ตอนที่ 3136 การชิงชัยหน้าแท่นมรรคบัวชะตา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3136 การชิงชัยหน้าแท่นมรรคบัวชะตา

เช้าวันรุ่งขึ้น

แสงเทพมหามรรคสะท้านฟ้าอุบัติขึ้นที่ด่านนภาทั้งเก้า

มองลงมาจากเวิ้งฟ้า

ในบริเวณที่ด่านนภาเก้าด่านกระจายอยู่ก็เหมือนวงกลมขนาดมหึมาวงหนึ่ง และที่อยู่ตรงกลางคือแท่นมรรคโบราณที่มีรัศมีสิบจั้งแท่นหนึ่ง

แท่นมรรคนี้รูปร่างคล้ายดอกบัวบาน ทั้งแท่นถูกพลังกฎระเบียบโชคชะตาผนึกเอาไว้

ยามด่านนภาทั้งเก้าเกิดการเคลื่อนไหวประหลาด แท่นมรรคบัวชะตาก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

ปังๆๆ!

พลังกฎระเบียบโชคชะตาที่ปกคลุมแท่นมรรคอยู่ระเบิดออกเป็นชั้นๆ เหมือนสายโซ่ที่ถูกพังสะบั้นเป็นสายๆ ทั้งแท่นมรรคเหมือนถูกปลุกขึ้นจากความเงียบงัน เปล่งกลิ่นอายดั้งเดิมอันหนาแน่นไร้ขอบเขต

เมื่อมองไปอีกครั้ง แท่นมรรคนี้อบอวลไปด้วยประกายแสง ไอขุ่นมัวโรยตัว แสงเทพห่อหุ้ม รอบๆ มีละอองแสงไหลเวียนเป็นครั้งคราว ดูลึกลับยิ่ง

เวลานี้เอง…

เหล่าผู้ฝึกปราณจากแต่ละฝ่ายที่ครองด่านนภาทั้งเก้าต่างออกเคลื่อนไหว ทะยานไปยังบริเวณที่แท่นมรรคบัวชะตาตั้งอยู่ราวกับแสงเคลื่อนไหวสายแล้วสายเล่า

บริเวณนี้กว้างใหญ่ยิ่ง ถูกโอบล้อมด้วยด่านนภาเก้าด่าน คล้ายลานประลองรูปวงกลมขนาดมหึมาหาใดเทียบลานหนึ่ง และแท่นมรรคบัวชะตานั่นก็ตั้งอยู่ใจกลางลานประลอง

สวบๆๆ!

เงาร่างน่ากลัวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าปรากฏตัว แต่เมื่อกำลังจะไปถึงแท่นมรรคบัวชะตาก็เลือกหยุดเคลื่อนไหวกันหมด

สาเหตุง่ายดายนัก

ใครพุ่งเข้าไปตอนนี้จะตกเป็นเป้าของทุกคน!

หากเป็นเช่นนั้นต้องถูกผลักออกหรือไม่ก็ถูกฆ่าตายทันที!

ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดสถานการณ์เช่นนี้มาไม่รู้กี่ครั้ง

ในลานเงียบสงัด บรรยากาศอึดอัดเย็นเยียบหาใดเทียบ

รอบๆ แท่นมรรคบัวชะตา เงาร่างสัตว์ประหลาดเฒ่าแต่ละฝ่ายคุมเชิงอยู่ตามทิศต่างๆ

พวกหลินสวินก็อยู่ที่นี่เช่นกัน

เมื่อพวกเขาปรากฏตัวก็กลายเป็นจุดรวมความสนใจของทั้งลานทันที

ขณะเดียวกันหลินสวินเองก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยมากมาย

เช่นพวกเจียงหมิงสุ่ย หรือพวกตู้เฟิงจากยุคธรรม

เมื่อสบสายตากัน ความแค้นก็เหมือนวงคลื่นไร้รูปปะทะกันกลางอากาศ

“เจ้าก็คือหลินสวินหรือ”

ทันใดนั้นฉือเชียนจีที่มือหนึ่งถือน้ำเต้าสุรา มือหนึ่งไพล่หลังอยู่ก็ยิ้มพลางเอ่ยปาก

“ไม่ผิด”

