หลินสวินก้มหน้าลงไปดูเฒ่าชราชุดดำที่อยู่ตรงหน้า กล่าวว่า “ให้โอกาสเจ้ารอดชีวิต บอกข้ามาว่าเหตุใดต้องหนี”
เฒ่าชราชุดดำสีหน้าซีดเผือด เอ่ยอย่างยากลำบาก “ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เผ่าเทพสามตระกูลอย่างตระกูลเหลียงชิว ตระกูลอิ๋ง ตระกูลเยียนสั่งให้ข้าน้อยดูแลที่นี่ ทันทีที่มีใครปรากฏตัวที่นี่ก็ให้ส่งข่าวออกไปทันที ส่วนเหตุที่ข้าน้อยหนีไปเมื่อครู่ เป็นเพราะสังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสเป็นบุคคลที่เหยียบย่างระดับนิรันดร์ เพื่อเอาชีวิตรอดจึงได้แต่หนีตาย”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลินสวินพยักหน้า
เขารู้จักเผ่าเทพสามตระกูลนี้
ตอนที่มาแหล่งสถานศุภโชคครั้งแรกในปีนั้น เขาได้รู้ว่าเผ่าเทพสามตระกูลนี้ส่งระดับอมตะออกมาควบคุมนอกแดนผนึกเรืองแสงร่วมกับผู้แข็งแกร่งเผ่าเทพต้าฉิน
เพื่อคอยเฝ้ารอวันที่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ซึ่งครอบครองเรือนิรันดร์มาเยือน
ภายหลังด้วยการช่วยเหลือของรูปจำลองเจตจำนงของเฉินหลินคง ทำให้หลินสวินบุกเข้าแดนผนึกเรืองแสงอย่างราบรื่น และช่วยบิดามารดาที่ถูกขังในนั้นออกมาได้
และก็เป็นยามนั้นเช่นกันที่หลินสวินได้เข้าใกล้ปริศนาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับซย่าจื้อ
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่าตั้งแต่เขาออกจากแหล่งสถานศุภโชคจะผ่านไปเกือบร้อยปีแล้ว ทว่าเผ่าเทพสามตระกูลนั้นยังคงไม่ยินยอม ส่งขั้นล่วงกฎเช่นนี้มาเฝ้าที่นี่…
“ไม่ถูก”
จู่ๆ หลินสวินก็ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง เผ่าเทพสามตระกูลนั้นกล้ามั่นใจได้อย่างไรว่าตนจะกลับมาแหล่งสถานศุภโชคอีก
สายตาเขามองไปทางเฒ่าชราชุดดำ “เช่นนั้นเผ่าเทพสามตระกูลนั้นไม่ได้บอกเรื่องอื่นกับเจ้าหรือ”
เฒ่าชราชุดดำส่ายหัว “เผ่าเทพสามตระกูลนี้เพียงกำชับให้ข้าน้อยส่งข่าวให้เท่านั้น”
หลินสวินกล่าว “ข่าวจะส่งไปที่ใด”
เฒ่าชราชุดดำหยิบยันต์กระดูกสีเขียวเข้มชิ้นหนึ่งออกมาแล้วส่งให้หลินสวิน “ขอเพียงบีบยันต์กระดูกนี่แตก กำลังพลของเผ่าเทพสามตระกูลก็จะมาทันที”
หลินสวินถือของสิ่งนี้ขึ้นมาพิจารณาแล้วเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้เหตุใดเจ้าถึงไม่บีบของสิ่งนี้ให้แตก”
เฒ่าชราชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ข้ากังวลว่าหากทำเช่นนี้ หากหนีไม่พ้นจะยิ่งตายเร็วขึ้น สู้ไม่ทำอาจจะยังรักษาชีวิตได้สักทาง”
“คนฉลาด”
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าจะกำราบเจ้าไว้ที่นี่สามเดือน หลังจากสามเดือนเจ้าจะได้รับอิสระอีกครั้ง”
เฒ่าชราชุดดำรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ประสานมือคาราวะ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ไม่สังหาร!”
…
ต่อมาเฒ่าชราชุดดำก็ถูกหลินสวินกำราบและผนึกไว้ในอุโมงค์ใต้ดินแห่งหนึ่ง
ครั้งทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นแล้วหลินสวินก็จากไปทันที
ตอนนี้เขาไม่มีใจจะไปสนใจว่าตระกูลเหลียงชิว ตระกูลอิ๋ง ตระกูลเยียนวางแผนอะไรกันแน่ คิดแต่จะไปช่วยหลินฝานกับซูไป๋ให้เร็วที่สุด
ดังนั้นยันต์กระดูกสีเขียวเข้มที่เฒ่าชราชุดดำมอบให้จึงถูกหลินสวินเก็บไว้เช่นกัน
ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเขาคงจะบีบยันต์กระดูกนี่แตกแล้วรอเผ่าเทพสามตระกูลนี้ส่งคนมาแล้ว
สวบ!
หลังหนึ่งถ้วยชา หลินสวินออกจากแดนเทพต้าฉินไปอย่างไร้สุ้มเสียง มาถึงกลางฟ้าดาราอันกว้างใหญ่สุดสายตา
นี่จึงจะเป็นสภาพที่แท้จริงของแหล่งสถานศุภโชค กลางฟ้าดาราเวิ้งว้างมีโลกของอารยธรรมยุคสมัยร้อยกว่าแห่ง อารยธรรมยุคสมัยแต่ละแห่งล้วนมีเผ่าเทพควบคุมดูแล
แต่ใช่ว่าทุกอารยธรรมยุคสมัยจะมีระดับนิรันดร์ อย่างในยุคต้าฉินก็ไม่มีระดับนิรันดร์อยู่
สถานการณ์เหล่านี้ ยามมาครั้งแรกหลินสวินก็ได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
เพียงแต่ไม่เหมือนกับปีนั้น
ยามนี้การเดินในฟ้าดาราเวิ้งว้างนี่ หลินสวินสัมผัสได้อย่างฉับไว ถึงพลังกฎระเบียบต้องห้ามไร้รูปอย่างหนึ่งที่คล้ายพันธนาการชั้นหนึ่ง ปกคลุมอยู่กลางฟ้าดาราไร้สิ้นสุด
อีกทั้งหลินสวินยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยเป็นที่สุด
พลังกฎระเบียบประหนึ่งต้องห้ามนั่นเหมือนกับกฎระเบียบไท่ชูเสี้ยวนั้นที่ถูกเข้ากำราบไม่มีผิด แผ่คลื่นพลังประหลาดและเร้นลับยากคาดเดาออกมา
นี่ทำให้หลินสวินตัดสินได้ทันที ว่าพลังกฎระเบียบต้องห้ามนั่น ก็คือพลังของผู้บงการหลังม่านที่ปกคลุมอยู่ในแหล่งสถานศุภโชค!
‘มิน่าปีนั้นหลังจากผู้อาวุโสเฉินหลินคงเปิดเผยพลังของร่างต้นของตน ก็ไม่อาจไม่ออกจากแหล่งสถานศุภโชคนี้ พลังของผู้บงการหลังม่านนี่คงอยู่ทั่วทุกที่คล้ายตาข่ายยักษ์ ปกคลุมแหล่งสถานศุภโชค ทันทีที่ถูกมันจับจ้อง ก็เหมือนปลาที่ตกอยู่กลางตาข่ายยักษ์ คิดจะออกไปล้วนเป็นไปไม่ได้…’
นัยน์ตาดำหลินสวินไหววูบ
เขากลับไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้
พลังของนัยเร้นลับนิพพานทำให้เขามั่นใจว่าสามารถต้านทานกฎระเบียบไท่ชูได้!
เพียงแต่ถ้าเปิดเผยมรรควิถีระดับนิรันดร์ของเขา จะต้องชักนำให้เกิดการโจมตีจากกฎระเบียบไท่ชูแน่ หากเป็นเช่นนี้ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรงยิ่ง
ดังนั้นหลินสวินจึงกดกลิ่นอายตนระหว่างเคลื่อนย้ายตลอดทาง
ในเวลาต่อมาเขาเคลื่อนย้ายตลอดทาง ทุกย่างก้าวเหมือนดาราเคลื่อนคล้อย พุ่งทะลวงกลางฟ้าดาราไร้สิ้นสุด ดูราวกับเดินเล่นสบายๆ แต่อันที่จริงความเร็วล้วนไปถึงขั้นน่าตกใจ
หลินสวินที่ค้นวิญญาณพวกจี้กุยเจิน เกาหยางหลี เจียงเจวี๋ยแล้ว เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างในยุคทวยเทพอย่างดี
ยุคทวยเทพสมกับเป็นอารยธรรมยุคสมัยอันดับหนึ่งในแหล่งสถานศุภโชค
และตระกูลเจียง ตระกูลเกาหยาง ตระกูลจี้ ก็เป็นเผ่าเทพสามตระกูลที่ประหนึ่งนายเหนือหัวสูงสุดในยุคทวยเทพ
ก่อนยุคทวยเทพจะเผชิญเคราะห์แห่งยุคสมัย และยังไม่ได้ปรากฏในแหล่งสถานศุภโชค ความยิ่งใหญ่ในรากฐานพลังของสามตระกูลนี้ ล้วนแข็งแกร่งและเหนือกว่าเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลในน่านฟ้าที่เก้าของโลกยอดนิรันดร์
เผ่าเทพสามตระกูลล้วนมีขั้นไร้ขอบเขตมากมายดูแล ขั้นสรรสร้างยิ่งมีเกลื่อนจนเป็นเรื่องธรรมดา!
พูดได้ว่าถ้าเปรียบเทียบด้วยรากฐานพลังทั้งหมดของอารยธรรมยุคสมัย ยุคทวยเทพยังเหนือกว่ายุควิญญาณยุทธ์ที่หลินสวินอยู่ในปัจจุบันนี้
แต่ต่อให้ยุคทวยเทพทรงพลังเช่นนี้ก็ยังล่มสลายไปในเคราะห์แห่งยุคสมัยเช่นกัน…
และก่อนเผชิญเคราะห์แห่งยุคสมัย ขั้นไร้ขอบเขตและขั้นสรรสร้างของยุคทวยเทพล้วนเข้าไปต่อสู้แย่งชิงในแหล่งสถานคุนหลุน
ด้วยเหตุนี้ต่อให้ยุคทวยเทพคงอยู่ใสตลอดภายในแหล่งสถานศุภโชค ทว่าในเผ่าเทพสามตระกูลล้วนเสียกำลังไปมาก ไร้ซึ่งบุคคลน่าครั่นครามขั้นสรรสร้างกับขั้นไร้ขอบเขตมาดูแลอีกต่อไป
กระนั้นเมื่อกาลเวลาเคลื่อนคล้อย พลังดั้งเดิมของเผ่าเทพสามตระกูลของยุคทวยเทพก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมา ถึงตอนนี้จึงมีขั้นสรรสร้างปรากฏขึ้นไม่น้อยแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้ก็ปรากฏในโลกอารยธรรมยุคสมัยอื่นเช่นกัน
อารยธรรมยุคสมัยเหล่านี้ล้วนประสบเคราะห์จากเคราะห์แห่งยุคสมัย และอยู่รอดมาได้ในแหล่งสถานศุภโชค ผ่านการเปลี่ยนแปลงยาวนานและคงอยู่มาถึงปัจจุบัน
แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้นเกิดขึ้นเช่นกัน อย่างเช่นยุคเซียนยุทธ์ที่ดับสิ้นไปในเคราะห์แห่งยุคสมัยโดยสมบูรณ์ ไม่สามารถอยู่รอดในแหล่งสถานศุภโชคได้
และสำหรับอารยธรรมยุคสมัยเหล่านี้ในแหล่งสถานศุภโชค ข้อเสียเดียวอาจเป็นผู้ฝึกปราณของทุกอารยธรรมยุคสมัย ไม่ว่าปราณจะสูงหรือต่ำล้วนไม่อาจออกจากแหล่งสถานศุภโชคได้
เหตุผลก็อยู่ที่มีผนึกกับพันธนาการซึ่งเป็นพลังของผู้บงการหลังม่านนั่น ทำให้ทั้งแหล่งสถานศุภโชคประหนึ่งสถานที่คุมขังใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง
เรื่องที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ แม้ในอารยธรรมยุคสมัยไม่น้อยว่าจะมีขั้นสรรสร้างดูแล แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีขั้นไร้ขอบเขตปรากฏตัว!
สาเหตุก็ง่ายมาก มีเพียงผู้ที่รอดจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพเท่านั้นถึงจะแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตได้
และในแหล่งสถานศุภโชค ก็ไม่มีใครสามารถรับการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้ ถ้าไม่ถูกสังหารก็ข้ามเคราะห์ล้มเหลว
แม้แต่บุคคลทรงพลังอย่างจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ ก็ยังประสบเคราะห์ภายใต้เคราะห์นี้เช่นกัน สุดท้ายจึงได้แต่ใช้มรรควิถีทั้งหมดของตนทำการจุติและเกิดใหม่!
ทว่าการประสบเคราะห์ของจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ค่อนข้างพิเศษ หลินสวินไม่คิดว่าจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ซึ่งครอบครองยอดมรรคาต้องห้ามสามชนิดอย่างกฎกรรม โชคชะตา กาลเวลา จะไม่เคยเหยียบย่างแม้แต่ขั้นไร้ขอบเขต
นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สักนิด
ตามการคาดเดาของหลินสวิน จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์น่าจะเคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ทั้งไม่ใช่แค่ครั้งเดียว!
ทุกครั้งก่อนยุคสมัยล่มสลาย เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพจะมาเยือน
และต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ท่องผ่านมาแล้วหลายยุคสมัย ย่อมต้องเคยผ่านการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาหลายครั้งและรอดมาได้ทั้งสิ้น
นี่ทำให้คาดเดาได้ว่านางต้องมีมรรควิถีขั้นไร้ขอบเขตอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ยามนางไปเมืองเทพศุภโชคไม่อาจรับการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพครั้งนั้นได้
และต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่ถูกสังหารสิ้น หากแต่หลบเข้าไปในแดนผนึกเรืองแสง แล้วใช้ตัวตนของซย่าจื้อเข้าสู่เส้นทางการจุติเกิดใหม่อันเย้ยฟ้าอีกครั้ง
จากจุดนี้ก็ดูออกว่าพลังในช่วงรุ่งเรืองของจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์น่ากลัวเพียงใด!
อีกทั้งตอนนี้หลินสวินก็รู้แล้วว่าขั้นไร้ขอบเขตแบ่งเป็น ‘ไร้ขอบเขตเล็ก’ กับ ‘ไร้ขอบเขตใหญ่’ สองขั้น
ขั้นไร้ขอบเขตเล็ก แบ่งเป็นหนึ่งเคราะห์ สองเคราะห์ สามเคราะห์สามชั้น
หรือก็คือ ผู้ที่ข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาได้หนึ่งครั้ง สามารถเรียกได้ว่า ‘ขั้นไร้ขอบเขตหนึ่งเคราะห์’
ผู้ที่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพสามครั้ง จะถูกเรียกว่า ‘ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่’
พูดโดยทั่วๆ ไป บุคคลเช่นนี้ได้เหยียบย่างบนปลายยอดของมรรคานิรันดร์แล้ว แทบทั้งหมดล้วนออกจากแหล่งสถานคุนหลุน และแทบจะไม่พบร่องรอยของพวกเขาบนโลกอีก
และจากการคาดเดาของหลินสวิน จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ที่ครอบครองพลังอย่างกฎกรรม โชคชะตา กาลเวลา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นขั้นไร้ขอบเขตเล็ก ถึงขั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่แล้ว!
ส่วนจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ปรากฏตัวในแหล่งสถานศุภโชคได้อย่างไร เป็นผู้ฝึกปราณในยุคสมัยไหน หลินสวินก็ไม่อาจรู้
บางทีอาจมีเพียงรอหลังจากซย่าจื้อหลอมมรรควิถีทั้งหมดที่จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์เหลือไว้อย่างสมบูรณ์ก่อน ถึงจะคลี่คลายปริศนาพวกนี้ได้
ขณะใคร่ครวญ เงาร่างของหลินสวินก็หายลับไปในส่วนลึกของฟ้าดาราเวิ้งว้างแล้ว
…
โลกยุคทวยเทพ
โลกนี้แบ่งออกเป็นสามอาณาเขต แบ่งเป็น ‘เขตแดนสยบมาร’ ‘เขตแดนแสงเทพ’ ‘เขตแดนมหาวัฏจักร’
สามอาณาเขตใหญ่นี้มีผู้ปกครองเป็นตระกูลเจียง ตระกูลเกาหยาง ตระกูลจี้ตามลำดับ
แต่ละอาณาเขตล้วนกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีโลกขนาดเล็กนับไม่ถ้วนคล้ายดาราประดับในนั้น
เขตแดนมหาวัฏจักร เขาเทพเฟิ่งฉี
อาณาเขตที่เผ่าเทพตระกูลจี้ตั้งอยู่ ถูกมองเป็นเขาเทพอันดับหนึ่งของเขตแดนมหาวัฏจักร
กลางดึก
ในเขตผนึกเก่าแก่แห่งหนึ่งภายในเขาเทพเฟิ่งฉี เพลิงเทพลุกโชน
เงาร่างของหลินฝานและซูไป๋ต่างถูกพันธนาการบนเสาหินสีดำต้นหนึ่ง โซ่เทพสีเลือดที่เล็กเท่าหัวแม่มือพันธนาการทั้งร่างพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา ประหนึ่งนักโทษที่รอรับคำตัดสิน
ผมของทั้งสองคนสยายออก ล้วนไม่ได้สติ
และห่างออกไปไกล เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังขึ้นกลางดึกนี้ ผู้นำตระกูลจี้ป๋อเหวินพาเหล่าคนใหญ่คนโตมาแล้ว…