บทที่ 508 เข้มงวดกวดขัน
บทที่ 508 เข้มงวดกวดขัน
ขณะเดินทางก็ยังเห็นทหารออกค้นหามือสังหารไปทั่วทุกแห่งหน หากเทียบกับเมื่อวาน จำนวนคนที่ทำหน้าที่ค้นหาไม่ได้น้อยลงแม้แต่น้อย
“มือสังหารนั่นน่ารังเกียจโดยแท้ ฝ่าบาทยินดีรับพระสนมด้วยความเมตตา แต่นางกลับไม่สำนึกบุญคุณลงมือลอบสังหารต่อหน้าผู้คนมากมาย เป็นอาชญากรชั่ว!” เจ้าฉีเอ่ยอย่างโกรธแค้น
“บางทีนางอาจมีเหตุผลจึงต้องลงมือ” อู๋ฝานตอบกลับ
“นางจะมีเหตุผลยากลำบากอันใด? นางที่เป็นถึงองค์หญิงแห่งหนานปิง พวกเราอาณาจักรเหยียนเฟิงคอยดูแลอาณาจักรหนานปิงมานานตลอดหลายปีไม่ใช่หรือ? หากไม่มีพวกเรา อาณาจักรหนานปิงคงถูกเพื่อนบ้านยึดครองไปเรียบร้อยแล้ว” เจ้าฉีตอบกลับ
“บางทีอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่อาณาจักรหนานปิง และนางอาจทำไปเพราะไม่มีทางเลือก” อู๋ฝานตอบกลับ
“จะเกิดเรื่องใดได้? ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าอาณาจักรเฮยสุ่ยบุกโจมตีอาณาจักรหนานปิง แต่เรื่องราวก็คลี่คลายแล้วไม่ใช่หรือ? ทางด้านกองทัพเฮยสุ่ยก็ถอยกลับไปแล้ว ยังจะมีเรื่องอื่นใดได้อีก?” เนื่องจากบิดาของนางถูกลอบสังหาร เจ้าฉีจึงไม่คิดในแง่มุมอื่นของอูหย่าแม้แต่น้อย กระทั่งมองอู๋ฝานและจ้องตา “เจ้าที่เป็นขุนนางแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง เป็นจื่อเจวี๋ยที่ฝ่าบาทแต่งตั้ง ไฉนเอาแต่พูดแทนมือสังหาร?”
เมื่อเผชิญกับความสงสัยของอีกฝ่าย อู๋ฝานจึงตอบกลับ “ไม่ใช่ข้าพูดแทนมือสังหาร เพียงแต่รู้สึกว่าการลงมือครั้งนี้ค่อนข้างกะทันหันและไม่มีเหตุผล จึงเดาว่ามันอาจมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง”
“ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร การลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรก็ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง” เจ้าฉีตอบกลับอย่างโกรธเกรี้ยว
เมื่อได้เห็นดังนั้นอู๋ฝานจึงหยุดพูดแทนอูหย่า เพราะเห็นได้ว่าเจ้าฉีคงไม่มีทางรับฟัง พูดมากไปกว่านี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
‘ได้แต่หวังให้อาณาจักรเหยียนเฟิงตรวจสอบสถานการณ์ของอาณาจักรหนานปิงก่อนจะตัดสินใจทำอะไร’ อู๋ฝานได้เพียงแต่คิดในใจ
ตอนนี้เขากำลังเกรงว่าจักรพรรดิอาจไม่ทราบสถานการณ์ที่แท้จริงของอาณาจักรหนานปิง และจะพิโรธเพราะเรื่องการลอบสังหารจนส่งกำลังทหารเข้ากวาดล้างอีกฝ่าย แน่นอนว่าเขาไม่ได้ห่วงเรื่องที่จะเกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรหนานปิง แต่หากเกิดสงครามระหว่างสองฝ่ายขึ้นมา มันอาจส่งผลกระทบต่อภารกิจพิเศษที่โดนบังคับให้รับ นั่นจึงเป็นประเด็นที่เขากังวลใจที่สุด
