บทที่ 1361 จั่วชิวหลิงหง
บทที่ 1361 จั่วชิวหลิงหง
ณ เมืองคนบาป
ที่นี่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน มันกลายเป็นดินแดนรกร้าง บนถนนกว้างขวางมีผู้คนเพียงบางตา จำนวนของคนบาปที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ
เสียงโหยหวนดังระงมอยู่ด้านหน้าภัตตาคารวิญญาณมังกรในใจกลางเมือง ก่อนจะมีเสียงปึงปังลั่นตามมาพร้อมกับร่างของศพที่ถูกโยนลงกลางพื้นถนน
บนถนนที่อยู่ห่างออกไป สายตาของเหล่าคนบาปทั้งหลายจับจ้องยังเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่กะพริบ พวกเขาหวาดกลัวถึงขีดสุดกระทั่งหัวซึ่งฉาบร่องรอยแห่งความผวาหวั่นหดเข้าไปรวมเป็นเนื้อเดียวกับลำคอ
“นี่มันครั้งที่ 875 แล้วนะ! ไอ้บัดซบเอ๊ย!” เสียงพึมพำที่ลอดออกมาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
คนอื่น ๆ ก็สะเทือนใจและเป็นกังวลไม่ต่างกัน
ไม่กี่เดือนก่อน ราชันเซียนได้มาที่เมืองคนบาปและสังหารผู้เฒ่าเกออวิ๋นก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นั้นมา ความโกลาหลครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นในเมืองคนบาป ทั่วทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ภายในช่วงเวลาเหล่านั้น คนบาปจำนวนมากตั้งใจที่จะหลบหนีออกจากเมืองด้วยกังวลว่าจะถึงคราวซวยของตน
อย่างไรก็ตาม หลังจากช่วงเลวร้ายผ่านพ้น ความสงบสุขก็เริ่มมาเยือน เรื่องเลวร้ายสร่างซาจนไม่เกิดขึ้นอีกไปพักใหญ่ สิ่งนั้นทำให้คนบาปทั้งหลายได้มีโอกาสหายใจหายคออย่างโล่งอก
ทว่าเมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ ลบเลือนไปจากความทรงจำ ก็มีคนหนุ่มและชายชราคู่หนึ่งเข้ามาที่เมืองนี้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอคอยใครบางคนอยู่ ดังนั้นจึงเลือกจะพักที่ภัตตาคารวิญญาณมังกรเป็นการชั่วคราว
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมืองคนบาปก็ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกอันน่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง!
เนื่องจากชายหนุ่มผู้มาเยือนเป็นพวกอารมณ์ร้อนอย่างยิ่ง ใช้คนบาปที่อยู่ในเมืองเป็นเครื่องมือระบายโทสะอย่างไร้เหตุผล และโดยส่วนใหญ่แล้ว เขามักจะสังหารคนบาปเหล่านั้นไปราว ๆ ห้าสิบถึงหกสิบคนภายในวันเดียว
การกระทำดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้แก่คนบาปผู้แข็งแกร่งทั้งหลายในเมืองอย่างยิ่ง พวกเขาตรงเข้ามาหาชายผู้นั้นเพื่อชำระแค้น ทว่าน่าเสียดายที่เรื่องราวจบลงด้วยความตายอันน่าสังเวชของกลุ่มคนบาปเหล่านั้น แน่นอน นั่นทำให้สมดุลของเมืองคนบาปสั่นคลอนในทันที
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าสองคนนั้นจะมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามเช่นนี้ แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือพวกเขาระบายโทสะใส่คนบาปในเมืองนี้อย่างที่ไม่มีเหตุผลและไม่เคยมีความขุ่นข้องหมองใจกันมาก่อน ซ้ำยังฆ่าอีกฝ่ายทุกวันไม่ต่างจากชำแหละผักปลา
สิ่งนี้ทำให้คนบาปทุกคนตกอยู่ในความตระหนก
ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือน คนบาปจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งไม่อาจต้านทานต่อเหตุการณ์ชวนสะพรึงขวัญเช่นนี้ได้ พวกเขาเลือกที่จะหลบหนีไปในที่สุด
อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะคนคู่นี้ เมืองคนบาปจึงได้ตกอยู่ในบรรยากาศแสนอึดอัดและน่าหวาดกลัว สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ เหตุการณ์นี้มันยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลง!
เมื่อเวลาผันผ่าน ข่าวลือบางอย่างก็เริ่มแพร่กระจาย ตอนนี้มีข่าวลือว่าคนทั้งสองนั้นมาจากตระกูลจั่วชิว โดยหนึ่งในนั้นคือจั่วชิวคง ผู้เป็นทายาทสายตรงแห่งตระกูลจั่วชิว และหนึ่งในเจ็ดดวงตะวันอันเจิดจ้าของภพเซียน
ในอีกด้านหนึ่ง ชายชราผู้นั้นก็เป็นผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวที่มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ไม่มีคนบาปแม้แต่คนเดียวที่กล้ายืนยันว่าข่าวลือนี้เป็นจริง ด้วยว่าสถานะและตัวตนของพวกเขานั้นไม่อาจเข้าถึงข้อมูลระดับดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์
…
ณ ภัตตาคารวิญญาณมังกรอันรกร้างว่างเปล่า
ชายชราผมขาวรูปร่างผอมบางในชุดสีเทานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
“คงเอ๋อร์ จิตใจของเจ้ามีแต่ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ” ชายชรามองยังชายหนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากการโยนศพของคนบาปแล้วอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไอ้สารเลวพวกนี้ก็ล้วนแต่สมควรตายกันอยู่แล้ว ดังนั้นการที่ข้าฆ่าพวกมันเพื่อระบายความคับข้องในใจก็คงไม่ผิดบาปอันใดนัก” ชายหนุ่มยิ้มอย่างไม่แยแส รูปร่างหน้าตาของเขาจัดว่าเป็นเลิศ ดวงตาสุกสกาว แม้แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายสง่างามอย่างชนชั้นสูง
ใช่แล้ว ชายหนุ่มผู้นี้คือจั่วชิวคง!
“ท่านลุงหลิงหง ไม่ใช่ว่าท่านได้บอกไว้ก่อนหน้านี้หรอกหรือ ว่าซากโบราณสถานแรกกำเนิดนั้นถูกทำลายไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง ถ้าเฉินซียังไม่ตาย มันจะต้องกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน” จั่วชิวคงนั่งหันข้างให้ชายชรา ดวงตาของเขาฉายประกายคุกรุ่น “เรารออยู่ที่นี่มาสองสามเดือนแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้เราจะต้องฆ่าไอ้สารเลวนั่นให้ได้!”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดและชิงชัง
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ตอนที่ได้รู้ว่าเฉินซีเป็นผู้ชนะในการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก ความหวั่นเกรงที่ยากจะอธิบายก็เกาะกุมหัวใจทันที
น่าเสียดาย เมื่อเขารายงานเรื่องนี้ต่อตระกูล หมายระดมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อกำจัดตัวปัญหาอย่างเฉินซี สิ่งที่ได้รับกลับเป็นคำปฏิเสธจากเบื้องบน
ถึงกระนั้น ความมุ่งมั่นในใจของจั่วชิวคงก็หาได้มอดดับลงไม่ เขาไปเยี่ยมผู้อาวุโสทุกคนในตระกูลทันที และดึงเอาสารพัดไม้เด็ดที่ตนมีเพื่อขอให้คนเหล่านั้นยอมลงมือจัดการอีกฝ่าย
เหตุผลที่ทุ่มสุดตัวเช่นนี้ก็เป็นเพราะตระหนักดีว่าพัฒนาการของเฉินซีนั้นรวดเร็วเกินไป ตั้งแต่เข้ามาในภพเซียน มันก็ก้าวหน้าอย่างไร้พ่ายตลอดเส้นทางการฝึกฝน เพียงเวลาไม่นาน เฉินซีก็ได้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทั้งยังบรรลุขอบเขตเซียนทองคำภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีและได้เข้าไปเป็นศิษย์ฝ่ายใน เรียกได้ว่าตอนนี้ เฉินซีได้กลายเป็นหนึ่งในเจ็ดดวงตะวันอันเจิดจ้าที่มีชื่อเสียงไปทั่วภพทั่วแดน
หากเฉินซียังคงพัฒนาต่อไปด้วยความเร็วเช่นนี้ คงไม่นานนักที่ไอ้สารเลวที่ไม่สมควรเกิดมาผู้นี้จะเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลานั้น มันคงจะสายเกินไปที่จะมาจัดการกับอีกฝ่ายแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ จั่วชิวคงจึงไม่ลังเลที่จะจ่ายด้วยทุกสิ่งที่มีและยอมก้มหัวขอร้องผู้อาวุโสทุกคนอย่างเต็มกลืน ในที่สุด ชายหนุ่มก็สามารถโน้มน้าวให้หนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลยอมลงมือจัดการกับเฉินซีได้สำเร็จ!
ผู้อาวุโสคนนั้นคือจั่วชิวหลิงหง ชายผู้นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา!
จั่วชิวหลิงหงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนซึ่งอาศัยอยู่อย่างสันโดษมาเป็นระยะเวลานาน สถานะในตระกูลนั้นสูงกว่าจั่วชิวเฟิง บิดาของจั่วชิวคงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจั่วชิวในเวลานี้เสียอีก
การที่จั่วชิวหลิงหงยอมตกลงช่วยเหลือนั้น เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของจั่วชิวคงไปมาก และมันยังนำความปีติมาสู่เขาไม่น้อย เพราะรู้ดีว่าสถานะของจั่วชิวหลิงหงในตระกูลจั่วชิวนั้น เหนือกว่าจั่วชิวไท่อู่ซึ่งอยู่อย่างสันโดษในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าด้วยซ้ำ!
ด้วยความช่วยเหลือจากจั่วชิวหลิงหง มีหรือที่การฆ่าเฉินซีจะไม่ง่ายอย่างการบดขยี้มดตัวหนึ่ง?
หลังจากที่จั่วชิวคงรู้ว่าครั้งหนึ่งเฉินซีเคยปรากฏตัวขึ้นที่เมืองคนบาป เขาก็รีบรุดมาที่นี่ในทันที อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวต้องประหลาดใจก็คือ ข่าวเรื่องเฉินซีออกเดินทางไปยังซากโบราณสถานแรกกำเนิดพร้อมกับราชันเซียน!
สิ่งนี้ทำให้เขาหนักใจไม่น้อย ทว่าหลังจากหารือเรื่องนี้กับจั่วชิวหลิงหง เขาก็ตัดสินใจที่จะรออยู่ที่นี่จนกว่าคนจะกลับมา เมื่อถึงตอนนั้น จั่วชิวหลิงหงจะจัดการกับราชันเซียนที่อยู่ฝั่งเดียวกับเฉินซี ในขณะที่เขาจะเป็นฝ่ายจัดการไอ้สารเลวนั่นด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าเพื่อความปลอดภัยจั่วชิวคงได้เตรียมกลอุบายสารพัดวิธีไว้รับมือเป็นที่เรียบร้อย ไม่เพียงเท่านี้ จั่วชิวหลิงหงยังรับปากว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเฉินซีให้จงได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ จั่วชิวคงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
น่าเสียดายที่พวกเขารออยู่ที่นี่มาสองสามเดือนแล้ว ทว่ากลับไม่เห็นวี่แววเฉินซีแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้จั่วชิวคงกระวนกระวายใจ และคนบาปในเมืองก็กลายเป็นเครื่องมือในการระบายความอัดอั้นในที่สุด
“คงเอ๋อร์เอ๋ย จงจำไว้ว่าหลังจากที่เราฆ่าไอ้สารเลวนั่นแล้ว เจ้าจะต้องไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นหากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ารู้เรื่องนี้เข้า มันจะนำหายนะมาสู่ตระกูลจั่วชิวของเราเป็นแน่” จั่วชิวหลิงหงเตือน
“ข้าทราบดีขอรับ ถึงตอนนั้น ข้าก็หวังว่าท่านลุงจะลงมือกวาดล้างเมืองคนบาป เพื่อไม่ให้ความลับนี้ถูกเปิดเผยด้วยเช่นกัน” จั่วชิวคงตอบทั้งหน้าเปื้อนยิ้ม
“อนิจจา ความลับไม่มีในโลก ตอนนี้ข้าน่ะกังวลว่าแม้จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็อาจจะพอคาดเดาได้…” จั่วชิวหลิงหงถอนหายใจ
จั่วชิวคงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“ช่างเถิด เรื่องท่าทีของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไว้ค่อยดูหลังจากเราจัดการไอ้คนสารเลวนี่สำเร็จก็แล้วกัน หากมันเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม ไว้ข้าจะหาวิธีบรรเทาความโกรธของพวกเขาทีหลัง” จั่วชิวหลิงหงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ แม้ว่าใบหน้าเรียวตอบจะยังดูสงบนิ่ง หากไม่อาจซ่อนเร้นร่องรอยแห่งความมุ่งมั่นไปได้
“ท่านลุง…” จั่วชิงคงรู้สึกตกใจด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ทั้งหมดนี้ข้าทำก็เพื่อรักษาเกียรติยศของตระกูลจั่วชิว” จั่วชิวหลิงหงยิ้มด้วยแววตาลึกล้ำ “เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ตระกูลจั่วชิวของเราถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนพ่อของเจ้า ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนอาหญิงของเจ้า หากสถานการณ์ความขัดแย้งภายในนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง อีกไม่นานตระกูลจั่วชิวก็คงแยกขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “ข้าเพียงแต่หวังว่าตระกูลจั่วชิวของเราจะดำรงอยู่ต่อไปอย่างยาวนานภายใต้ความพยายามอย่างอุตสาหะของเจ้าและพ่อของเจ้า และมันจะไม่ตกต่ำลงไปมากกว่านี้จากความขัดแย้งภายใน…”
น้ำเสียงของจั่วชิวหลิงหงเต็มไปด้วยความไว้วางใจที่จะฝากอนาคตทั้งหลายไว้กับจั่วชิวคงและพ่อของเขา
จั่วชิวคงสะท้อนใจยิ่ง เขาตอบกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านลุงอย่าได้กังวล คงเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังแน่นอน!”
จั่วชิวหลิงหงยิ้ม จากนั้นดวงตาของเขาก็เพ่งพิศยังจุดหนึ่งคล้ายสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง “นี่… นี่มัน… แย่แล้ว! ออกไปจากที่นี่! เร็วเข้า!”
เขาพูดพร้อมกับหยัดกายลุก และพาจั่วชิวคงพุ่งออกจากภัตตาคารวิญญาณมังกรในทันที
…
“บรรยากาศเลวร้ายห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายอันสกปรก ทั้งที่เป็นเมืองที่งดงามแท้ ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยคนบาป” เหนือท้องฟ้าของเมืองคนบาป สืออวี๋กวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ
“เหตุใดเราไม่ผดุงความยุติธรรมในนามของสวรรค์และชำระล้างเมืองนี้ไปเสียเลยเล่า?” เซียงหลิวหลีหัวเราะเบา ๆ
เฉินซีอดประหลาดใจไม่ได้เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชำระล้างเมืองหรือ? เกรงว่าจะมีเพียงแต่ราชันเซียนเท่านั้นที่กล่าวเช่นนี้ได้
“หืม? ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีสหายเต๋าอยู่ในเมืองที่ต่ำทรามเช่นนี้” ทันใดนั้น คิ้วเชิดของสืออวี๋เลิกขึ้น เขาเพ่งมองไปยังที่ห่างไกลอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เซียงหลิวหลี มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ ซุนอู๋เหิ่น ต้าวเหยา และผางตู่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางเดียวกัน
ฉับพลันนั้น พลังอันน่าสะพรึงกลัวของราชันเซียนก็ปกคลุมไปทั่วเมืองคนบาป!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเฉินซีฟื้นจากอาการตกใจ รัศมีอันน่าเกรงขามของราชันเซียนทั้งหกก็กระจายไปทั้งฟ้าดินอันไพศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้น เฉินซีก็เห็นร่างผอมบางปรากฏขึ้นในระยะไกลสุดสายตา ข้าง ๆ ของร่างบางนั้นคือชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ชวนคุ้นตา
ทั้งคู่ปรากฏตัวขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะเคลื่อนย้ายมิติจากไป
“โปรดหยุดพวกเขาไว้!” ทันใดนั้น เฉินซีก็ส่งกระแสปราณออกมาด้วยสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างชายชราผู้นั้นคือจั่วชิวคง! แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจั่วชิวคงมาทำอะไรที่นี่ แต่เขาไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้
“โอ้!” ทั้งเซียงหลิวหลีและมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ต่างตกตะลึง
มีเพียงสืออวี๋ที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาพลันเจิดจ้าไปด้วยแสงที่ลุกโชติช่วงรุนแรง เพียงชั่วพริบตา แสงนั้นก็ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง!
“บัดซบ!” ใบหน้าของจั่วชิวหลิงหงฉายแววเครียดขึง เขาถูกขัดขวางไว้ด้วยแสงที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว บังคับให้ต้องหยุดการกระทำก่อนหน้าเพื่อต้านทานมันเอาไว้ ส่งผลให้เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายผ่านมิติออกไปได้
ตอนนั้นเอง สืออวี๋พลันปรากฏตัวขึ้นเหนืออากาศและขัดขวางเส้นทางของจั่วชิวหลิงหงเอาไว้!