คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 692 ทำความดีต้องทิ้งชื่อไว้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 692 ทำความดีต้องทิ้งชื่อไว้

ดั่งคำกล่าวที่ว่า ต้องตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ ฉินหลิวซีถือโอกาสสอนวิชาบางอย่างให้กับเฮยซา เมื่อเห็นว่าเขาใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แววตาก็แฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ

อย่างไรเสียก็เป็นภูตภูเขา ได้รับการฝึกบำเพ็ญจากภูเขา ย่อมมีพลังวิญญาณและพรสวรรค์ ซ้ำยังมีโอกาสโชคลาภ ตราบใดที่มีคนคอยชี้นำแนวทาง ก็จะยิ่งเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

เฮยซากลับรู้สึกว่าอารมณ์มีความซับซ้อน มองฉินหลิวซีพลางเอ่ย “ที่แท้การฝึกบำเพ็ญล้วนมีวิธีการฝึกฝน ข้าคิดว่าการฝึกบำเพ็ญเพียงนอนหลับอยู่เฉยๆ อย่างข้าก็พอแล้วเสียอีก”

ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้ม เจ้ากำลังโอ้อวดอยู่หรือ

“แม้แต่เวลาที่ได้แต่งตั้งเป็นเทพเจ้า คนธรรมดาฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนก็ล้วนมีวิธีการไม่ใช่หรือ แม้ว่าตอนนี้ในโลกมนุษย์จะขาดพลังวิญญาณ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย ทุกสรรพสิ่งที่มีวิญญาณจึงมาที่นี่ เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น วิญญาณแห่งขุนเขา และวิธีการทั้งหมดก็สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณไม่ใช่หรือ เพียงแต่หลังจากประสบกับการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ หลายๆ อย่างได้หายไป ดังนั้นตอนนี้ไม่มีคนฝึกบำเพ็ญเป็นเซียน และไม่มีใครได้แต่งตั้งเป็นเทพ วงจรการเกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ฉินหลิวซีก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าซื่อหลัวจะใช้วิธีอะไรกลายเป็นเทพเจ้า

นางมองไปยังเฮยซาแล้วเอ่ยต่อ “พุทธศาสนาก็มีการปฏิบัติของพุทธศาสนา ลัทธิเต๋าเสวียนเหมินก็มีวิธีการปฏิบัติของตนเอง ปุถุชนคนธรรมดา อย่างเช่นผู้มีวรยุทธ์ในยุทธภพก็มีสำนักมากมายที่มีวิธีฝึกเพลงยุทธ์เป็นของตัวเอง ก็ล้วนอาศัยคำสั่งสอนและตระหนักได้ด้วยตัวเอง ฝึกฝนทีละน้อย ดังนั้นไม่ว่าจะเรียนสิ่งใดก็ย่อมมีแบบแผน ตราบใดที่วิธีการฝึกฝนถูก ก็จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว หากเจ้าเก่งมากพอ ก็จะสามารถเพิ่มแนวคิดของตัวเองลงในแบบแผนได้ สร้างแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งกว่า นี่เรียกว่าการยืดหยุ่นตามความเหมาะสม”

เฮยซาเอ่ยว่า “เจ้าสอนข้าเช่นนี้ นับว่าเป็นอาจารย์ของข้าหรือไม่”

“เจ้าฝันไปเถิด!” ฉินหลิวซีสบถอย่างดูหมิ่น “ข้ามีลูกศิษย์แล้ว ก็เพียงชี้แนะเจ้าเล็กน้อย ต่อไปนี้เจ้าก็เรียนรู้เอง”

เลี้ยงศิษย์ไม่ต้องใช้เงินหรืออย่างไร

เฮยซาท่าทางลำบากใจ แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางไม่ยอมรับ แต่เคยสอนเขา ก็นับว่าเป็นครึ่งอาจารย์กระมัง

ฉินหลิวซีเหลือบมองเขาพลางถามว่า “เป็นเพราะเลือดของข้าเข้าสู่ร่างกาย ตบะของเจ้าจึงได้พลุ่งพล่านขึ้นมาจริงๆ หรือ”

เฮยซาพยักหน้า “แม้ว่าจะไม่ได้พัฒนาขึ้น แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ว่ากันว่ากระดูกและเลือดของคนที่มาจากโลกอื่นจะสามารถทำให้เป็นอมตะได้ ตบะเพิ่มขึ้นมหาศาล นับว่าเป็นเรื่องจริง”

ฉินหลิวซีก้มหน้ามองมือทั้งสองข้าง เป็นเช่นนั้นจริงหรือ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน

“เจ้าระวังหน่อยจะดีกว่า อย่าให้ใครรู้เข้า มิเช่นนั้นจะกลายเป็นของหวาน อย่าว่าแต่กระดูกกับเนื้อเลย เพียงแค่เลือดเล็กน้อยก็นับว่าดีแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจบเห่แน่” เฮยซากล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน

ฉินหลิวซีหัวเราะในลำคอ “ข้าก็อยากรู้ว่าใครจะกล้า” นางมองไปยังเฮยซา ถามว่า “จริงสิ ในวันปกติที่เจ้าฝึกบำเพ็ญ ในเมื่อโดยพื้นฐานแล้วเจ้าอาศัยพลังวิญญาณ แล้ววิชาที่เจ้าสร้างขึ้นมาคิดออกได้อย่างไร เขตพุทธะนั่น เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ในนั้นมีเสียงสวดภาษาสันสกฤตด้วย”

เฮยซาจึงเอ่ยตอบ “ตอนที่ฝึกบำเพ็ญข้าก็ได้ยินเสียงสวดภาษาสันสกฤตเหล่านี้ ข้ารู้สึกหงุดหงิดและไม่สบายใจ ก็เลยหล่อหลอมมันขึ้นมาเป็นเขตพุทธะ ร้ายกาจมากใช่หรือไม่”

ฉินหลิวซีมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ที่แท้ก็มีที่มาเช่นนี้

ขณะที่ฝึกบำเพ็ญก็มีเสียงสวดภาษาสันสกฤตเข้ามาในหู นางลดสายตาลงอย่างครุ่นคิด

“กลับไปกันเถิด จำคำที่ข้าบอกกับเจ้าไว้ ในเมื่อกลายร่างเป็นคนแล้ว ก็ต้องมีจิตสำนึกของความเป็นคน อย่าทำให้คนตกใจ” ฉินหลิวซีเอ่ย

เฮยซาส่งเสียง “อ้อ” อย่างไร้เดียงสา

เดิมทีคิดว่าการเป็นคนค่อนข้างยุ่งยาก แต่ตอนนี้เห็นแก่ที่นางชี้แนะแก่ตัวเอง เช่นนั้นก็ลองดู

เมื่อทั้งสองกลับมาที่ร้านเฟยฉางเต๋าอีกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เฉวียนจิ่งกำลังรอนางอยู่

“ท่านเจ้าอาวาสน้อยกลับมาแล้ว เมื่อวานเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างท่านก็ไม่อยู่ พวกเรายังได้นำบ๊ะจ่างมาให้ด้วย เมื่อเจอท่านอีกครั้งก็เลยเทศกาลไปแล้ว” เฉวียนจิ่งเอ่ยขึ้น

ฉินหลิวซียิ้ม “ไม่เป็นไร พวกเราคือผู้ที่ออกบวช ไม่ได้ให้ความสนใจกับเทศกาล เจ้าใส่ใจแล้ว ย้ายไปที่ห้องส่วนตัวเถิด ข้าจะฝังเข็มให้เจ้า”

เฉวียนจิ่งเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม

เมื่อมาถึงห้องส่วนตัว ฉินหลิวซีก็ฝังเข็มอย่างเชี่ยวชาญ ขณะที่ปล่อยเข็มทิ้งไว้ก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าจับแมงป่องทองกลับมาแล้ว”

“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ”

เฉวียนจิ่งรู้สึกประหลาดใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทันทีที่กำลังจะขยับ ก็ถูกฉินหลิวซีกดแขนไว้ “ขณะปล่อยเข็มทิ้งไว้ห้ามขยับ เดี๋ยวเข็มจะเคลื่อน เจ้าก็อย่าดีใจเร็วเกินไป แมงป่องทองมีพิษร้ายแรงกว่าที่ข้าคิดไว้”

เฉวียนอันที่อยู่ด้านข้างได้สติกลับมา เมื่อได้ยินคำพูดนี้จึงรีบถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อยหมายความว่าอย่างไรหรือ”

“กล่าวง่ายๆ ก็คือพิษของมดคันไฟราวกับไฟแผดเผา แต่พิษของแมงป่องทองราวกับน้ำกรด สามารถกัดกร่อนทรายได้” ฉินหลิวซีมองเขาพลางเอ่ย “พิษเช่นนี้ หากจัดการไม่ดีเจ้าจะตายได้”

แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เฉวียนจิ่งและคนอื่นๆ ก็ยังคงหน้าซีด แม้แต่ริมฝีปากก็ซีดไปด้วย

“คือว่า เหตุใดแมงป่องจึงได้มีพิษร้ายแรงเช่นนี้”

ฉินหลิวซีคิดในใจ สิ่งที่มีพิษที่อยู่ที่นั่นมีพิษร้ายแรง อาจเป็นเพราะพลังวิญญาณในพื้นที่แห่งนั้นอุดมสมบูรณ์มากกว่าโลกภายนอก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีพิษหรือเป็นหญ้าวิญญาณเหล่านั้น คุณภาพก็จะดีกว่า

“ไม่ต้องกังวล ในเมื่อรู้ถึงความเป็นพิษของมันแล้ว ข้าย่อมไม่มีทางให้เจ้าถูกพิษจากแมงป่องทองเช่นนี้เด็ดขาด ยานี้ข้าจะต้องปรับสภาพความเป็นกลางสักหน่อย มิเช่นนั้นร่างกายของเจ้าไหนเลยจะรับไหว” ฉินหลิวซีเอ่ยปลอบโยนด้วยรอยยิ้ม

เฉวียนจิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “ข้าเชื่อเจ้าอาวาสน้อย”

“เด็กดี!”

เฉวียนจิ่งปลายหูแดง “?”

น้ำเสียงราวกับปลอบเด็กน้อยนี่มันอะไรกัน

ฉินหลิวซีไปฝังเข็มให้ตู้เหมี่ยนต่อ มีผลหลิงกั่วแล้ว เขาฟื้นตัวเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม บาดแผลค่อยๆ สมานตัว มีชีวิตชีวามากขึ้น

ตู้เหมี่ยนเองก็รับรู้ได้เช่นกัน เอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ที่รับปากไว้ว่าจะบริจาควิหารทองคำให้กับอาราม ข้าได้ส่งคนไปปรึกษากับทางอารามแล้ว พวกเราเป็นคนนอก ไม่รู้ว่าควรซ่อมแซมตำหนักอย่างไร จึงทำได้เพียงใช้วิธีที่ธรรมดาที่สุดก็คือบริจาคค่าน้ำมันตะเกียง สำหรับคนซ่อมแซมวิหาร หากท่านต้องการข้าก็สามารถให้คนไปหามาให้ได้ ขอท่านเจ้าอาวาสน้อยโปรดอภัยด้วย”

ฉินหลิวซีหัวเราะพลางเอ่ย “ท่านใส่ใจแล้ว แต่ค่าน้ำมันตะเกียงนี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราทั้งหมด ในเมื่อท่านมีพวกเฉาปังอยู่ในมือ คาดว่าคงมีเส้นสายกว้างขวาง ไม่ทราบว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกได้หรือไม่”

“ท่านว่ามาได้เลย”

“ในทุกๆ ปีอารามชิงผิงจะบำเพ็ญการกุศล ปีนี้ทางด้านดินแดนสู่มีภัยพิบัติ ขอให้หัวหน้าสมาคมตู้ใช้สามส่วนของค่าน้ำมันตะเกียงหักออกเป็นค่าเสบียงอาหารกับวัตถุดิบยาที่ใช้ในการรักษาโรค ใช้เส้นทางน้ำของพวกท่านส่งไปที่นั่น ทำการกุศลในนามของอารามชิงผิงของพวกเรา” ฉินหลิวซีคิดในใจ ‘ในเมืองหลวงได้ทำไปแล้วส่วนหนึ่ง หากมีส่วนนี้ด้วย ทำการกุศลในดินแดนสู่ก็นับว่าเพียงพอแล้ว’

ส่วนการทำความดีโดยไม่ทิ้งชื่อนั้น นางไม่ต้องการความสูงส่งเช่นนั้น โดยเฉพาะอารามชิงผิง ซึ่งต้องการผู้ศรัทธา และต้องการควันธูป ด้วยชื่อเสียงที่ดีเช่นนี้ ความศรัทธาจึงจะยิ่งใหญ่

อีกอย่างอารามชิงผิงของพวกนางก็ไม่ใช่ลัทธิมารอะไรนั่น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะดึงดูดผู้ศรัทธาให้มานับถือ

เมื่ออารามชิงผิงเจริญรุ่งเรืองแล้ว ฝึกฝนศิษย์ออกมาได้แล้ว นางก็สามารถนอนเกษียณได้แล้วกระมัง

ดังนั้นจะเรียบง่ายไม่ได้ ทำความดีต้องทิ้งชื่อไว้!

ตู้เหมี่ยนจึงเอ่ย “ข้าคิดว่าผู้ที่ออกบวชอย่างพวกท่านจะปลีกตัวออกจากเรื่องทางโลก คิดไม่ถึงว่า…”

“พุทธศาสนาก็ตั้งอยู่ในโลกฆราวาส จะปลีกตัวออกจากทางโลกอย่างแท้จริงได้อย่างไร หากต้องการปลีกตัวออกจากทางโลกจริงๆ ก็จะหลบซ่อนตัวไม่ออกมา เมินต่อทุกสิ่งทุกอย่าง” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย เอ่ย “แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าก็ล้วนทำไม่ได้”

ไม่เพียงแต่ทำไม่ได้ บางครั้งพวกเขาก็ละจากทางโลกไม่ได้ ยังมีการแบ่งชนชั้น!

และนี่ก็คือโลกฆราวาส ไม่ว่านางจะมีความสามารถมากแค่ไหน ก็เป็นเพียงคนธรรมดาในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท