ตอนที่ 3103 ตัดสินเป็นตาย

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3103 ตัดสินเป็นตาย

เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในลานรวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่าเพื่อหาโอกาสเหมาะในการชิงด่านนภาสี่ลักษณ์

ทว่าเห็นได้ชัดยิ่ง ขุมอำนาจของพวกอิงเทียนเซิงเกรียงไกรเกินไป ทำให้จนบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่มีใครกล้าลงมือง่ายๆ

เวลานี้แม้จะถูกชายชุดผ้าป่านคนนั้นข่มขู่ พวกเขาก็ได้แต่อดทนไปก่อน

แต่พวกซานเฟิงจะไม่ทน

“กู่เชาจือ พูดพล่ามไร้สาระเถอะ เจ้าพาคนออกมาเลยดีกว่า!”

จอมมรรคซานเฟิงตะโกนลั่น “เจ้าอีกคน นิ่งปู้ชวี หากไม่ใช่เพราะที่ผ่านมาอิงเทียนเซิงคุ้มกะลาหัวเจ้า ป่านนี้ข้าเด็ดคอเจ้าหลุดนานแล้ว มีหรือยังจะปล่อยให้เจ้าเห่าหอนในตอนนี้อีก”

ชายชุดผ้าป่านราวเด็กหนุ่มคนนี้คือกู่เชาจือ

ส่วนชายชุดทองหน้าตาหยาบกร้าน ผิวดำคล้ำที่ตวาดไล่พวกหลินสวินก่อนหน้านี้ก็คือนิ่งปู้ชวี

ถูกจอมมรรคซานเฟิงโพล่งผรุสวาทเช่นนี้ สีหน้าทั้งคู่ล้วนขรึมลง ไอสังหารเดือดพล่านกลางดวงตา

“เจ้าเฒ่า คราวก่อนให้พวกเหล่าไป๋เจ๋อรอดชีวิตไปได้ เจ้าคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเจ้าจริงๆ หรือ ข้าจะสังหารเจ้าเดี๋ยวนี้!”

ขณะที่กู่เชาจือเอ่ยพูดก็เตรียมจะพุ่งออกจากด่านนภาสี่ลักษณ์ กลับถูกคนขวางไว้

“ถือสากับพวกขี้แพ้อย่างพวกเขาไปทำไม”

ผู้ที่เอ่ยปากเป็นชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลาง มีสง่าราศี หน้าตาโอบเอื้อ แขนเสื้อกว้าง มือถือแส้หางม้า ดุจเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่จรเคลื่อนเหนือปวงหล้า

แต่ยามเขาเอ่ยปาก ไม่ว่ากู่เชาจือหรือนิ่งปู้ชวีล้วนเงียบลงทันที

และนอกด่านนภาสี่ลักษณ์ พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าที่กระจายอยู่โดยรอบต่างก็เสียวสะท้านไม่หยุด

ชายชรามีสง่าราศีคนนี้ก็คืออิงเทียนเซิง!

สุดยอดตำนานที่มาจากยุคมารคนหนึ่ง พวกน่าสะพรึงที่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพเจ็ดครั้ง

ในโลกยุคสมัยต่างๆ ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้ อิงเทียนเซิงก็เป็นพวกปลายยอดที่ทุกคนรู้จัก สามารถทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นกริ่งเกรงสามส่วน

อิงเทียนเซิงแข็งแกร่งปานใด

หลินสวินเคยถามสิงเจี้ยนสยา คำตอบของสิงเจี้ยนสยามีเพียงประโยคเดียว ในสถานการณ์หนึ่งต่อหนึ่ง คนระดับเขาและฟู่หนานหลีอาจสามารถต้านทานอีกฝ่ายอย่างถูไถ แต่สุดท้ายคนที่พ่ายแพ้ย่อมเป็นพวกเขาแน่นอน

ควรรู้ว่าพวกสิงเจี้ยนสยาล้วนเรียกได้ว่ายักษ์ใหญ่ในขั้นไร้ขอบเขตใหญ่แล้ว สามารถต่อสู้ขับเคี่ยวกับเฒ่าชราอย่างพวกซินหู เหลยซ่งได้

แต่เขาถึงกับบอกว่าหากต่อสู้กับอิงเทียนเซิงต้องแพ้แน่นอน!

