ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 404 หายไปคนหนึ่ง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 404 หายไปคนหนึ่ง

ฝูงชนพลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วระลอกหนึ่ง ทำให้เด็กหนุ่มสี่คนที่รวมตัวออกมามุงดูด้วยกันแยกตัวกระจายไป ตามการเข้ามาใกล้ของบัณฑิตจอหงวน[1]

“คุณชายลั่ว คนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงก็คือบัณฑิตจอหงวนหรือ” เสี่ยวชีอาศัยพละกำลังที่มีมากเบียดกลับไปข้างกายลั่วเฉินแล้วชี้ไปทางซูเย่าซึ่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ พลางถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“อืม” ลั่วเฉินตอบเรียบๆ เอ่ยในใจว่า ก็มีสองตากับหนึ่งปากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเสี่ยวชีตื่นเต้นอะไร

ลั่วเฉินไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ให้กับซูเย่า

เสี่ยวชีหัวเราะเหอๆ อย่างโง่งม “ข้าไม่เคยเจอบัณฑิตจอหงวนน่ะ พบเจอได้น้อยและประหลาดมาก บัณฑิตจอหงวนหน้าตาดีจริงๆ…”

สายตาเฉียบคมประดุจมีดสาดมา เด็กหนุ่มหน้าดำหุบปากอย่างว่าง่าย

สวี่ซีถูกกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผลักออกไปไกลเล็กน้อย ตอนนี้ความได้เปรียบจากการผ่าฟืนทุกวันแสดงออกมาแล้ว เขาหิ้วคนที่ขวางทางหลายคนออกไปอย่างสบายๆ ขณะเบียดไปถึงข้างกายพวกลั่วเฉิน

“พวกเจ้าติดตามข้าให้ดี หากว่าหายไป ร้องไห้ขี้มูกโป่งก็สายเสียแล้ว” สวี่ซีเอ่ยเตือน

“ดูแลตัวเจ้าให้ดีก็พอ” ลั่วเฉินตอบกลับเรียบๆ

คนที่ไม่มีเรื่องอะไร แต่ดันหาเรื่องใส่ตัวจนเกือบจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคณิกาชายจะสามารถเชื่อถือได้มากแค่ไหนกัน

ลั่วเฉินแววตาเคร่งเครียด ตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง ฟู่เสวี่ยล่ะ?

“เจ้าไม่ได้อยู่กับฟู่เสวี่ยหรือ”

สวี่ซีอึ้ง “ไม่นะ หลังถูกเบียดออกไป ข้าเห็นเจ้ากับเสี่ยวชีจึงเดินมาหา”

“เช่นนั้นฟู่เสวี่ยล่ะ” ลั่วเฉินมองไปรอบๆ สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา

เสี่ยวชีแหกปากตะโกน “ฟู่เสวี่ย ฟู่เสวี่ย เจ้าอยู่ไหนน่ะ…”

เสียงตะโกนนี้ถูกคลื่นเสียงแซ่ซ้องกลบมิด

“ดูเหมือนว่าฟู่เสวี่ยจะหายไปแล้ว ทำอย่างไรดี” เสี่ยวชีมองไปทางลั่วเฉิน

เงามืดจากการถูกขายเข้าไปในหอคณิกาชายยังอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบคนที่เป็นนายบำเรอของคุณหนูลั่ว แต่ฟู่เสวี่ยจะต้องถูกบีบบังคับอย่างแน่นอน จะว่าไปก็เป็นคนที่น่าสงสารเช่นกัน

ข้อมือถูกคนคว้าเอาไว้

“หาคนน่ะได้ แต่ไม่แยกกันจะดีกว่า” ลั่วเฉินเอ่ยเช่นนี้ แต่ก็สังเกตรอบๆ ตลอด

ในใจเขาเกิดความกระวนกระวายขึ้นมาเลือนราง

เห็นอยู่ชัดๆ ว่า เมื่อครู่หลายคนยังอยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะถูกฝูงชนชนจนซ่านเซ็น คนเป็นๆ คนหนึ่งก็ไม่ถึงขนาดที่จะหายไปได้ในพริบตาเดียวหรอก

และคนที่หายไปก็ดันเป็นฟู่เสวี่ย

ลั่วเฉินกวาดตามองเสี่ยวชีเงียบๆ แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยในใจ หากว่าเป็นเจ้าเด็กตัวดำที่หายไปแทน ก็ไม่ต้องกระวนกระวายใจเลยด้วยซ้ำ

กลุ่มคนไหลไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่องตามการผ่านไปของบัณฑิตจอหงวน เด็กหนุ่มสามคนเดินตามหา โดยสวนกระแสผู้คนไปครู่หนึ่ง ไม่เพียงหาคนไม่พบ แต่เสี่ยวชียังถูกเหยียบจนรองเท้าหายไปข้างหนึ่งเพราะคุ้มครองลั่วเฉินด้วย

ลั่วเฉินเอ่ยเสียงเด็ดขาดว่า “ไม่หาแล้ว กลับหอสุรากันก่อน”

แม้ว่าเสี่ยวชีจะคุ้นชินกับวาจาของลั่วเฉิน แต่ตอนนี้กลับเผยสีหน้าลังเลออกมา “พวกเราออกมาด้วยกัน ตอนนี้ฟู่เสวี่ยหายไป จะกลับไปทั้งแบบนี้ไม่ได้หรอก”

สวี่ซีเอ่ยสำทับ “นั่นสิ หาอีกหน่อยเถอะ หาเจอแล้วก็กลับไปด้วยกัน”

ทำนายบำเรอของนางปีศาจสาวหายไป หลังกลับไปปีศาจสาวต้องจัดการเขาแน่นอน

“หาแบบนี้ เกรงว่าคงหาไม่เจอ กลับไปเรียกกำลังคนมาเพิ่มแล้ว ค่อยตั้งใจหากันอีกครั้ง” ลั่วเฉินเอ่ยน้ำเสียงเด็ดขาด

หากว่าเป็นแค่การถูกชนจนหายไป ฟู่เสวี่ยก็ไม่ใช่คนโง่ จะต้องรู้ว่าควรยืนรอในสถานที่ที่สะดุดตา

เขาสงสัยว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับฟู่เสวี่ย

หากเป็นแบบนี้ล่ะก็ แทนที่จะตามหามั่วซั่วอย่างไร้เบาะแสกันสามคน ไม่สู้กลับไปรายงานข่าวดีกว่า

สวี่ซีไม่อยาก (ไม่กล้า) กลับไปทั้งแบบนี้ “หากว่าพวกเราจากไปแล้วฟู่เสวี่ยมาหาล่ะ จะไม่เป็นการคลาดกันหรือ ไม่สู้เอาแบบนี้แล้วกัน พวกเจ้าสองคนกลับไปรายงานข่าว ข้าจะหาดูอีกครั้ง”

ลั่วเฉินครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ได้”

เมื่อเห็นลั่วเฉินกับเสี่ยวชีจากไปแล้ว สวี่ซีก็มองไปรอบๆ แล้วมุ่งหน้าไปตามหาในแต่ละตรอกซอย

อาศัยประสบการณ์ สถานที่เหล่านี้ ปกติจะไม่มีเรื่องดีอะไร

ตอนนี้ฟู่เสวี่ยกำลังถูกเว่ยเฟิงลากเข้ามาในตรอกเล็กๆ ซึ่งเปลี่ยวลับตาคน

“ท่าน ท่านคือผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ” หลังเห็นคนตรงหน้าชัดเจน ฟู่เสวี่ยก็นึกออก

ต้าไป๋เคยกัดบั้นท้ายคนผู้นี้

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ’ ก้นบึ้งนัยน์ตาเว่ยเฟิงก็มีประกายเย็นเยียบพาดผ่าน

เขาปะปนอยู่ในกลุ่มคน คิดหาโอกาสเข้าใกล้ฟู่เสวี่ย ตอนที่คลื่นฝูงชนชนหลายคนนี้จนกระจัดกระจายก็อดไม่ได้ที่จะลงมือ

เมื่อได้สติคืนมา ฟู่เสวี่ยก็ถูกเขาปิดปากลากมาถึงที่นี่แล้ว

จะว่าไปแล้ว เขาก็แค่บุ่มบ่ามขึ้นมาชั่วขณะ

ทว่าเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เสียใจในภายหลังไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็ไม่มีใครเห็นเขาลักพาตัวฟู่เสวี่ย เขาแค่ต้องซ่อนคนเอาไว้ให้ดี นับตั้งแต่นี้…

คิดถึงภาพเหตุการณ์หลังจากนี้ว่า จะมีเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบอยู่เคียงคู่ เว่ยเฟิงก็อดโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้

เมื่อเขายิ้มเช่นนี้ก็ทำให้ฟู่เสวี่ยตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ท่านมีเรื่องอะไรหรือ”

แม้ว่าเขาจะไร้เดียงสา แต่กลับไม่ได้โง่ คนผู้นี้ไม่ทักทายอะไรก็ลากเขามาที่นี่ จะต้องไม่ใช่คนดีแน่นอน

ก็ใช่ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อวางแผนจะจัดการต้าไป๋ด้วย ครั้งที่แล้วที่เห็นต้าไป๋ก็อยากจะกินงานเลี้ยงโต๊ะจีนที่มีแต่ห่านเป็นอาหาร

อ๊ะ หรือว่าอ๋องผิงหนานซื่อจื่อคิดจะบีบให้เขามอบต้าไป๋ออกไป

ฟู่เสวี่ยนึกถึงตรงนี้ก็โมโหจนหน้าแดง “ข้าไม่มีทางรับปากเด็ดขาด!”

เว่ยเฟิงอึ้ง จากนั้นก็มีสีหน้าเย็นชา

คิดไม่ถึงว่า ฟู่เสวี่ยถึงกับรู้ความคิดของเขา!

เขายังกลัวว่า ฟู่เสวี่ยจะยอมรับได้ยากไปชั่วขณะจึงคิดจะกล่อมคนให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้กลับไม่จำเป็นแล้ว

เว่ยเฟิงยื่นมือออกไปบีบคางฟู่เสวี่ย “ไม่รับปากหรือ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมีอำนาจตัดสิน ข้าถูกใจเจ้า ถือว่าเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว!”

ฟู่เสวี่ยเบิกตากว้าง “ท่านพูดอะไรนะ”

ถูก ถูกใจเขา? ไม่ใช่ต้าไป๋หรือ

เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามีตรงไหนที่ผิดปกติรางๆ

“ทำไม ติดตามข้าดีสู้คุณหนูลั่วไม่ได้หรือ” เว่ยเฟิงมองเด็กหนุ่มที่ตระหนกกลัวและทำอะไรไม่ถูกแล้วก็ขมวดคิ้ว “เกรงว่าเจ้าคงไม่รู้ว่า คุณหนูลั่วเลี้ยงงู ในภายหลังนางเบื่อเจ้าแล้วก็จะโยนเจ้าเข้าไปในหลุมงู…”

ฟู่เสวี่ยหน้าถอดสี “คุณหนูไม่ทำเช่นนั้นหรอก”

เขาทั้งเชื่อฟัง ทั้งดูแลต้าไป๋ได้ คุณหนูจะเบื่อเขาได้อย่างไร

เว่ยเฟิงอิจฉาในใจ “เจ้าเชื่อมั่นในตัวคุณหนูลั่วเสียจริง แต่กระทั่งนายบำเรอที่รวมเจ้าอยู่ด้วย นางก็มีถึงสามคน…”

“สองคน” ฟู่เสวี่ยได้ยินก็รีบชี้แจง

มีเขากับพี่หมิงจู๋ สามคนที่ไหนกัน

“ข้าสอบถามมาแต่แรกแล้ว เจ้าคนหนึ่ง จวนแม่ทัพใหญ่ยังมีอีกคนหนึ่ง รวมกับคนที่เคยเป็นฉางชุนโหวซื่อจื่อ ไม่ใช่สามคนแล้วจะกี่คน”

สวี่ซีที่เพิ่งจะมาถึงที่นี่ตัวแข็งค้างอยู่กับที่

รวม…เขา…หรือ

เว่ยเฟิงใช้นิ้วคลึงคางฟู่เสวี่ยเบาๆ เสียงอ่อนลง “ข้ารับรองว่า หลังจากนี้ข้าจะต้องการเจ้าเพียงคนเดียว”

“ท่าน ท่านต้องการให้ข้าเป็นนายบำเรอหรือ” ในที่สุดฟู่เสวี่ยก็ยืนยันความตั้งใจของอีกฝ่ายได้

ดวงหน้าเล็กของเด็กหนุ่มซีดเผือด นัยน์ตามีละอองน้ำรางๆ คล้ายกับกวางน้อยหลงทางตัวหนึ่ง

เว่ยเฟิงที่เห็นเข้าก็ใจอ่อน เอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ข้าจะดีต่อเจ้า”

แพขนตาของเด็กหนุ่มซึ่งเหมือนกวางน้อยอ่อนแอในสายตาเขาสั่นไหว ทันใดนั้นเขาก็แหกปากตะโกนว่า “ช่วยด้วย ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อฉุดคนแล้ว…”

เว่ยเฟิงใช้มือปิดปากฟู่เสวี่ยไว้ เอ่ยอย่างโมโหว่า “มองข้ามความหวังดีของผู้อื่น! เจ้าตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีประโยชน์ ผู้คนล้วนไปดูบัณฑิตจอหงวนเดินขบวนกันแล้ว…”

“ใครบอกกัน!” เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังลอยมาจากด้านหลัง

เว่ยเฟิงหันหน้าไปมองตามจิตใต้สำนึกก็ถูกหมัดหนึ่งชกเข้าที่ใบหน้า

“รวมข้าเข้าไปด้วยหรือ” อีกหมัดหนึ่ง

“ข้าคือนายบำเรอของคุณหนูลั่วหรือ” หมัดที่รุนแรงกว่าเดิมชกลงไป

เว่ยเฟิงไม่ใช่คนที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่[2] หลังถูกต่อยไปสองหมัดก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที เขายกมือขวางหมัดนี้เอาไว้แล้วคว้าหมับเข้าที่ข้อมือสวี่ซีตามสถานการณ์

“หนีเร็ว!” สวี่ซีตะคอกใส่ฟู่เสวี่ย

[1] บัณฑิตจอหงวน คือ ผู้ที่มีผลสอบอันดับหนึ่งของการสอบในสมัยโบราณ โดยอันดับหนึ่งจะได้รับฉายาว่า จอหงวน

[2] ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ หมายถึง บอบบาง พละกำลังน้อย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท