บทที่ 752 กองทัพใหญ่เข้าประชิด
‘เพล้ง!’
ไหสุราในมือหลี่หลิงซู่ตกแตกอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องตรงมายังอาซูหลัวอย่างตะลึงงัน พลางเอ่ยตะกุกตะกักว่า
“อา อาอะไรนะ”
อาซูหลัวทวนซ้ำโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“อาซูหลัว!”
เทพบุตรเอ่ยตะกุกตะกักว่า
“อะไร อะไรซูหลัวนะ”
อาซูหลัวตอบอย่างอดทนว่า
“อาซูหลัว!”
เทพบุตรกลืนน้ำลาย
“อาอะไรหลัวนะ”
อาซูหลัวชี้ปลายนิ้วไปที่หว่างคิ้วแล้วพลันส่งพลัง สีน้ำมันเหลืองทองว่ายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ทำให้เขากลายเป็นรูปปั้นสีทองเข้ม
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียง ‘ฉ่า’ ที่หลังศีรษะ แล้ววงแหวนเพลิงก็ลุกเป็นไฟ อุณหภูมิสูงขับไล่ความหนาวเหน็บและทำให้บริเวณโดยรอบเข้าสู่กลางฤดูร้อนอันแผดเผา
‘เพล้ง…’
ไหสุราในมือฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจิน และไต้ซือเหิงหย่วนตกพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยพร้อมเพรียง
การแสดงออกของเขาเหมือนกันทุกประการกับเทพบุตรเมื่อครู่ ดวงตาทั้งคู่จ้องตรงมายังร่างสีทองของอาซูหลัวในตอนนี้ด้วยความตะลึงงัน
บ้าไปแล้ว หมายเลขแปดคืออาซูหลัวรึ! วชิระระดับสองควบระดับสามของสำนักพุทธ อาซูหลัวผู้บำเพ็ญทั้งวิชาฉานและวิชายุทธ์น่ะรึ! สมองของฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียงอื้ออึง และนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ตนทดสอบระดับของอาซูหลัวหลายต่อหลายครั้ง ได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างเด่นชัด ใบหน้าของพวกคงแก่เรียนร้อนฉ่าดั่งไฟเผา
อา อาซูหลัวรึ บุตรชายของราชันอสูร หนึ่งในสมาชิกหลักของตระกูลอันวุ่นวาย ข้า ข้ากับหลี่หลิงซู่หัวเราะเยาะเขาต่อหน้าอาซูหลัว ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย…จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วหล้ารู้สึกเพียงว่า เวลานี้ชื่อเสียงของตนป่นปี้แล้ว
รู้สึกอับอายขายหน้าจะแทบจะลงไปกลิ้งทั่วผืนดิน
‘ตุบ!’
เข่าทั้งคู่ของหลี่หลิงซู่อ่อนยวบและทรุดลงนั่งกับพื้น
“เป็นอะไรไปหรือ” อาซูหลัวเอ่ยถามอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ไม่ ไม่เป็นไร…หมายเลขแปด ท่านยัง ยังซ่อนคมอยู่จริงๆ สินะ”
หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าตนในตอนนี้ได้เสาะพบสัจธรรมของการตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้วในที่สุด หากข้าตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้วก็จะรับมือได้อย่างใจเย็น
อาซูหลัวไล่กวาดมองเทพบุตรหลี่หลิงซู่ เทพธิดาหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นด้วยแววตาประดับรอยยิ้ม แล้วยิ้มพลางว่า
“ความตลกของข้าทำให้ทุกท่านขบขันแล้ว”
ภาพตรงหน้าพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด
หลี่เมี่ยวเจินหน้าแดงก่ำ นางหันหน้าหนีด้วยความกระดากอายพร้อมกับแสร้งมองทิวทัศน์โดยรอบ
ฉู่หยวนเจิ่นก้มหน้าและใช้เท้าขุดดินโดยไม่รู้ตัว
หลี่หลิงซู่มุมปากกระตุก บังคับตัวเองให้ยิ้มเล็กน้อยอย่างกระอักกระอ่วนโดยไม่ให้เสียมารยาท
น่าอายนัก น่าอับอายเกินไปแล้ว…ทั้งสามร้องคำรามในใจ ทว่าจิตเดิมได้กลิ้งเกลือกไปทั่วพื้นแล้ว
เคราะห์ดีที่อาตมาไม่พูดจาส่งเดช…ไต้ซือเหิงหย่วนมองพวกเขาด้วยความเวทนา
นักบวชเต๋าจินเหลียนดื่มเหล้าโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ท่าทีราวกับไม่ใช่เรื่องของตน
ฮ่าๆๆๆ ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกินแล้ว…สวี่ชีอันเกือบเอื้อมมือมาปิดปาก เขาอาศัยพลังสลายแรงเพื่อลบเลือนมุมปากและพวงแก้มที่ยกนูนอย่างแข็งขัน
อาซูหลัวมองการรวมตัวอย่างไร้สุ้มเสียงของเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินซึ่งตกอยู่ในสภาวะเก้อกระดากจนพูดไม่ออก ในใจพลันรู้สึกอิ่มเอิบ
ท่ามกลางบรรยากาศเยือกแข็ง นักบวชเต๋าจินเหลียนจึงส่งเสียงกระแอม
“อันที่จริงกำลังหลักในปฏิบัติการล้อมสังหารเฮยเหลียนครั้งนี้ก็คืออาซูหลัว พวกเรามาทบทวนแผนกันอีกครั้งเถอะ”
ฟู่…พวกหลี่เมี่ยวเจินสามคนถอนหายใจพร้อมกันด้วยความโล่งอก ฉู่หยวนเจิ่นพลันเอ่ยขึ้นว่า
“นิกายปฐพีย้ายแท่นบูชาหลักไปชิงโจว หากพวกเราคิดสังหารเฮยเหลียนในเขตอิทธิพลของชิงโจวก็ยากสักหน่อย”
เพื่อคลี่คลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่ หลี่เมี่ยวเจินจึงเอ่ยอย่างแข็งขัน
“ก็ต้องดูว่าสวี่หนิงเยี่ยนจะรั้งสวี่ผิงเฟิงและพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้หรือไม่”
สวี่ชีอันจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วให้คำตอบยืนยัน
“ข้ามีวิธีรั้งสวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่ แต่พวกท่านต้องทำเวลาและรับรองว่าจะจัดการเฮยเหลียนให้สำเร็จในหนึ่งเค่อ”
‘สังหารผู้แข็งแกร่งระดับสองในหนึ่งเค่อ นี่มันยากเกินไปกระมัง…’ หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ เกิดความคิดแวบขึ้นในหัว หากได้ยินอาซูหลัวเอ่ยว่า
“ไม่มีปัญหา”
ไม่มีปัญหา…พวกฉู่หยวนเจิ่นไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว
แผนการคร่าวๆ ได้พูดคุยผ่านเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างละเอียดแล้ว ครั้งนี้เป็นเพียงการทบทวนอย่างง่ายๆ จากนั้นพรรคฟ้าดินก็แยกย้ายด้วยความรวดเร็ว
นอกจากสวี่ชีอันแล้ว คนอื่นๆ จะลอบเข้าชิงโจวคืนนี้ เพื่อเป็นการรับรองความปลอดภัยและไม่ถูกสวี่ผิงเฟิงมองออก หยางเชียนฮ่วนจึงได้นำวิชาอำพรางลมหายใจมาใช้เป็นพิเศษ พร้อมกันนั้นสวี่ชีอันก็ได้ใช้วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนประกันความปลอดภัยให้อีกขั้น
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่หลิงซู่ลอยตัวเหาะไปบนดาบ โดยตั้งใจให้อาซูหลัวและนักบวชเต๋าจินเหลียนรั้งท้าย
หลี่หลิงซู่ส่งกระแสจิตว่า
“จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง…”
ฉู่หยวนเจิ่นส่งกระแสจิตตอบกลับ
“หากหมายเลขแปดคืออาซูหลัว ตะปูตอกวิญญาณบนตัวสวี่หนิงเยี่ยนก็ถอนออกได้แล้วน่ะสิ ไม่สิ มันถูกถอนออกไปแล้วต่างหาก มิเช่นนั้นเขาคงไม่มั่นใจถึงเพียงนี้หรอก”
หลี่เมี่ยวเจินสรุปด้วยความเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“คนแซ่สวี่กำลังหลอกพวกเรา”
สุดท้ายก็เป็นการจ่ายค่าตอบแทนที่ผิดพลาด
ฉู่หยวนเจิ่นส่งกระแสจิตเงียบๆ
“นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เป็น…”
เรื่องนี้ยังไม่จบ จะต้องกลับมาแก้แค้นแน่…ทั้งสามลอบสาบานในใจ
…
สวินโจวเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเขตชายแดนยงโจว มีคลองขุดทางตอนใต้ของเมืองซึ่งเชื่อมต่อเมืองหลวงทางตอนเหนือกับอวี่โจวทางตอนใต้
และนี่ทำให้สวินโจวกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งที่สำคัญของยงโจว ทั้งกลายเป็นสมรภูมิระหว่างสองกองทัพเช่นกัน
หลังจากถอยไปตั้งรับที่ยงโจวแล้ว หยางกงก็เข้ายึดเมืองการค้าใหญ่แห่งนี้ รวมถึงเขตอำเภอต่างๆ โดยรอบเพื่อสร้างแนวป้องกันที่ขานรับซึ่งกันและกัน
ณ ที่ทำการปกครองข้าหลวงสวินโจว
ในห้องโถง หยางกงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ พลางมองขุนนางที่เก้าอี้รับรองแล้วเอ่ยว่า
“แจ้งสมุหเทศาภิบาลเหยาว่า หลังจากจัดการธุระของสวินโจวเสร็จแล้ว ข้าจะไปเมืองยงโจว”
ขุนนางผู้นั้นประหนึ่งยกภูเขาออกจากอก จึงยืนขึ้นโค้งคำนับ
“ดี เช่นนั้นผู้น้อยขอตัวก่อน”
เมื่อเขาไป หลี่มู่ไป๋ก็เข้ามาพร้อมกับลูบเคราแพะแล้วยิ้มพลางว่า
“ตาเฒ่าหนังเหนียวเหยาหงผู้นี้ช่างมีความสามารถในการปรับหางเสือตามทิศทางลมเป็นเลิศเสียจริง
หยางกงยกชาจิบอึกหนึ่ง
“ขึ้นตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลได้ มีผู้ใดโง่เง่ากันเล่า สถานการณ์โดยรวมทางด้านเมืองหลวงสงบแล้ว องค์หญิงใหญ่ ไม่สิ ฝ่าบาทและฆ้องเงินสวี่ล้วนเป็นพวกแนวคิดฝักใฝ่สงคราม ยามนี้ผู้ใดกล้าสร้างสันติภาพ ผู้นั้นได้หมวกขุนนางปลิวน่ะสิ
“หนังสือเจรจาสงบศึกของทัพกบฏอวิ๋นโจว เหยาหงเป็นผู้ทูลเกล้าขึ้นไป เขาก็กลัวเช่นกันว่าฝ่าบาทและฆ้องเงินสวี่จะคิดบัญชี”
อันที่จริง ท่ามกลางความวุ่นวายในการเปลี่ยนแปลงอำนาจของจักรพรรดิในเมืองหลวง ทางด้านยงโจวเองก็มีการต่อสู้เพื่อสิทธิในการเจรจาเช่นกัน
การแย่งชิงอำนาจระหว่างหยางกงสมุหเทศาภิบาลชิงโจวคนก่อนกับเหยาหงสมุหเทศาภิบาลยงโจว
หยางกงมีแนวคิดฝักใฝ่สงครามอย่างแน่วแน่ ส่วนเหยาหงเป็นฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเป็นกลุ่มแนวคิดสันติภาพ
ความขัดแย้งในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ทำให้หยางกงมิอาจวางใจมอบกองหลังให้เหยาหง ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งเขาอาจจะตัดเสบียงและกำลังเสริมเจ้า ในฐานะปัญญาชนย่อมรู้ดีว่าตัวอย่างเช่นนี้หาใช่เรื่องแปลกใหม่ในตำราประวัติศาสตร์