แค่คิดก็รู้ว่ามรรควิถีของอิงเทียนเซิงคนนี้น่าสะพรึงปานใด

“เหอะ ร้องแหกปากอยู่ค่อนวันกลับไม่กล้าออกมาต่อสู้ ไม่รู้สึกขายหน้าหรือ”

จอมมรรคซานเฟิงยิ้มเย็น เสียงก้องฟ้าดิน

นี่ทำให้สีหน้ากู่เชาจือ นิ่งปู้ชวีเริ่มอึมครึม ไม่น่าดูขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้าเฒ่าซานเฟิง หากเจ้ามีปัญญา เจ้ากล้าเลือกตัดสินเป็นตายหรือไม่” กู่เชาจือตะโกนลั่น “ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้าตายอย่างอุจาดตายิ่ง!”

ในเสียงเจือไอสังหารเข้มข้น

กลับไม่รอให้ซานเฟิงเอ่ยปาก จู่ๆ หลินสวินกล่าวขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ให้ข้าสู้ตัดสินก็พอ”

ประโยคเดียวทำเอาทั่วลานล้วนเงียบกริบ

ในพื้นที่ใกล้เคียง พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นล้วนเผยแววตะลึงงัน

พวกเขาได้ยินอะไรอยู่

ขั้นสรรสร้างคนหนึ่ง ดันคุยโวไม่อายปากว่าจะตัดสินเป็นตายกับกู่เชาจือหรือ!?

บนด่านนภาสี่ลักษณ์ก็อึ้งงันระลอกหนึ่งเช่นกัน สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นมองหน้ากันไปมา สีหน้าแปลกพิกล แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

แม้แต่สิงห์ร้ายในขั้นไร้ขอบเขตใหญ่อย่างอิงเทียนเซิงยังอึ้งไปหน่อยๆ จากนั้นหัวเราะเบาๆ “อยู่ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้นานมากแล้ว ไม่เคยเห็นคนที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว”

ทุกคนล้วนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

ในใจพวกเขาต่างก็ทอดถอนใจไม่หยุด หากอยู่โลกภายนอกยังพบเจอพวกไม่รู้จึงไม่กลัวทำนองนี้ไม่น้อยจริงๆ

แต่ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้มีแต่เฒ่าชราที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน รอดชีวิตผ่านมาได้หลายยุคสมัย คนไหนบ้างยังกล้าเอ่ยคำพูด… โง่เง่าเบาปัญญาเช่นนี้ออกมา

เวลานี้แม้แต่จอมมรรคซานเฟิงยังมือไม้เก้กัง เขาไม่ได้อยากให้หลินสวินไปสู้ตัดสินกับกู่เชาจือ

อันตรายเกินไป!

ดีชั่วกู่เชาจือก็เป็นพวกร้ายกาจที่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพห้าครั้ง เขาที่เกิดในยุคมาร ไอสังหารดุจเหล็ก นิสัยรุนแรง ทั้งชีวิตนี้เข่นมามานับไม่ถ้วน

หากเอ่ยถึงพลังต่อสู้จริงๆ จอมมรรคซานเฟิงยอมรับว่าตนก็ยังแค่พอฟัดพอเหวี่ยงกับอีกฝ่าย บางทีมีเพียงคนอย่างสิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลีออกมาเท่านั้นจึงจะพอเอาชนะอีกฝ่ายได้

“สหายน้อยอย่าได้วู่วาม” จอมมรรคซานเฟิงเอ่ยเตือนอย่างประหม่า

สิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลีล้วนหันมองทางหลินสวิน ส่ายหน้าน้อยๆ เป็นนัยบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องรีบ

กู่เชาจือ… ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายนัก!