เมื่อขับรถลากไปจนถึงประตูเมือง ก็พบว่าเป็นดังคาดที่ได้เห็นทหารมากมายเฝ้าคุ้มกัน ประชาชนทุกคนที่ต้องการเข้าออกจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด คนที่ขับรถลากมาเหมือนอู๋ฝานเพื่อออกไปภายนอก เหล่าทหารจะไม่ปล่อยผ่านไปง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถลากที่ประดับธงขุนนางหรือพ่อค้าผู้มั่งมี ทั้งหมดจะต้องรับการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน
แม้เผชิญหน้ากับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเห็นเป็นอื่น กระทั่งเหล่าขุนนางและพ่อค้าผู้ร่ำรวยที่มักไม่เห็นทหารพิทักษ์เมืองในสายตา เวลานี้ยังต้องให้ความร่วมมืออย่างเชื่อฟัง
อย่างไรมันก็เป็นถึงคดีลอบสังหารจักรพรรดิ นับเป็นคดีใหญ่โตและอุกอาจในอาณาจักรเหยียนเฟิง หากมีใครหน้าไหนกล้าไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ ทหารจำนวนมากจะพร้อมทำลายประตูบุกเข้าไปในชั่วอึดใจ
“ดูลำบากแล้วสิ” เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เขาจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา
เหตุผลที่ชายหนุ่มตกลงมานอกเมืองกับเจ้าฉีไม่ใช่เพียงเพราะหนึ่งพันเหรียญทอง แต่ยังต้องการมาดูให้เห็นกับตาว่าประตูเมืองมีการตรวจสอบเข้มงวดเพียงใด อย่างไรอูหย่าก็ยังอยู่ที่ศาลาพักม้า และเขาก็จำเป็นต้องหาทางพานางออกไป ดีที่สุดคือส่งนางออกไปนอกเมืองให้ได้เสียก่อน เพราะแม้ศาลาพักม้าจะปลอดภัยเป็นการชั่วคราว แต่ไม่อาจมีผู้ใดรับประกันได้ว่าภายหน้าจะเกิดเรื่องใดขึ้นอีกหรือไม่ ดังนั้นต้องรีบจัดการปัญหาให้เรียบร้อย
แต่ขณะได้มาดูกับตาตัวเองว่าที่ประตูเมืองมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด เขาก็แทบไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะพาอูหย่าออกไปได้อย่างปลอดภัย เพราะการนำคนที่มีชีวิตออกจากเมืองภายใต้มาตรการเข้มงวดขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
“หยุดก่อน! ทุกคนด้านในรถต้องลงมา! แสดงหลักฐานยืนยันตัวตนด้วย!” ขณะอู๋ฝานกำลังใจลอยครุ่นคิดไปเรื่อย รถลากก็มาถึงตรงหน้าประตูที่เกิดการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และก็เป็นดังคาดว่าทหารเหล่านี้จะต้องเรียกให้หยุด
“ข้าคือจื่อเจวี๋ยที่องค์เหนือหัวเพิ่งแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ นี่ป้ายของข้า” อู๋ฝานลงจากรถลากพร้อมส่งป้ายตนเองออกไป ราวกับคิดอยากเห็นว่าสถานะจื่อเจวี๋ยจะมีส่วนช่วยในการตรวจสอบใดบ้างหรือไม่
ทหารผู้นั้นมองอู๋ฝานด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะเอ่ยต่อ “ให้ทุกคนบนรถลงมารับการตรวจสอบ!”
“จำเป็นถึงขนาดนั้น?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ทุกคนบนรถต้องลงมารับการตรวจสอบ!” ทหารคนดังกล่าวยังคงพูดเสียงดังฟังชัดเช่นเดิม
“สถานะจื่อเจวี๋ยของข้ารับรองอะไรไม่ได้เลยหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ไม่ได้!” ทหารคนเดิมยังคงเผยสีหน้าจริงจังไม่เปลี่ยน “ไม่ว่าจะเป็นจื่อเจวี๋ยหรือโหวเจวี๋ย ก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือและรับการตรวจสอบ!”
เพราะอู๋ฝานลังเลไปขณะหนึ่งและมีท่าทีไม่ให้ความร่วมมือ ทหารคนอื่นที่อยู่ไม่ไกลรวมถึงคนระดับหัวหน้าจึงเริ่มเข้ามาใกล้
“เกิดเรื่องใดขึ้น?” หัวหน้าทหารเดินเข้ามาสอบถาม และมองอู๋ฝานหัวจรดเท้าราวพิจารณา
“คนกลุ่มนี้ไม่ยอมให้ความร่วมมือตรวจสอบขอรับ!” นายทหารตอบเสียงดัง
หัวหน้าหน่วยทหารเผยสีหน้าจริงจังก่อนจะเอ่ย “ให้ทุกคนด้านในรถลงมารับการตรวจสอบโดยทันที! เดี๋ยวนี้!”
ก่อนอู๋ฝานจะทันกล่าวอะไร กลุ่มทหารก็ปิดล้อมรอบรถลากเอาไว้ด้วยสีหน้าท่าทีระมัดระวังเต็มที่แล้ว
“ทำไมต้องกังวลหรือร้อนใจถึงเพียงนั้น ข้าจะให้พวกเขาลงมาเดี๋ยวนี้แหละ” อู๋ฝานตอบกลับ
เห็นได้ว่าตัวตนจื่อเจวี๋ยไม่อาจมอบประโยชน์ใดได้ทั้งสิ้น เรียกได้ว่าไม่ได้รับความสนใจเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าฉี เสี่ยวชิง ลงมาสักเดี๋ยว” อู๋ฝานตะโกนบอกด้านในรถลาก
ม่านของรถลากจึงถูกยกขึ้น เสี่ยวชิงยื่นศีรษะออกมาพร้อมใบหน้าท่าทีสงบ สายตามองรอบด้านก่อนจะโยนป้ายในมือให้หัวหน้าหน่วยทหาร จากนั้นจึงกลับเข้าไปด้านในโดยไม่เอ่ยคำใดทั้งสิ้น
หัวหน้าหน่วยทหารในทีแรกเพียงชำเลืองมองป้ายอย่างไม่ใส่ใจ อย่างไรก็ผ่านมาถึงสองวัน หลายคนต่างก็โยนป้ายออกมาเช่นนี้เพื่อหาทางเลี่ยงการตรวจสอบ แต่เพราะเป็นคำสั่งจากเบื้องบน กล่าวว่าไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ต้องรับการตรวจสอบ
ทว่าพอพิจารณาป้ายนั้นให้ดีเขากลับต้องชะงัก จนสุดท้ายต้องเพ่งพินิจจนมั่นใจว่าไม่ได้เห็นผิดหรือตาฝาดไป สุดท้ายจึงยื่นมือส่งป้ายนั้นกลับไปทางประตูรถลากอย่างนอบน้อม เสี่ยวชิงเพียงยื่นมือจากด้านในออกมารับป้ายกลับคืน
“ผ่านไปได้!” เมื่อหัวหน้าหน่วยทหารส่งป้ายกลับคืนแล้วจึงหันไปตะโกนบอกผู้ใต้บัญชา
“แต่หัวหน้า พวกเขายังไม่ได้รับการตรวจสอบนะขอรับ” ทหารคนที่เรียกหยุดรถลากของอู๋ฝานเอาไว้เอ่ยขึ้น
“ข้าบอกให้ผ่านไปได้ เข้าใจคำที่ข้าพูดหรือไม่?!” หัวหน้าทหารตอบกลับเสียงดัง
“ขอรับ!” ทหารรอบด้านต่างเร่งร้อนถอยกลับเปิดทางให้รถลากของอู๋ฝาน
“นี่…” อู๋ฝานถึงขั้นสับสนกับความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
“ต้องขออภัยที่เมื่อครู่เสียมารยาท ตอนนี้เชิญพวกท่านเดินทางต่อได้แล้วขอรับ” หัวหน้าทหารบอกกับอู๋ฝานด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
อู๋ฝานชะงักงันไปครู่ก่อนจะตอบรับ “ทราบแล้ว”
เขาจึงกลับขึ้นรถลากและควบคุมม้าเดินทางออกนอกเมือง แม้จะยังไม่ทราบว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แต่หากสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว
‘เหมือนว่าเรายังปรามาสตัวตนของเจ้าฉีต่ำเกินไปอยู่ดี’ อู๋ฝานที่กำลังควบคุมม้าทำได้เพียงครุ่นคิดอยู่ในใจ
……………………………