี่หลิงซู่อ่อนยวบและทรุดลงนั่งกับพื้น

“เป็นอะไรไปหรือ” อาซูหลัวเอ่ยถามอย่างเห็นอกเห็นใจ

“ไม่ ไม่เป็นไร…หมายเลขแปด ท่านยัง ยังซ่อนคมอยู่จริงๆ สินะ”

หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าตนในตอนนี้ได้เสาะพบสัจธรรมของการตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้วในที่สุด หากข้าตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้วก็จะรับมือได้อย่างใจเย็น

อาซูหลัวไล่กวาดมองเทพบุตรหลี่หลิงซู่ เทพธิดาหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นด้วยแววตาประดับรอยยิ้ม แล้วยิ้มพลางว่า

“ความตลกของข้าทำให้ทุกท่านขบขันแล้ว”

ภาพตรงหน้าพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด

หลี่เมี่ยวเจินหน้าแดงก่ำ นางหันหน้าหนีด้วยความกระดากอายพร้อมกับแสร้งมองทิวทัศน์โดยรอบ

ฉู่หยวนเจิ่นก้มหน้าและใช้เท้าขุดดินโดยไม่รู้ตัว

หลี่หลิงซู่มุมปากกระตุก บังคับตัวเองให้ยิ้มเล็กน้อยอย่างกระอักกระอ่วนโดยไม่ให้เสียมารยาท

น่าอายนัก น่าอับอายเกินไปแล้ว…ทั้งสามร้องคำรามในใจ ทว่าจิตเดิมได้กลิ้งเกลือกไปทั่วพื้นแล้ว

เคราะห์ดีที่อาตมาไม่พูดจาส่งเดช…ไต้ซือเหิงหย่วนมองพวกเขาด้วยความเวทนา

นักบวชเต๋าจินเหลียนดื่มเหล้าโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ท่าทีราวกับไม่ใช่เรื่องของตน

ฮ่าๆๆๆ ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกินแล้ว…สวี่ชีอันเกือบเอื้อมมือมาปิดปาก เขาอาศัยพลังสลายแรงเพื่อลบเลือนมุมปากและพวงแก้มที่ยกนูนอย่างแข็งขัน

อาซูหลัวมองการรวมตัวอย่างไร้สุ้มเสียงของเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินซึ่งตกอยู่ในสภาวะเก้อกระดากจนพูดไม่ออก ในใจพลันรู้สึกอิ่มเอิบ

ท่ามกลางบรรยากาศเยือกแข็ง นักบวชเต๋าจินเหลียนจึงส่งเสียงกระแอม

“อันที่จริงกำลังหลักในปฏิบัติการล้อมสังหารเฮยเหลียนครั้งนี้ก็คืออาซูหลัว พวกเรามาทบทวนแผนกันอีกครั้งเถอะ”

ฟู่…พวกหลี่เมี่ยวเจินสามคนถอนหายใจพร้อมกันด้วยความโล่งอก ฉู่หยวนเจิ่นพลันเอ่ยขึ้นว่า

“นิกายปฐพีย้ายแท่นบูชาหลักไปชิงโจว หากพวกเราคิดสังหารเฮยเหลียนในเขตอิทธิพลของชิงโจวก็ยากสักหน่อย”

เพื่อคลี่คลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่ หลี่เมี่ยวเจินจึงเอ่ยอย่างแข็งขัน

“ก็ต้องดูว่าสวี่หนิงเยี่ยนจะรั้งสวี่ผิงเฟิงและพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้หรือไม่”

สวี่ชีอันจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วให้คำตอบยืนยัน

“ข้ามีวิธีรั้งสวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่ แต่พวกท่านต้องทำเวลาและรับรองว่าจะจัดการเฮยเหลียนให้สำเร็จในหนึ่งเค่อ”

‘สังหารผู้แข็งแกร่งระดับสองในหนึ่งเค่อ นี่มันยากเกินไปกระมัง…’ หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ เกิดความคิดแวบขึ้นในหัว หากได้ยินอาซูหลัวเอ่ยว่า

“ไม่มีปัญหา”

ไม่มีปัญหา…พวกฉู่หยวนเจิ่นไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว

แผนการคร่าวๆ ได้พูดคุยผ่านเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างละเอียดแล้ว ครั้งนี้เป็นเพียงการทบทวนอย่างง่ายๆ จากนั้นพรรคฟ้าดินก็แยกย้ายด้วยความรวดเร็ว

นอกจากสวี่ชีอันแล้ว คนอื่นๆ จะลอบเข้าชิงโจวคืนนี้ เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยและไม่ถูกสวี่ผิงเฟิงมองออก หยางเชียนฮ่วนจึงได้นำวิชาอำพรางลมหายใจมาใช้เป็นพิเศษ พร้อมกันนั้นสวี่ชีอันก็ได้ใช้วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนประกันความปลอดภัยให้อีกขั้น

ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่หลิงซู่ลอยตัวเหาะไปบนดาบ โดยตั้งใจให้อาซูหลัวและนักบวชเต๋าจินเหลียนรั้งท้าย

หลี่หลิงซู่ส่งกระแสจิตว่า

“จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง…”

ฉู่หยวนเจิ่นส่งกระแสจิตตอบกลับ

“หากหมายเลขแปดคืออาซูหลัว ตะปูตอกวิญญาณบนตัวสวี่หนิงเยี่ยนก็ถอนออกได้แล้วน่ะสิ ไม่สิ มันถูกถอนออกไปแล้วต่างหาก มิเช่นนั้นเขาคงไม่มั่นใจถึงเพียงนี้หรอก”

หลี่เมี่ยวเจินสรุปด้วยความเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“คนแซ่สวี่กำลังหลอกพวกเรา”

สุดท้ายก็เป็นการจ่ายค่าตอบแทนที่ผิดพลาด

ฉู่หยวนเจิ่นส่งกระแสจิตเงียบๆ

“นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เป็น…”

เรื่องนี้ยังไม่จบ จะต้องกลับมาแก้แค้นแน่…ทั้งสามลอบสาบานในใจ

สวินโจวเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเขตชายแดนยงโจว มีคลองขุดทางตอนใต้ของเมืองซึ่งเชื่อมต่อเมืองหลวงทางตอนเหนือกับอวี่โจวทางตอนใต้

และนี่ทำให้สวินโจวกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งที่สำคัญของยงโจว ทั้งกลายเป็นสมรภูมิระหว่างสองกองทัพเช่นกัน

หลังจากถอยไปตั้งรับที่ยงโจวแล้ว หยางกงก็เข้ายึดเมืองการค้าใหญ่แห่งนี้ รวมถึงเขตอำเภอต่างๆ โดยรอบเพื่อสร้างแนวป้องกันที่ขานรับซึ่งกันและกัน

ณ ที่ทำการปกครองข้าหลวงสวินโจว

ในห้องโถง หยางกงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ พลางมองขุนนางที่เก้าอี้รับรองแล้วเอ่ยว่า

“แจ้งสมุหเทศาภิบาลเหยาว่า หลังจากจัดการธุระของสวินโจวเสร็จแล้ว ข้าจะไปเมืองยงโจว”

ขุนนางผู้นั้นประหนึ่งยกภูเขาออกจากอก จึงยืนขึ้นโค้งคำนับ

“ดี เช่นนั้นผู้น้อยขอตัวก่อน”

เมื่อเขาไป หลี่มู่ไป๋ก็เข้ามาพร้อมกับลูบเคราแพะแล้วยิ้มพลางว่า

“ตาเฒ่าหนังเหนียวเหยาหงผู้นี้ช่างมีความสามารถในการปรับหางเสือตามทิศทางลมเป็นเลิศเสียจริง

หยางกงยกชาจิบอึกหนึ่ง

“ขึ้นตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลได้ มีผู้ใดโง่เง่ากันเล่า สถานการณ์โดยรวมทางด้านเมืองหลวงสงบแล้ว องค์หญิงใหญ่ ไม่สิ ฝ่าบาทและฆ้องเงินสวี่ล้วนเป็นพวกแนวคิดฝักใฝ่สงคราม ยามนี้ผู้ใดกล้าสร้างสันติภาพ ผู้นั้นได้หมวกขุนนางปลิวน่ะสิ

“หนังสือเจรจาสงบศึกของทัพกบฏอวิ๋นโจว เหยาหงเป็นผู้ทูลเกล้าขึ้นไป เขาก็กลัวเช่นกันว่าฝ่าบาทและฆ้องเงินสวี่จะคิดบัญชี”

อันที่จริง ท่ามกลางความวุ่นวายในการเปลี่ยนแปลงอำนาจของจักรพรรดิในเมืองหลวง ทางด้านยงโจวเองก็มีการต่อสู้เพื่อสิทธิในการเจรจาเช่นกัน

การแย่งชิงอำนาจระหว่างหยางกงสมุหเทศาภิบาลชิงโจวคนก่อนกับเหยาหงสมุหเทศาภิบาลยงโจว

หยางกงมีแนวคิดฝักใฝ่สงครามอย่างแน่วแน่ ส่วนเหยาหงเป็นฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเป็นกลุ่มแนวคิดสันติภาพ

ความขัดแย้งในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ทำให้หยางกงมิอาจวางใจมอบกองหลังให้เหยาหง ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งเขาอาจจะตัดเสบียงและกำลังเสริมเจ้า ในฐานะปัญญาชนย่อมรู้ดีว่าตัวอย่างเช่นนี้หาใช่เรื่องแปลกใหม่ในตำราประวัติศาสตร์

เมื่อการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายมาถึงจุดรุนแรงที่สุด เหยาหงจึงตัดไฟแต่ต้นลมโดยการแทงเรื่องเจรจาสงบศึกของอวิ๋นโจวมายังเมืองหลวง

หลังจากนั้น หย่งซิ่งและเหล่าขุนนางก็ตกลงเจรจาสงบศึก หยางกงกลับสวินโจวด้วยโทสะแล้วเริ่มงานป้องกันเมือง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีของทัพกบฏอวิ๋นโจวที่จะฉีกสนธิสัญญาในไม่ช้าก็เร็ว

โดยไม่คาดคิดว่า องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งจะร่วมมือกับสวี่ชีอันก่อรัฐประหาร และขับไล่หย่งซิ่งลงจากบัลลังก์

หลังข่าวถูกส่งกลับมายังยงโจว เหยาหงก็ยอมถอยทันที และส่งคนมาเชิญหยางกงไปที่เมืองยงโจวเพื่อวางกลยุทธ์

“อาการบาดเจ็บของฉือจิ้วเป็นอย่างไรบ้าง”

หยางกงเอ่ยถาม

“ฟื้นตัวได้ไม่เลว คงไม่ทิ้งโรคเรื้อรังไว้” หลี่มู่ไป๋เอ่ย

หยางกงได้ยินดังนั้นก็พลันโล่งใจ

หลังจากถูกยอดฝีมือขั้นสี่แทงและยังรักษาชีวิตไว้ได้ นอกจากสวี่ฉือจิ้วเองจะดวงแข็งแล้ว ยังเป็นเพราะมีพี่ใหญ่ที่ดีด้วย

บนตัวสวี่ฉือจิ้วมีเกราะอ่อนซึ่งฟันแทงไม่เข้าอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่สำนักโหราจารย์สร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัว และอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนี้ก็สกัดกั้นการโจมตีอย่างรุนแรงของจอมยุทธ์ขั้นสี่ได้อย่างประจวบเหมาะ

หาไม่แล้วเกรงว่าผู้กรุณาขั้นเจ็ดผู้ต่ำต้อยคงสิ้นชีพคาที่โดยไม่มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือด้วยซ้ำ

ด้วยตำแหน่งและสถานะของสวี่ฉือจิ้วแล้ว มีอาจครอบครองอาวุธเวทมนตร์ป้องกันตัวในระดับนี้ได้

นอกจากเป็นอภินันทนาการที่มอบโดยสวี่ชีอันแล้ว ก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีก

ในเวลานั้นเอง นายทหารฝ่ายเสนาธิการผู้หนึ่งก็เข้าห้องโถงด้านในมาอย่างรีบร้อนแล้วเอ่ยว่า

“หยางกง หน่วยสอดแนมมารายงานว่า ทัพกบฏอวิ๋นโจวรวมตัวกันอยู่ชายแดน และกำลังมุ่งหน้ามาสวินโจว”

หยางกงและหลี่มู่ไป๋หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

“ส่งกองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่ไปสืบอีกครั้ง…ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เตรียมป้องกันเมืองจากข้าศึก…ให้ทหารม้าสามพันนายของหน่วยจู่โจมออกนอกเมืองไปหาที่กบดานและรอคำสั่ง…”

ไม่นานนัก ด้านบนของกำแพงเมืองสวินโจวก็ลั่นกลอง ทหารอารักขารวมตัวกันอย่างรวดเร็วด้านบนกำแพงเมือง ทหารอาสาเคลื่อนย้ายอาวุธในการป้องกันเมือง

ในค่ายทหารกองประจำการ สวี่ซินเหนียนซึ่งได้ยินเสียงกลองเดินออกมาจากห้องแล้วมองไปยังทิศทางของยอดกำแพงเมือง

ใบหน้าของเขาซีดเซียวเล็กน้อยประหนึ่งเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก

และนี่ทำให้สวี่เอ้อร์หลางผู้มีฟันขาวริมฝีปากแดงทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความหล่อเหลาดูน่าสงสารมากขึ้นอีกหลายส่วน ชนิดที่ทำให้หัวใจของสตรีอ่อนระทวยได้

ในห้องข้างๆ เหมียวโหย่วฟางและโม่ซางซึ่งกำลังเดินหมากก็เดินออกมาเช่นกัน

โม่ซางก่นด่าด้วยภาษาซินเจียงตอนใต้ จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ภาษาราชการของที่ราบลุ่มภาคกลาง

“บรรพบุรุษมันเถอะ ทัพอวิ๋นโจวบุกมาอีกแล้วรึ”

สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วมุ่น “จำนวนคนของทัพกบฏอวิ๋นโจวมีจำกัด อยากจะเข้าใจชิงโจวทั้งหมดเพื่อความมั่นคงของแนวหลังนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืนหรอก”

และเมื่อแนวหลังไม่มั่นคงก็จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายตอนทำสงคราม

ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ไม่น่าจะเข้าโจมตียงโจวเร็วถึงเพียงนี้

ทั้งสามออกจากค่ายทหารทันที แล้วปีนขึ้นกำแพงเมืองและเตรียมพร้อมรอข้าศึกพร้อมกับทหารคนอื่นๆ

ดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างช้าๆ เคลื่อนจากทิศตะวันออกสู่กลางกระหม่อม ในที่สุด เหล่าทหารอารักขาซึ่งเฝ้ามองจากยอดกำแพงเมืองก็ประจักษ์กับกองทัพใหญ่ดำทะมึนปรากฏที่ปลายขอบฟ้า

หอกขวานดาษดื่นดั่งผืนป่า ธงศึกโบกสะบัดอย่างดุดัน

“นี่ นี่จะสู้ยิบตากับพวกเราเลยรึ” เหมียวโหย่วฟางหน้าเปลี่ยนสี

กองทัพซึ่งจัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบแต่ละริ้วขบวนยาตราเข้ามาช้าๆ ด้วยพลังอันแข็งแกร่ง จำนวนคนทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าห้าหมื่น

กำลังหลักของทัพอวิ๋นโจวอยู่ที่นี่แล้ว

ท่าทีนี้แสดงชัดเจนว่าต้องการชนะสวินโจวในคราเดียว

ทหารอารักขาเหนือกำแพงเมืองครั่นคร้ามขึ้นมาบ้างแล้ว

ทหารอารักขาแต่ละนายกระชับอาวุธแน่นพลางลอบกลืนน้ำลาย ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

สีหน้าของพลปืนใหญ่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ร่างกายแข็งทื่อราวกับรูปปั้น

ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะกลัว เมื่อเทียบกับชาวบ้านในเมืองหลวงรวมถึงสถานที่ต่างๆ แล้ว พวกเขาซึ่งเป็นทหารที่ล่าถอยจากชิงโจวมายังยงโจวจึงเข้าใจดีถึงความน่ากลัวของทัพอวิ๋นโจว

ทัพกบฏผู้หาญกล้าเกรียงไกรยังอยู่ในแนวถัดไป และความน่ากลัวที่แท้จริงก็คือผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ซึ่งอยู่ในกองทัพกบฏ

ทหารสะเทือนโลกาซึ่งทลายกำแพงเมืองตงหลิงรวมถึงผู้แข็งแกร่งอันน่าพรั่นพรึงที่สังหารท่านโหราจารย์…บุคคลเสมือนเทพเซียนเหล่านี้ อันที่จริงพวกเขาตีเสมอไหว

ในทางกลับกัน สวินโจวไม่มีผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์แม้แต่คนเดียว

กองทัพอวิ๋นโจวหยุดลงช้าๆ นอกเขตระยะปืนใหญ่จากเหนือกำแพงเมือง

จากนั้น พลทหารม้านายหนึ่งก็ออกจากแถวแล้วควบม้ามาทางประตูเมือง

“จีเสวียน…”

เหมียวโหย่วฟางมองทหารม้าที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นายนั้นพลางเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟัน

………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท