จี้กุยเจินหน้าตาคล้ายชายหนุ่ม แต่ความจริงแล้วเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด
เขามาจากยุคอันดับหนึ่งในหมู่ยุคก่อนในแหล่งสถานศุภโชค ซ้ำยังมีมรรควิถีขั้นสรรสร้าง ไปที่ใดล้วนได้รับความเคารพจากผู้คน มีหรือจะเคยถูกตบหน้าเช่นนี้
ครู่หนึ่งความอัปยศรุนแรงก็กระตุ้นให้พลังจิตเขาปั่นป่วนเดือดพล่าน
เมื่อเห็นจี้กุยเจินถูกตบเช่นนี้ เกาหยางหลีและเจียงเจวี๋ยก็เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังขึ้นไม่น้อย
หลินสวินก้มมองดูทั้งสามคน กล่าวว่า “ใครจะบอกข้าว่าลูกชายและลูกศิษย์ของข้าตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแน่”
“แหล่งสถานศุภโชค”
เกาหยางหลีคล้ายรู้ชัดยิ่งว่าหากขัดขืนก็ไม่อาจเลี่ยงการบาดเจ็บทางกายได้ ดังนั้นจึงให้ความร่วมมืออย่างเห็นได้ชัด “ถ้าไม่เกินความคาดหมาย พวกเขาน่าจะถูกพาไปยุคทวยเทพแล้ว นอกจากนั้นหากภายในสามวันพวกเราไม่พาเจ้าไปยุคทวยเทพ ลูกชายกับลูกศิษย์ของเจ้าก็ต้องถูกปลิดชีพ”
นัยน์ตาดำของหลินสวินไหววูบ ถามอีกครั้ง “พวกเจ้าออกมาจากแหล่งสถานศุภโชคได้อย่างไร”
คำถามนี้สำคัญมาก
และเป็นจุดที่ทำให้หลินสวินเดาสถานที่ไม่ออกเช่นกัน
เพราะแหล่งสถานศุภโชคเป็นดั่งกรงขัง ผู้ฝึกปราณในอารยธรรมยุคสมัยมากกว่าร้อยที่กระจายตัวอยู่ในนั้นไม่มีทางหนีออกมาได้แม้แต่น้อย
เกาหยางหลีปิดปากทันที ราวกับว่าคำถามนี้เป็นเรื่องต้องห้ามเกินไป ทำให้เขาไม่กล้าเผยความลับในนั้น
หลินสวินใคร่ครวญแล้วกล่าวว่า “ดูท่าการปรากฏตัวของพวกเจ้าก็มีความเกี่ยวข้องกับผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นขั้นสรรสร้างมีหรือจะเสี่ยงชีวิตมาเยือนโลกยอดนิรันดร์ได้อย่างไม่เกรงกลัว”
“เจ้า…” เกาหยางหลีหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ
หลินสวินกล่าว “ไม่ต้องแปลกใจไป เรื่องเช่นนี้เดาได้ง่ายมาก ข้าแค่ประหลาดใจว่าผู้บงการหลังม่านนั่นติดต่อกับพวกเจ้าได้อย่างไร”
เกาหยางหลีนิ่งเงียบอีกครั้ง
เจียงเจวี๋ยที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยความเย็นชา “ข้ารับรองได้ว่าเจ้าไม่มีทางได้คำตอบจากปากของพวกเราแน่นอน ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู”
นางสงบนิ่งมากอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางไม่หวั่นเป็นตาย
หลินสวินยื่นมืออกไปคว้าคอของนาง จ้องใบหน้าเย็นชางดงามนั่นของนางพลางกล่าว “วางใจ ข้าไม่ให้พวกเจ้าตายง่ายๆ เช่นนี้หรอก”
ปึง!
จากนั้นร่างสูงเพรียวแบบบางของเจียงเจวี๋ยก็ระเบิดออก เลือดเนื้อยังไม่ทันแตกเป็นเสี่ยงก็พลันถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนา
จากนั้นก็เห็นพลังกฎระเบียบลี้ลับเป็นสายๆ โผล่ออกมาจากฝ่ามือหลินสวิน ผนึกควบรวมเป็นเตาหลอมมายาใบหนึ่งทันที
นี่เป็นการควบรวมจาก ‘กฎระเบียบแปรมรรค’ ‘กฎระเบียบแปรร่าง’ ‘กฎระเบียบแปรโลหิต’ ในห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์
ภายใต้สายตาที่มองอย่างตกตะลึงของพลังจิตเจียงเจวี๋ย เลือดเนื้อของนางก็ถูกหลอมไปทั้งหมดภายใน ‘เตาหลอม’ นั่น
จนสุดท้ายกลายเป็นศิลาโลหิตนิรันดร์ที่แดงฉานพร่างพราวขนาดหนึ่งกำปั้น หินมรรคนิรันดร์ที่แผ่กลิ่นอายน่าตกใจ รวมถึงพลังกฎเกณฑ์นิรันดร์กลุ่มหนึ่ง ล้วนบริสุทธิ์หาใดเปรียบ มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ดั้งเดิม
ภาพนี้ทำเอาจี้กุยเจินกับเกาหยางหลีสะท้านทั้งที่ไม่หนาว สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน
“สำหรับข้า แทนที่จะฆ่าพวกเจ้าไม่สู้เอาพวกเจ้ามาหลอมเป็นพลังมหามรรคเช่นนี้ นี่เป็นสมบัตินิรันดร์ที่หาได้ยากยิ่งเป็นที่สุด”
หลินสวินกล่าวเรียบๆ “แน่นอนว่าอย่างที่ข้าเพิ่งพูดไป จะไม่ให้พวกเจ้าตายไปง่ายๆ เช่นนี้ เรื่องที่น่าขมขื่นที่สุดในโลกนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่สามารถ!”
สีหน้าของจี้กุยเจิน เกาหยางหลีและเจียงเจวี๋ยล้วนเปลี่ยนเป็ฯไม่น่ามทองอย่างที่สุด
“เหอะๆ ต่อให้เป็นเช่นนี้เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้รู้อะไรจากปากพวกข้า!” พลังจิตของเจียงเจวี๋ยหัวเราะเยาะ
นางไม่เกรงกลัว
เพราะจิตวิญญาณระดับนิรันดร์มีพลังแข็งแกร่งยิ่ง บางทีอาจถูกฆ่าได้ แต่ถ้าคิดจะค้นวิญญาณนั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สักนิด
หลินสวินย่อมรู้จุดนี้เช่นกัน
เพียงแต่นี่ก็ไม่คณามือเขาเช่นกัน
ก็เห็นเขารวบนิ้วเป็นดาบ สำแดงพลังดาบกาลเวลาฟันใส่พลังจิตของเจียงเจวี๋ย
ฮูม!
เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเพียงพริบตาพลังของเจียงเจวี๋ยที่เดิมอบอวลด้วยกลิ่นอายระดับนิรันดร์ พลันเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว ร่วงลงไปถึงระดับอมตะถึงค่อยๆ หยุดลง!
ภาพน่าเหลือเชื่อนี้ทำเอาเจียงเจวี๋ยตะโกนอย่างขวัญเสีย “เจ้าถึงกับตัดทอดระดับมหามรรคของข้า!”
สำหรับระดับนิรันดร์ ยังจะมีการลงโทษอะไรโหดร้ายไปมากกว่านี้อีก
จี้กุยเจินและเกาหยางหลีพลันสั่นเทิ้มไปทั้งร่างทันที ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง พวกเขาดูออกแล้วว่านี่เป็นพลังของกาลเวลา ก่อนหน้านี้นานมาแล้วจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ก็เคยครอบครองอภินิหารต้องห้ามเช่นนี้!
“ไม่ทำเช่นนี้แล้วจะรู้เรื่องบางอย่างในความทรงจำของจิตวิญญาณเจ้าได้อย่างไร” ขณะหลินสวินกล่าวก็เริ่มทำการค้นวิญญาณเจียงเจวี๋ย
ตูม!
ความทรงจำที่คล้ายกระแสน้ำไหลบ่าถูกหลินสวินคว้าจับไว้ ชาติกำเนิด การเติบโต ประสบการณ์ฝึกปราณที่เกี่ยวกับเจียงเจวี๋ย… ล้วนปรากฏออกมาทั้งหมด
แต่ไม่นานหลินสวินก็ขมวดคิ้ว
เพราะในความทรงจำของเจียงเจวี๋ยกลับไม่มีเรื่องที่เขาอยากรู้ อย่างเช่นเรื่องที่เจียงเจวี๋ยออกเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นคำสั่งของขุมอำนาจใด
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าจะไม่ได้อะไรไปสักนิด!”
พลังจิตของเจียงเจวี๋ยตวาด การที่ปราณถูกตัดทอนจนมาอยู่ระดับอมตะทำให้นางรู้สึกพังทลาย สู้ตายไปยังดีกว่า
หลินสวินกล่าวสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าที่อยู่ของตระกูลเจียงของเจ้าอยู่ที่ไหน รู้ว่าตอนนี้ตระกูลเจียงของพวกเจ้ามีคนในตระกูลกี่คน และรู้ความลับที่เกี่ยวกับตระกูลเจียงของพวกเจ้ามากมาย นี่ก็เกินพอแล้ว”
“เจ้า… ยังกล้าไปตระกูลเจียงหรือ” เจียงเจวี๋ยยากจะเชื่อ
“แล้วทำไมจะไม่ได้”
ขณะพูดหลินสวินก็เก็บพลังจิตของนางเข้าไปเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
สายตาเขามองไปยังจี้กุยเจินและเกาหยางหลี “พวกเจ้าเล่า จะให้ข้าลงมือหรือจะเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง”
“ถ้าข้าบอกไปข้าเองก็ไม้รู้ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่”
เกาหยางหลีหน้าซีด ฉาบไปด้วยความขมขื่น
“แน่นอนว่าไม่เชื่อ”
ขณะหลินสวินพูดก็คว้าตัวเขาขึ้นมา เริ่มจากทำลายร่างกายของเขา จากนั้นก็ใช้พลังของดาบกาลเวลาตวัดใส่พลังจิตของเขา
ทันใดนั้นเกาหยางหลีก็พบอย่างน่าหวาดหวั่นว่ามรรควิถีของตนร่วงลงไปถึงระดับอมตะแล้ว ทั้งตัวเขารับการโจมตีเช่นนี้ไม่ไหว ส่งเสียงตะโกนแทบขาดใจออกมา “ไม่! ไม่…!”
ทว่าหลินสวินจะเมตตาได้อย่างไร เขาเข้าค้นวิญญาณทันที
ครู่ต่อมาหัวคิ้วเขาก็ขมวดอีกครั้ง เกาหยางหลีก็เหมือนกับเจียงเจวี๋ย ไม่รู้สาเหตุแน่ชัดเหมือนกัน เขารู้แค่ว่าการลงมือครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยเท่านั้น
หลังจากกำราบพลังจิตของเกาหยางหลี สายตาหลินสวินก็มองไปทางจี้กุยเจินแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเล่า มีอะไรอยากพูดหรือไม่”
จี้กุยเจินหน้าคล้ำเขียวอึมครึมยิ่ง ตาเบิกโพลง เขากัดฟันแน่น กล่าวว่า “หลินสวิน ทั้งหมดนี้เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ขอแค่เจ้าไม่ตาย ญาติมิตรของเจ้า รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งหมดล้วนต้องประสบเคราะห์!!”
คล้ายเป็นการระบายความอัดอั้น กลิ่นอายสาปแช่งเคียดแค้นอัดแน่น
หลินสวินรวบนิ้ววาดคราหนึ่ง พลังของดาบกาลเวลาก็ฟันลงบนพลังจิตของจี้กุยเจิน ระดับปราณของฝ่ายหลังก็ตกลงมาในคราวเดียว
แต่อย่างไรเขาก็เป็นขั้นสรรสร้าง เขายังรักษามรรควิถีให้อยู่ในขั้นล่วงกฎได้ภายใต้การโจมตีนี้
หลินสวินไม่พูดมากความ ใช้พลังของดาบกาลเวลาอีกครั้ง
ไม่นานพลังจิตของจี้กุยเจินก็อ่อนแอลงหาใดเปรียบ และร่วงลงไปถึงระดับอมตะ
ในระหว่างนี้เขาลองพยายามทำลายพลังจิตของตน แต่กลับถูกหลินสวินตรึงไว้แน่น จนถึงขั้นว่าในยามนี้ทั้งร่างล้วนเหมือนพังทลายหมดสิ้น สีหน้าเหม่อลอยทื่อทึ่ม
หลินสวินใบหน้าเรียบเฉยไร้คลื่นอารมรณ์ เข้าค้นวิญญาณอีกครั้ง
ครู่หนึ่งนัยน์ตาเขาพลันทอประกาย ในใจทั้งตื่นเต้นทั้งโกรธแค้น
ในความทรงจำวิญญาณของจี้กุยเจิน ทำให้เขาได้เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด
เช่นว่าหลินฟานกับซูไป๋ถูกเฒ่าชรานามว่า ‘กงเหยียหลิ่ว’ พาไปแหล่งสถานศุภโชคเมื่อวาน
แต่ตามแผนของจี้กุยเจิน กงเหยียหลิ่วได้พาหลินฟานกับซูไป๋ไปขังไว้ในตระกูลจี้ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของยุคทวยเทพ
อีกทั้งจี้กุยเจินยังนัดแนะกับกงเหยียหลิ่ว ว่าถ้าเขา เกาหยางหลี หรือเจียงเจวี๋ยคนใดคนหนึ่งประสบเคราะห์ ให้ฆ่าหลินฟานกับซูไป๋ทันที
นี่ทำให้หลินสวินตกใจจนเหงื่อไหลหลั่งออกมาอย่างอดไม่ได้ โชคดีที่ก่อนหน้าไม่ได้ฆ่าสามคนนี้ทันที ไม่เช่นนั้นผลลักพธ์ที่ตามมาคงไม่อาจจินตนาการได้เป็นแน่
ขณะเดียวกันหลินสวินก็ได้รู้ในที่สุดว่าพวกจี้กุยเจินออกมาจากแหล่งสถานศุภโชคได้อย่างไร
ที่แท้ในมือจี้กุยเจินครอบครองรูปปั้นหินที่สลักคำว่า ‘ไท่ชู’ ไว้รูปหนึ่ง และเพราะหยิบยืมพลังของมัน ทำให้พวกเขาทะลวงออกมาจากการปิดผนึกของแหล่งสถานศุภโชคได้อย่างง่ายดาย
ส่วนก่อนพวกเขาจะมาโลกยอดนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นเกาหยางหลี เจียงเจวี๋ย หรือว่าเฒ่าชรานามกงเหยียหลิ่ว ล้วนถูกจัดให้อยู่ในศาสตรามรรคนิรันดร์ชิ้นหนึ่งที่จี้กุยเจินพกติดตัว และให้จี้กุยเจินพาออกจากแหล่งสถานศุภโชค
ดังนั้นเกาหยางหลีกับเจียงเจวี๋ยจึงไม่รู้ว่าพวกเขาออกมาได้อย่างไร
รูปปั้นไท่ชู!
ในใจหลินสวินสั่นไหว เริ่มค้นสิ่งของบนตัวจี้กุยเจินทันที
ไม่นานรูปปั้นหินรูปหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาหลินสวิน
มันสูงเก้าชุ่น คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยก ดำขลับทั้งชิ้น เห็นชัดว่ารูปปั้นเป็นรูปคน รูปร่างสูงโปร่ง เพียงแต่ใบหน้าไม่ชัดเจน แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง
ส่วนที่ใต้รูปปั้นสลักอักษรมหามรรคที่ลี้ลับหาใดเปรียบไว้สองคำ… ‘ไท่ชู’!
ตัวอักษรนั่นประหนึ่งร่องรอยมหามรรคสูงสุด ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามอบอวล ทำให้หลินสวินที่มองเพียงปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันแปลกประหลาด ราวกับว่าไปแตะของที่งสูงส่งยิ่งชิ้นหนึ่งโดยไม่ทันระวัง ทำเอาคนรู้สึกใจสั่นเป็นพิเศษ!
เป็นมันนี่เอง!
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ระงับความสั่นไหวในใจ
ยามอยู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เขากับศิษย์พี่หลิงเสวียนจื่อเคยคุยกันเรื่อง ‘รูปปั้นไท่ชู’ หลิงเสวียนจื่อเคยลอบเข้าไปในลัทธิฌาน สืบค้นตำราในลัทธิฌานและรู้เรื่องบางอย่างของสมบัติลี้ลับชิ้นนี้
ตามการคาดเดาของหลิงเสวียนจื่อ ด้วยของสิ่งนี้จะทำให้ติดต่อกับผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยนั่นได้!
และตอนนี้บนตัวจี้กุยเจินก็มีรูปปั้นไท่ชูนี่รูปหนึ่ง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของพวกเขาในครั้งนี้ เป็นเพราะได้รับคำสั่งจากผู้บงการหลังม่านนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่า บางทีผู้บงการหลังม่านนั่นอาจจะรู้เรื่องที่ตนแจ้งมรรนิรันดร์สำเร็จนานแล้ว และอาจจะรู้แล้วด้วยซ้ำว่าไม่ว่าลัทธิฌาน ลัทธิพ่อมด หรือว่าเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลนั่นล้วนหมดประโยชน์แล้ว
ดังนั้นผู้บงการหลังม่านที่ไม่ยอมแพ้ไปเช่นนี้ ถึงได้เริ่มอาศัยพลังของขุมอำนาจอารยธรรมยุคสมัยในแหล่งสถานศุภโชคมาจัดการตน!