ยิ่งกว่านั้นยังเป็นตัดสินเป็นตาย พวกเขาไม่อยากให้หลินสวินไปเสี่ยงอันตรายเช่นกัน

และภาพเหล่านี้ก็ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ในที่นี้มองเห็นเช่นกัน ล้วนอดส่ายหน้าไม่หยุดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินไปแล้วว่าเมื่อครู่เป็นเพราะหลินสวินไม่รู้จึงไม่กลัว ถึงได้กล้าเอ่ยบ้าๆ ออกมา

และเมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เสียหน้าก็คือพวกจอมมรรคซานเฟิง สิงเจี้ยนสยา

เพราะอย่างไรเจ้าหนุ่มคนหนึ่งกลับโหวกเหวกในเวลานี้ นี่เท่ากับเรื่องตลกอย่างหนึ่งชัดๆ

“ผู้อาวุโสทุกท่านวางใจก็พอ นี่เป็นถึงโอกาสฆ่าศัตรูที่หาได้ยาก และสำหรับข้า เขาก็เป็นได้แค่หินลับดาบเท่านั้น”

หลินสวินเอ่ยปากเรียบเรื่อย เดินตรงไปข้างหน้า

เดิมพวกจอมมรรคซานเฟิง เซียวเหอหมายจะห้ามปราม กลับถูกสิงเจี้ยนสยาขวางไว้ สื่อจิตกล่าวว่า ‘ให้เขาไปเถอะ หากฆ่ากู่เชาจือได้ ก็เท่ากับพวกเราระบายแค้นได้คราหนึ่งจริงๆ’

มีเพียงเขาและฟู่หนานหลีที่รู้ดีที่สุดว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินกร้าวแกร่งปานใด!

“เขา… ถึงกับวิ่งโร่ออกไปตายเปล่าจริงหรือ”

เสียงฮือฮาดังขึ้นจากบริเวณใกล้เคียง สัตว์ประหลาดเฒ่าแต่ละคนล้วนเบิกตากว้าง

“สิงเจี้ยนสยา เหตุใดไม่ห้ามเจ้าหนุ่มนี่”

มีคนขมวดคิ้วมองพวกสิงเจี้ยนสยาอย่างไม่เข้าใจยิ่ง

“คนหนุ่มอยากลับคมมรรควิถีของตนสักหน่อยก็ให้เขาไปเถอะ”

สิงเจี้ยนสยากล่าวเฉยเมย

“นี่เจ้าส่งเขาไปตาย!”

แม่เฒ่าผมขาวคนหนึ่งอดกล่าวเดือดดาลไม่ได้ “ขั้นสรรสร้างคนหนึ่ง หากอยู่โลกภายนอกอาจเป็นผู้กร้าวแกร่งที่หาตัวจับได้ยาก ขอเพียงแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขต ภายหน้าย่อมต้องเทียมบ่าพวกเราได้แน่ เจ้า… จะให้เขาไปตายเปล่าได้อย่างไร”

สิงเจี้ยนสยามุมปากกระตุก ยิ้มขื่นไม่หยุด

เขายังจะพูดอะไรได้

และบนด่านนภาสี่ลักษณ์ สีหน้าของเฒ่าชราอย่างพวกอิงเทียนเซิงล้วนแปลกพิกลสุดจะเปรียบ

พวกเขาเคยเห็นมดปลวกที่ไม่กลัวตาย แต่ไม่เคยเห็นพวกที่ไม่กลัวตายขนาดนี้!

รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรแต่ดันทำ จะต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย

นี่ไม่ใช่ใจกล้า แต่เป็นโง่งม!

และท่ามกลางบรรยากาศแปลกพิลึกนี้ หลินสวินกลับยืนเฉยเหมือนคนนอก ห่างไปพันจั้งจากประตูใหญ่ด่านนภาสี่ลักษณ์

สองข้างของประตูใหญ่สูงตระหง่านนั่นมีแผ่นศิลาสูงเก้าจั้งสองแผ่นตั้งอยู่

ศิลาฝั่งซ้ายสลักอักษรมรรคเก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดไว้ว่า ‘ตัดสินเป็นตาย’

ศิลาฝั่งขวาสลักคำว่า ‘ตัดสินแพ้ชนะ’

กลิ่นอายของศิลานั่นคลุมเครือสุดขีด ถูกปกคลุมอยู่ในกฎระเบียบโชคชะตา รอยอักษรบนนั้นก็เหมือนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เสมือนว่าเดิมนั่นก็เป็นลวดลายของแผ่นศิลาอยู่แล้ว ไม่มีร่องรอยแกะแงะสักเสี้ยว

หลินสวินมองดูศิลาสองแผ่นนี้ ในใจก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ที่นี่คือโลกบัวชะตา แปลงมาจากบัวชะตามหามรรค และบัวชะตามหามรรคก็ถือกำเนิดในทะเลโชคชะตา

แต่ที่นี่กลับมีเก้าด่านนภาใหญ่ มีแท่นมรรคบัวชะตา และมีป้ายศิลาสองแผ่นเช่นนี้ เห็นชัดว่าของพวกนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

เช่นนั้นทั้งหมดนี้เป็นฝีมือใครกันเล่า

หลินสวินไม่รู้ ก่อนหน้านี้เขาเคยถามเฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างพวกสิงเจี้ยนสยา ก็ไม่มีใครให้คำตอบที่แน่ชัดได้สักคน

พวกเขารู้เพียงว่าในอารยธรรมหลายยุคสมัยก่อนหน้านี้ บัวชะตามหามรรคทุกดอกที่ถือกำเนิดในทะเลโชคชะตาก็มีลักษณะเช่นนี้แล้ว

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มรรควิถีเทียมฟ้า สติปัญญาไร้ขอบเขตมากมายเคยลองอนุมานและตรวจสอบ แต่ล้วนคว้าน้ำเหลว!

จนบัดนี้เรื่องราวที่เกี่ยวกับแท่นมรรคบัวชะตา เก้าด่านนภาใหญ่ และศิลาสังเวียนมหามรรคนี่ก็ยังเป็นปริศนาที่ไขไม่ได้มานานหมื่นยุค

“กู่เชาจือ กล้าสู้ตัดสินเป็นตายกับข้าหรือไม่”

หลินสวินสงบจิต สองมือไพล่หลัง ดวงตาจ้องมองกู่เชาจือบนด่านนภาสี่ลักษณ์จากไกลๆ

ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา บรรยากาศกลางฟ้าดินเริ่มแปลกพิกลและเงียบสงัดขึ้นเรื่อยๆ

สีหน้าทุกคนต่างกันออกไป

นอกจากพวกสิงเจี้ยนสยา แทบทุกคนล้วนคิดว่าหลินสวินกำลังรนหาที่ตาย เป็นการกระทำที่โง่เง่าถึงขั้นไม่รู้จึงไม่กลัว

สีหน้ากู่เชาจือไม่น่ามองอย่างยิ่ง

เขากำลังท้าทายต่อสู้กับจอมมรรคซานเฟิง ไม่อยากจัดการพวกตัวเล็กตัวน้อยขั้นสรรสร้างที่ทนการโจมตีเดียวไม่ไหว เพราะต่อให้ชนะ หากกระจายออกไปก็ไม่น่าชื่นชม

เขาหันมองคนอื่นๆ

“เหล่ากู่ ไม่มีใครออกไปสู้แทนเจ้าหรอก รีบไปเถอะ จัดการเจ้าหมอนี่โดยเร็ว เขาจะได้ไม่ร้องแหกปากเช่นนี้ต่อไป หากให้ผู้อื่นเห็นเข้าคงคิดกันว่าพวกเราไม่กล้าจัดการแม้แต่ขั้นสรรสร้างคนหนึ่ง”

นิ่งปู้ชวีกล่าวพลางหัวเราะชอบใจ แววตาเต็มไปด้วยแววล้อเลียน

และเป็นเวลานี้ที่หลินสวินเอ่ยปากอีกครั้ง “นิ่งปู้ชวี หลังจากกู่เชาจือตาย เจ้ากล้าสู้ตัดสินเป็นตายกับข้าต่อหรือไม่”

เสียงก้องทั่วลาน

ทุกคนตาแข็งค้าง ปากอ้ากว้าง

ความหมายของเจ้าหมอนี่คือ กู่เชาจือยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ยังหมายให้นิ่งปู้ชวีไปตัดสินเป็นตายกับเขาต่อหรือ

นิ่งปู้ชวีที่แต่เดิมหัวเราะชอบใจรอยยิ้มพลันชะงักค้างทันที ก่อนเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู “เจ้าตัวจ้อย หากเจ้าทำได้ถึงขั้นนี้จริงๆ ข้าก็ไม่ถือสาลงสนามไปเชือดเจ้าด้วยตัวเอง!”

ส่วนสีหน้าของกู่เชาจือก็ดำเป็นก้นหม้อ คำพูดของหลินสวินกระตุ้นไอสังหารของเขา รู้สึกว่าศักดิ์ศรีล้วนถูกท้าทาย

และคำพูดของนิ่งปู้ชวียิ่งทำให้เขาโมโหแทบระเบิด

เมื่อเห็นสีหน้ากู่เชาจือไม่น่าดูสุดจะเปรียบ นิ่งปู้ชวีอธิบายเป็นพัลวัน “เหล่ากู่ เจ้าอย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว!”

กู่เชาจือไอสังหารเดือดพล่าน บนผิวหน้าดำคล้ำเต็มไปด้วยแววเย็นเยียบ “อีกเดี๋ยวข้าจะถลกหนัง บดขยี้กระดูกเจ้าตัวจ้อยอย่างเจ้าเป็นเถ้าถ่าน มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงจะระบายโทสะในใจข้าได้!”

กล่าวพลางมองหลินสวินจากไกลๆ ตวาดลั่น “มาสู้กัน!”

เสียงสะเทือนสิบทิศ ชั้นเมฆยังถูกพังครืน

ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่อย่างเขาถูกยั่วยุจนเดือดดาลเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าการกระทำของหลินสวินสร้างความชิงชังปานใด

“ควรเป็นเช่นนี้แต่แรกแล้ว”

ในขณะที่ทุกคนกำลังปาดเหงื่อเอ่ยเตือนหลินสวิน หลินสวินกลับยิ้มออกมาพลัน โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ประกายศักดิ์สิทธิ์หอบม้วนออกมา

ตูม!

แผ่นศิลาที่สลักคำว่า ‘ตัดสินเป็นตาย’ ตรงฝั่งซ้ายของประตูใหญ่ด่านนภาสี่ลักษณ์พลันเกิดเสียงดังสนั่นระลอกหนึ่ง

พลันนั้นละอองแสงไร้สิ้นสุดตัดสลับ ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน ห้วงอากาศหน้าประตูใหญ่ด่านนภาสี่ลักษณ์เกิดเสียงดังตูมคราหนึ่ง ปรากฏลานต่อสู้ลึกลับเก่าแก่แห่งหนึ่งขึ้น

ลานต่อสู้นี้กินพื้นที่กว้างสุดขีด พาดขวางกลางฟ้าดิน ทันทีที่ปรากฏก็แผ่กลิ่นอายนองเลือดมอดม้วยที่ชวนให้คนใจสะท้านคลุ้งออกมา

ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ทั้งกลุ่มในที่นี้ล้วนรู้สึกสั่นไปทั้งตัวทันที ขนลุกซู่ตามผิวหนัง สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปน้อยๆ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท