ตอนที่ 3091 จูงสุนัขเดินเล่น
ฟู่หนานหลีคิดๆ แล้วพูดว่า “เป็นเช่นนี้จริง”
เหรินฟู่เทียนเองก็พยักหน้า
หลินสวินพูดอึ้งๆ “ข้า?”
“ใช่ เจ้า”
สิงเจี้ยนสยาอดยิ้มไม่ได้ “ด้วยสติปัญญาของเจ้าเฒ่าซินหูจะต้องสังเกตเห็นความผิดปกติอย่างแน่นอน และพวกเขาไม่มีทางคิดว่าด้วยพลังของเฒ่าชราอย่างพวกเราจะสามารถสร้างความเสียหายต่อฐานที่มั่นของพวกเขารุนแรงขนาดนี้ ดังนั้น ตอนที่พวกเขาโจมตีมาจะต้องระมัดระวังอย่างมากแน่”
“แต่พวกเขาไม่มีทางคิดว่าสหายน้อยต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะ ถึงอย่างไรบนโลกนี้ก็ไม่เคยปรากฏคนที่มีมรรควิถีขั้นสรรสร้างแต่สามารถสู้กับขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ได้เหมือนอย่างเจ้า”
ฟู่หนานหลีที่อยู่ข้างๆ เหมือนห่วงว่าหลินสวินจะไม่เข้าใจ พูดเสริมว่า “ก็หมายความว่า ตอนที่ศัตรูมาเยือนอย่างแท้จริง สำหรับพวกเขา สหายน้อยหลินเป็นคนที่คาดไม่ถึง และพวกเราก็สามารถใช้ความคาดไม่ถึงนั้นโจมตีอีกฝั่งโดยไม่ทันตั้งตัว”
พูดขนาดนี้แล้วหลินสวินจะไม่เข้าใจได้อย่างไร พยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นผู้อาวุโสทุกท่านคิดว่าพวกเราควรลงมืออย่างไร”
สิงเจี้ยนสยาเอ่ย “แม้บอกว่าจับโจรให้จับหัวหน้าก่อน แต่สถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมาะจะใช้กับซินหูและเหลยซ่ง พวกเขาในฐานะสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดของฝั่งศัตรู ย่อมต้องคิดว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันคนที่จะได้รับผลกระทบในทันทีจะต้องเป็นหนึ่งในพวกเขาสองคน ดังนั้นพวกเขาจะต้องเตรียมการป้องกันเป็นเท่าตัว”
หลินสวินคล้ายขบคิด “ดังนั้นคนที่พวกเราต้องโจมตีเป็นอันดับแรก ก็คือหนึ่งในพวกเย่เจวี๋ยสี่คนนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว”
สิงเจี้ยนสยาพยักหน้า “ด้วยพลังต่อสู้ของสหายน้อยหลิน สามารถยื้อพวกซินอิ้ง เหวินไจ้ สิงเทียนหยวนไว้ด้วยตัวคนเดียวได้ ย่อมต้องสามารถฉุดรั้งพวกเขาไว้สามคนได้ นี่ก็หมายความว่าขอเพียงฆ่าหนึ่งคนในกลุ่มพวกเย่เจวี๋ยสี่คนได้ การต่อสู้ครั้งนี้พวกเราก็จะชนะอย่างมั่นคงแล้ว”
หลินสวินคิดๆ แล้วก็เข้าใจทันที
หากการต่อสู้ปะทุขึ้น สิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลีสามารถไปประชันกับซินหูและเหลยซ่ง ดังนั้นขอเพียงฆ่าพวกเย่เจวี๋ยได้หนึ่งด้วย ด้วยพลังของเขาก็จะสามารถยื้อกับอีกสามคนที่เหลือได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอเพียงเหรินฟู่เทียนร่วมมือกับเขาก็สามารถสังหารสามคนนี้ได้
ถึงตอนนั้นเหรินฟู่เทียนและเขาก็จะมือว่าง แล้วไปเล่นงานซินหู เหลยซ่งพร้อมสิงเจี้ยนสยากับฟู่หนานหลี!
และหากหมายทำได้ถึงขั้นนี้ จังหวะที่สำคัญที่สุดคือชั่วขณะที่เปิดฉากต่อสู้ต้องกำจัดคนหนึ่งก่อน ไม่เช่นนั้นการเคลื่อนไหวหลังจากนั้นก็จะถูกขวางกั้น
หลังจากนั้นสิงเจี้ยนสยาแจกแจงที่มาและรากฐานพลังของพวกเย่เจวี๋ยให้หลินสวินฟังอย่างละเอียด
เย่เจวี๋ย เป็นขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ที่ผ่านเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาห้าครั้ง รากฐานไม่อาจคาดเดา พลังต่อสู้เทียบเท่าพวกอูหงจื่อ ซินอิ้ง
อุปนิสัยมั่นคงราวกับภูเขา ‘กฎระเบียบอสนีกลืนกิน’ ที่ครอบครองเปี่ยมพลังทำลายล้าง ในมือถือครองศาสตรามรรคนามว่า ‘แส้อสนีดาราเลิศ’ อานุภาพน่ากลัวยิ่ง
ผานอู่ฝูเซิง ผ่านเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพห้าครั้ง ครอบครอง ‘กฎระเบียบปัญจธาตุ’ ใช้กระบี่มรรคนามว่า ‘สวรรค์ปัญจธาตุ’
ชางหลงเยวี่ย ข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาแล้วห้าครั้ง ครอบครอง ‘กฎระเบียบพันประตู’ ศาสตรามรรคของเขาคือ ‘หนามเพลิงลาม’
จื่อเชออู๋จี้ ข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาแล้วสี่ครั้ง ครอบครอง ‘กฎระเบียบเทพผสาน’ ศาสตรามรรคคือทวนยาวนามว่า ‘ผลาญฉิมพลี’
ได้รู้ข้อมูลเหล่านี้หลินสวินก็เอ่ยถาม “ผู้อาวุโสทุกท่านคิดว่าพวกเราควรเล่นงานใครในสี่คนนี้ก่อน”
สิงเจี้ยนสยาย้อนถาม “สหายน้อยคิดอย่างไร”
“เอาตามความรู้สึก จื่อเชออู๋จี้ดูจัดการง่ายที่สุด แต่ถ้าใช้โอกาสเช่นนี้กับเขาก็สิ้นเปลืองไปอย่างไม่ต้องสงสัย”
หลินสวินพูด “กฎระเบียบพันประตูที่ชางหลงเยวี่ยควบคุมเกี่ยวข้องกับพลังแห่งกาลเวลา พลังเช่นนี้แปลกประหลาดและเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนที่สุด ไม่อาจป้องกันได้อย่างรัดกุม จะเล่นงานเขาเป็นคนแรกไม่ได้”
สุดท้ายหลินสวินสรุปว่า “จากที่ข้าดู เลือกระหว่างเย่เจวี๋ยและผานอู่ฝูเซิง”
สิงเจี้ยนสยาส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “สหายน้อยวิเคราะห์ได้ไม่เลว แต่กลับมองเห็นเพียงผิวเผิน”
“ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”
“ในสี่คนนี้จื่อเชออู๋จี้ดูเหมือนเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด แต่ความจริงกลับแข็งแกร่งที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาซึ่งข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาสี่ครั้งไม่มีทางถูกซินหูกับเหลยซ่งพาเข้าโลกบัวชะตา”
สิงเจี้ยนสยากล่าว “และคนที่เคยสู้กับเขามาแล้วจริงๆ ถึงพบว่า พลังต่อสู้ของเขาเหนือกว่าเย่เจวี๋ย เพียงด้อยกว่าซินหู เหลยซ่งเล็กน้อย”
หลินสวินอดอึ้งไม่ได้ เรื่องนี้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ
จากเรื่องนี้สามารถมองออกว่าอาศัยเพียงพลังปราณย่อมตัดสินผิดพลาดได้ง่าย
แน่นอนว่าหากศัตรูคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่ขั้นสรรสร้างที่อ่อนแอ ก็ย่อมตัดสินใจผิดพลาดได้เช่นกัน
ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรับรู้ที่ผิดเพี้ยน
……
เจ็ดวันหลังจากนั้น
พวกซินหู เหลยซ่งออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังภูเขาเทพใบบัว
ระหว่างทางซินหูกล่าวอย่างรวดเร็ว “เจ้าเฒ่าสารเลวสิงเจี้ยนสยานั่นต้องเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีแน่ และสิ่งเดียวที่พวกเราต้องระวังก็คือ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ที่ไม่อาจล่วงรู้นั่น ก็หมายความว่าหลังจากไปถึงภูเขาเทพใบบัว ทุกคนจะต้องระมัดระวังและรอบคอบ หากมีอันตรายเกิดขึ้นให้ถอนตัวทันที จะให้โอกาสอีกฝ่ายไม่ได้”
พวกเหลยซ่งต่างพยักหน้า
พวกเขาล้วนเป็นเฒ่าชราที่ต่อสู้เข่นฆ่ามาไม่รู้นานเท่าไร ทั้งชีวิตนี้ผ่านเรื่องราวมามากมาย ผ่านลมคาวฝนเลือด มีหรือจะไม่รู้ความอันตรายของสถานการณ์ตรงหน้า
ความโกรธไม่มีทางแก้ปัญหาได้
และการเริ่มต้นแก้แค้น สิ่งที่ต้องรับรองเป็นอันดับแรกคือตนต้องรอดชีวิตก่อน!
หืม?
เพียงแต่ยังไม่รอไปถึงภูเขาเทพใบบัว จู่ๆ เงาร่างของพวกซินหูล้วนหยุดชะงัก สายตามองไปไกลๆ โดยพร้อมเพรียง กลิ่นอายทั่วตัวแผ่พุ่งสะท้านสะเทือน
ชั่วขณะเดียวขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ทั้งหกอย่างพวกเขาเตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว ความเร็วของการตอบสนองเรียกได้ว่าน่าทึ่ง
ฟ้าดินสั่นไหว สิบทิศล้วนสะเทือน
ไอสังหารน่ากลัวราวกับกระแสน้ำที่ปกคลุมฟ้าดิน แทรกซึมอยู่ทุกอณูในห้วงอากาศ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นอยู่ที่นี่คงรับการกดข่มของไอสังหารเช่นนี้ไม่ไหว
และในเวลาเดียวกัน เสียงหัวพวกเราะดังกังวานขึ้น “ทุกท่าน พวกเรารออยู่นานแล้ว”
ที่มาพร้อมกับเสียงนั้นคือเงาร่างของสิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลี เหรินฟู่เทียนปรากฏตัวกลางอากาศ
ภาพนี้ทำให้ดวงตาของพวกซินหู เหลยซ่งต่างหดรัดลง
หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าพวกเขาทุกคนล้วนเตรียมพร้อมโจมตี เหมือนคันธนูที่ถูกขึงตึง ราวกับเพียงแค่มีลมพัดมาเล็กน้อยพวกเขาก็จะปะทุพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาทันที!
“ผู้แข็งแกร่งในฐานที่มั่นพวกเราถูกพวกเจ้าจัดการใช่หรือไม่”
ซินหูในชุดภิกษุสีขาว หล่อเหลาราวกับชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงต่ำลึก
“ไม่ผิด”
สิงเจี้ยนสยาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
พวกซินหู เหลยซ่งฮือฮาระลอกหนึ่ง สีหน้าต่างมืดทะมึน เรื่องนี้ถึบกับเกี่ยวข้องกับศัตรูเก่าพวกนี้จริงๆ
“อาศัยพลังของพวกเจ้าสามคนน่ะหรือ”
เหลยซ่งกล่าวเสียงขรึม เขาสวมชุดเขียวทั้งตัว รูปร่างซูบผอม เต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบ ยามกล่าววาจากลิ่นอายน่ากลัวทั้งร่างสะเทือนจนห้วงอากาศรอบๆ พังถล่ม
สิงเจี้ยนสยาที่อยู่ห่างไปไกลเอ่ยอย่างตรงไปตรงมามาก “แน่นอนว่าไม่ใช่”
“เช่นนั้นยังมีใครอีก”
เย่เจวี๋ยถาม เขาอยู่ในชุดม่วง ร่างสูงใหญ่ยิ่ง ในมือถือแส้ยาวที่พร่างพราวแวววาว แผ่ประกายดาราไพศาลออกมา มีสายฟ้าเล็กละเอียดดุจเส้นขนพุ่งผ่านภายในไม่หยุด
“เหอะๆ”
สิงเจี้ยนสยาหัวเราะ “อยากรู้หรือ ต่อสู้สักรอบก็จะรู้เอง”
ท่าทีสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ของเขาทำให้พวกซินหู เหลยซ่งต่างขมวดคิ้วอย่างกลั้นไม่อยู่
“ดูท่าเฒ่าชราอย่างพวกเจ้าคงเตรียมตัวมาดียิ่ง ถึงได้กล้าไม่เกรงกลัวเช่นนี้”
ซินหูถอนหายใจเบาๆ
ความไม่รู้ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด
ตอนนี้สำหรับซินหู สิ่งที่เสียเปรียบที่สุดคือพวกเขาไม่อาจแน่ใจว่า ‘การเปลี่ยนแปลง’ นั้นเกิดจากใครกันแน่
นี่ทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือโดยพลการ
“หากไม่เตรียมตัวให้ดีพวกเราจะกล้ารออยู่ที่นี่หรือ”
สิงเจี้ยนสยายิ้มกล่าว
“เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เฝ้ารอที่ภูเขาเทพใบบัว”
จู่ๆ จื่อเชออู๋จี้ก็ถามขึ้น เขาสวมชุดผ้าป่าน กระดูกหนาร่างใหญ่ ผมดำยาวสยาย ประกายดาราสีทองวับวาวในดวงตา เย็นเยียบน่ากลัว
เขากุมทวนดำสนิทยาวแปดจั้งเต็ม ตัวทวนสลักสัญลักษณ์กฎระเบียบที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาด ตรงปลายทวนมีแสงเลือดประหลาดแดงสด กลิ่นอายที่แผ่ออกมาผ่าแหวกห้วงอากาศบริเวณนั้นเป็นรอยวังวนนับไม่ถ้วน พาให้คนหวาดหวั่น
“แน่นอนว่าเพื่อต้อนรับพวกเจ้า แล้วก็ไม่อยากให้การต่อสู้ระหว่างพวกเราส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ บนภูเขาเทพใบบัวด้วย”
ตั้งแต่ต้นจบจนสิงเจี้ยนสยาดูเปิดเผยและเยือกเย็นมาก ฟู่หนานหลีและเหรินฟู่เทียนที่อยู่ข้างๆ จ้องมองนิ่งๆ อยู่ตลอด ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
“พวกเจ้าไม่กลัวพวกเราบุกไปหรือ”
เหลยซ่งเลิ่กคิ้ว
“มีพวกข้าอยู่ พวกเจ้าอยากโจมตีเข้ามาคงไม่ง่าย”
สิงเจี้ยนสยากล่าว
ซินหูพูด “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าไพ่ตายที่แท้จริงของพวกเจ้าอยู่ที่ภูเขาเทพใบบัว”
ในใจคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจเช่นกัน
ว่ากันถึงที่สุดยังคงเป็นเพราะพวกเขาไม่อาจมั่นใจได้ว่า ‘การเปลี่ยนแปลง’ ที่ยังไม่รู้นั่นคืออะไร ตอนนี้จึงได้ระมัดระวังเช่นนี้ และไม่สามารถดูออกได้อย่างแท้จริงว่าพวกสิงเจี้ยนสยากำลังวางแผนสร้างสถานการณ์ หรือว่ายังมีการซุ่มโจมตีที่พวกเขาไม่รู้ซ่อนอยู่
ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานมาก ต่อให้เป็นการหยั่งเชิงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังมีความรู้สึกที่ถูกคนอื่นควบคุม
กลับเห็นสิงเจี้ยนสยาถอนหายใจยาว “คำถามของพวกเจ้ามากไปแล้ว หากครั้งนี้พวกเจ้ามาเพื่อพูดคุย พวกข้าไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
พูดจบเขากับฟู่หนานหลีและเหรินฟู่เทียนก็หมุนตัวจะจากไปโดยตรง
ภาพกะทันหันนี้ทำให้พวกซินหูหนังตากระตุก สีหน้ายิ่งอึมครึม เจ้าเฒ่าสารเลวที่สมควรตายพวกนี้มาไม้ไหนกันแน่
เป็นการแสร้งปล่อยเพื่อจับหรือ
เป็นการวางแผนสถานการณ์หรือ
เป็นกับดักหรือ
เป็น…
พวกเขาเดาไม่ออกจริงๆ นี่ทำให้สีหน้าของพวกเขายิ่งไม่น่ามอง
“แค่นี้ย่อมไม่อาจคาดเดาสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนแน่ คงต้องลงมือหยั่งเชิงสักหน่อย”
เย่เจวี๋ยสีหน้าเย็นเยียบ
“ก็ดี พวกเขาจะกลับภูเขาเทพใบบัว พวกเราก็ไปด้วย อยากดูนักว่าพวกเขาจะทำอะไรกันแน่”
ซินหูสูดหายใจลึกคราหนึ่ง กดความสงสัยในใจก่อนตัดสินใจ
จากนั้นพวกเขาพลันก้าวผ่านห้วงอากาศตามไปด้วย
ต่อให้พวกสิงเจี้ยนสยาหันหลังให้พวกเขา ต่อให้เป็นโอกาสดีในการลอบโจมตี แต่พวกเขาก็ระงับความวู่วามที่หมายจะลงมือเอาไว้
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้พวกสิงเจี้ยนสยาล้วนรับรู้ได้ด้วยจิตรับรู้ มุมปากพวกเขาเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ความรู้สึกนี้…
ช่างเหมือนกำลังจูงสุนัขเดินเล่น!