เมื่อการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายมาถึงจุดรุนแรงที่สุด เหยาหงจึงตัดไฟแต่ต้นลมโดยการแทงเรื่องเจรจาสงบศึกของอวิ๋นโจวมายังเมืองหลวง
หลังจากนั้น หย่งซิ่งและเหล่าขุนนางก็ตกลงเจรจาสงบศึก หยางกงกลับสวินโจวด้วยโทสะแล้วเริ่มงานป้องกันเมือง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีของทัพกบฏอวิ๋นโจวที่จะฉีกสนธิสัญญาในไม่ช้าก็เร็ว
โดยไม่คาดคิดว่า องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งจะร่วมมือกับสวี่ชีอันก่อรัฐประหาร และขับไล่หย่งซิ่งลงจากบัลลังก์
หลังข่าวถูกส่งกลับมายังยงโจว เหยาหงก็ยอมถอยทันที และส่งคนมาเชิญหยางกงไปที่เมืองยงโจวเพื่อวางกลยุทธ์
“อาการบาดเจ็บของฉือจิ้วเป็นอย่างไรบ้าง”
หยางกงเอ่ยถาม
“ฟื้นตัวได้ไม่เลว คงไม่ทิ้งโรคเรื้อรังไว้” หลี่มู่ไป๋เอ่ย
หยางกงได้ยินดังนั้นก็พลันโล่งใจ
หลังจากถูกยอดฝีมือขั้นสี่แทงและยังรักษาชีวิตไว้ได้ นอกจากสวี่ฉือจิ้วเองจะดวงแข็งแล้ว ยังเป็นเพราะมีพี่ใหญ่ที่ดีด้วย
บนตัวสวี่ฉือจิ้วมีเกราะอ่อนซึ่งฟันแทงไม่เข้าอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่สำนักโหราจารย์สร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัว และอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนี้ก็สกัดกั้นการโจมตีอย่างรุนแรงของจอมยุทธ์ขั้นสี่ได้อย่างประจวบเหมาะ
หาไม่แล้วเกรงว่าผู้กรุณาขั้นเจ็ดผู้ต่ำต้อยคงสิ้นชีพคาที่โดยไม่มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือด้วยซ้ำ
ด้วยตำแหน่งและสถานะของสวี่ฉือจิ้วแล้ว มีอาจครอบครองอาวุธเวทมนตร์ป้องกันตัวในระดับนี้ได้
นอกจากเป็นอภินันทนาการที่มอบโดยสวี่ชีอันแล้ว ก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีก
ในเวลานั้นเอง นายทหารฝ่ายเสนาธิการผู้หนึ่งก็เข้าห้องโถงด้านในมาอย่างรีบร้อนแล้วเอ่ยว่า
“หยางกง หน่วยสอดแนมมารายงานว่า ทัพกบฏอวิ๋นโจวรวมตัวกันอยู่ชายแดน และกำลังมุ่งหน้ามาสวินโจว”
หยางกงและหลี่มู่ไป๋หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
“ส่งกองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่ไปสืบอีกครั้ง…ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เตรียมป้องกันเมืองจากข้าศึก…ให้ทหารม้าสามพันนายของหน่วยจู่โจมออกนอกเมืองไปหาที่กบดานและรอคำสั่ง…”
ไม่นานนัก ด้านบนของกำแพงเมืองสวินโจวก็ลั่นกลอง ทหารอารักขารวมตัวกันอย่างรวดเร็วด้านบนกำแพงเมือง ทหารอาสาเคลื่อนย้ายอาวุธในการป้องกันเมือง
ในค่ายทหารกองประจำการ สวี่ซินเหนียนซึ่งได้ยินเสียงกลองเดินออกมาจากห้องแล้วมองไปยังทิศทางของยอดกำแพงเมือง
ใบหน้าของเขาซีดเซียวเล็กน้อยประหนึ่งเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก
และนี่ทำให้สวี่เอ้อร์หลางผู้มีฟันขาวริมฝีปากแดงทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความหล่อเหลาดูน่าสงสารมากขึ้นอีกหลายส่วน ชนิดที่ทำให้หัวใจของสตรีอ่อนระทวยได้
ในห้องข้างๆ เหมียวโหย่วฟางและโม่ซางซึ่งกำลังเดินหมากก็เดินออกมาเช่นกัน
โม่ซางก่นด่าด้วยภาษาซินเจียงตอนใต้ จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้ภาษาราชการของที่ราบลุ่มภาคกลาง
“บรรพบุรุษมันเถอะ ทัพอวิ๋นโจวบุกมาอีกแล้วรึ”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วมุ่น “จำนวนคนของทัพกบฏอวิ๋นโจวมีจำกัด อยากจะเข้าใจชิงโจวทั้งหมดเพื่อความมั่นคงของแนวหลังนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืนหรอก”
และเมื่อแนวหลังไม่มั่นคงก็จะทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายตอนทำสงคราม
ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ไม่น่าจะเข้าโจมตียงโจวเร็วถึงเพียงนี้
ทั้งสามออกจากค่ายทหารทันที แล้วปีนขึ้นกำแพงเมืองและเตรียมพร้อมรอข้าศึกพร้อมกับทหารคนอื่นๆ
ดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างช้าๆ เคลื่อนจากทิศตะวันออกสู่กลางกระหม่อม ในที่สุด เหล่าทหารอารักขาซึ่งเฝ้ามองจากยอดกำแพงเมืองก็ประจักษ์กับกองทัพใหญ่ดำทะมึนปรากฏที่ปลายขอบฟ้า
หอกขวานดาษดื่นดั่งผืนป่า ธงศึกโบกสะบัดอย่างดุดัน
“นี่ นี่จะสู้ยิบตากับพวกเราเลยรึ” เหมียวโหย่วฟางหน้าเปลี่ยนสี
กองทัพซึ่งจัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบแต่ละริ้วขบวนยาตราเข้ามาช้าๆ ด้วยพลังอันแข็งแกร่ง จำนวนคนทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าห้าหมื่น
กำลังหลักของทัพอวิ๋นโจวอยู่ที่นี่แล้ว
ท่าทีนี้แสดงชัดเจนว่าต้องการชนะสวินโจวในคราเดียว
ทหารอารักขาเหนือกำแพงเมืองครั่นคร้ามขึ้นมาบ้างแล้ว
ทหารอารักขาแต่ละนายกระชับอาวุธแน่นพลางลอบกลืนน้ำลาย ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
สีหน้าของพลปืนใหญ่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ร่างกายแข็งทื่อราวกับรูปปั้น
ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะกลัว เมื่อเทียบกับชาวบ้านในเมืองหลวงรวมถึงสถานที่ต่างๆ แล้ว พวกเขาซึ่งเป็นทหารที่ล่าถอยจากชิงโจวมายังยงโจวจึงเข้าใจดีถึงความน่ากลัวของทัพอวิ๋นโจว
ทัพกบฏผู้หาญกล้าเกรียงไกรยังอยู่ในแนวถัดไป และความน่ากลัวที่แท้จริงก็คือผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ซึ่งอยู่ในกองทัพกบฏ
ทหารสะเทือนโลกาซึ่งทลายกำแพงเมืองตงหลิงรวมถึงผู้แข็งแกร่งอันน่าพรั่นพรึงที่สังหารท่านโหราจารย์…บุคคลเสมือนเทพเซียนเหล่านี้ อันที่จริงพวกเขาตีเสมอไหว
ในทางกลับกัน สวินโจวไม่มีผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์แม้แต่คนเดียว
กองทัพอวิ๋นโจวหยุดลงช้าๆ นอกเขตระยะปืนใหญ่จากเหนือกำแพงเมือง
จากนั้น พลทหารม้านายหนึ่งก็ออกจากแถวแล้วควบม้ามาทางประตูเมือง
“จีเสวียน…”
เหมียวโหย่วฟางมองทหารม้าที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นายนั้นพลางเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟัน
………………………………………….