หลินสวินเคลื่อนสายตามองไป สีหน้าเรียบเฉย เขารู้ฐานะของฉือเชียนจีแล้ว

“ตอนนั้นข้าเคยแก่งแย่งกับอาจารย์ของเจ้า แต่ข้ากับเขาไม่ได้เป็นทั้งสหายหรือศัตรู กับเจ้าก็เช่นเดียวกัน”

ฉือเชียนจีเอ่ย “สนใจเพียงสูงต่ำ ไม่ถกกันเรื่องความแค้น”

“ได้”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

“ฉือเชียนจี ตอนนั้นเจ้ากับเจ้าเฒ่าโพธิต่อสู้กัน ประมือกันไม่ถึงสามร้อยกระบวนเท่านั้นก็ถูกกดข่มจนต้องยอมแพ้ ถ้าคราวนี้ยังเอาชนะศิษย์ของเขาไม่ได้อีก จะเอาหน้าเหี่ยวๆ ของเจ้าไปไว้ที่ใด”

ไม่ไกลนักชายชรามอมแมมอี้อู๋อิ๋นเอ่ยปาก เขาดวงตาสะลึมสะลือ น้ำเสียงเรื่อยเฉื่อย เจือแววหยอกเย้า

ฉือเชียนจีหัวเราะลั่น “คนอย่างพวกเรา ไม่ว่าได้หน้าหรือขายหน้าก็ไม่ยี่หระนานแล้ว ต่อให้แพ้แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า”

“ถ้าเจ้าอยากลงมือ ข้าสามารถเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้”

ทันใดนั้นเสียงเสนาะหูเสียงหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นซู่หวั่นจวินในชุดกระโปรงแดง อรชรดุจดรุณีเดินมาจากไกลๆ

การปรากฏตัวของนางกลายเรียกสายตาในลานให้หันมองทันทีเช่นกัน

สัตว์ประหลาดเฒ่าไม่น้อยต่างเผยสีหน้าประหลาดใจ

“สหายยุทธ์หวั่นจวิน เจ้าไม่เคยเข้าแก่งแย่งแท่นมรรคบัวชะตานี้เลยไม่ใช่หรือ”

ฉือเชียนจียังผิดคาดอยู่บ้างเช่นกัน

“ข้ามาดูนิดหน่อย”

ขณะพูดซู่หวั่นจวินก็ยืนอยู่ไกลๆ เพียงลำพัง แต่ไม่มีใครกล้าดูถูก

ในที่นั้นเปลี่ยนเป็นเงียบงันทันใด

“ทุกท่าน การต่อสู้คราวนี้จะยังทำตามกติกาเก่าก่อนหน้านี้หรือไม่”

กว่านเชียนชิวจากยุคมรรคเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

‘กติกาเก่า’ ที่ว่า ก็คือแต่ละฝ่ายส่งบุคคลชั้นยอดหนึ่งคนออกมาต่อสู้ กฎก็ง่ายดายนัก ใช้การจับฉลากคู่ต่อสู้เป็นครั้งๆ ไป

ผู้ที่ได้รับชัยชนะเป็นคนสุดท้าย ฝ่ายของคนผู้นั้นจะสามารถยึดแท่นมรรคบัวชะตาได้

ฝ่ายอื่นห้ามไปแย่งชิงอีก หาไม่แล้วจะกลายเป็นศัตรูของทุกคน

ทำเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการตายมากเกินไป

ทว่าอันที่จริงในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ต่อให้ใช้กติกาเก่าตัดสินสิทธิ์ครอบครองแท่นมรรคบัวชะตา ก็ยังเกิดเรื่องบาดเจ็บล้มตายอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ดังคำกล่าวที่ว่าถ้ากล้าพนันก็ต้องกล้ารับความพ่ายแพ้ แม้ถูกฆ่าตายก็ไม่อาจละเมิดกติกาที่ทุกคนตกลงร่วมกันได้

ฉือเชียนจีหัวเราะหึๆ เอ่ยว่า “จะต่อสู้ตามกติกาเก่าหรือไม่ ก็ต้องดูความต้องการของสหายน้อยหลินกับเหล่าศัตรูพวกนั้นแล้ว”

ชั่วขณะเดียวสายตาทุกคู่ก็มองไปที่หลินสวิน รวมถึงพวกตู้เฟิงจากยุคธรรม เจียงหมิงสุ่ยจากยุคทวยเทพ เวิงซิงไห่จากยุคพ่อมด

ส่วนสายตาพวกตู้เฟิง เจียงหมิงสุ่ย เวิงซิงไห่ต่างก็มองมายังหลินสวิน

บรรยากาศเปลี่ยนเป็นกดดันทันที

หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง กวาดสายตาไปรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าคนแซ่หลินไม่ต้องการทำลายกติกาที่ผู้อาวุโสในอดีตทุกท่านกำหนดไว้ ถ้าทำได้ ต่อสู้กันตามกติกาเก่าก็พอ”

ได้ยินดังนั้นหลายคนต่างลอบถอนหายใจโล่งอก

ถ้าหลินสวินต้องการเลิกม่านลมคาวฝนเลือดในลานรอบแท่นมรรคบัวชะตาแห่งนี้อย่างเมื่อหลายวันก่อน เช่นนั้นจะต้องก่อให้เกิดการต่อสู้ชุลมุนที่ไม่อาจประเมินได้แน่!

ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่างๆ ก็ซับซ้อนยุ่งเหยิงจริงๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ

บางฝ่ายเป็นศัตรูกับพวกตู้เฟิงจากยุคธรรม ขณะเดียวกันบางฝ่ายก็เป็นมิตรกับพวกตู้เฟิง

ในสถานการณ์เช่นนี้ทันทีที่หลินสวินกับตู้เฟิงเปิดศึกกัน ฝ่ายที่เป็นมิตรกับตู้เฟิงเหล่านั้นจะนิ่งดูดายได้อย่างไร

เช่นเดียวกัน หากสบโอกาสเช่นนี้ ฝ่ายที่เป็นศัตรูกับตู้เฟิงจะไม่ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงได้หรือ

เมื่อเป็นเช่นนี้การตะลุมบอนจะต้องปะทุขึ้นอย่างใหญ่โตแน่

เรื่องเช่นนี้พวกตู้เฟิง เจียงหมิงสุ่ย เวิงซิงไห่เองก็รู้อยู่เต็มอกเช่นกัน

ถึงขั้นกล่าวได้อย่างไม่เกินจริงว่าถ้าหลินสวินเปิดศึกกับพวกตู้เฟิงจริงๆ สัตว์ประหลาดเฒ่าที่กระจายอยู่รอบแท่นมรรคบัวชะตาแห่งนี้ ส่วนมากเกรงว่าจะถูกดึงเข้าไปพัวพันด้วย!

นี่เรียกได้ว่าดึงผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง

และคำตอบของหลินสวินสามารถเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นตอนนี้ที่พวกตู้เฟิง เวิงซิงไห่ เจียงหมิงสุ่ยลอบถอนหายใจโล่งอก จึงไม่ใช่เพราะกลัวการต่อสู้กับหลินสวิน

แต่เพราะในช่วงเวลาสำคัญอย่างการแย่งชิงแท่นมรรคบัวชะตา พวกเขาสนใจว่าจะชิงโอกาสไปยังแหล่งสถานอัศจรรย์ได้หรือไม่มากกว่า

“เช่นนั้นก็ทำตามกติกาเก่า พวกเราแต่ละฝ่ายส่งสหายยุทธ์ออกมาต่อสู้หนึ่งคน ส่วนคนอื่นทำได้แค่ชมการต่อสู้ ห้ามเข้าไปแทรกแซง”

ฉือเชียนจียิ้มเอ่ย

ไม่นานนักฝ่ายต่างๆ ก็เลือกผู้ฝึกปราณของฝ่ายตนออกมา

มีทั้งสิ้นสิบเก้าคน

อย่างพวกตู้เฟิง เจียงหมิงสุ่ย เดิมทีมาจากด่านนภาเก้าวังด้วยกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาจากคนละฝ่าย เวลานี้ต่างส่งบุคคลชั้นยอดคนหนึ่งออกมาร่วมการต่อสู้

ส่วนฝั่งด่านนภาห้าธาตุมีหลินสวินเข้าร่วมการต่อสู้ตามคาด

เขากวาดสายตามองผู้เข้าร่วมคนอื่น ในใจก็กระจ่างแจ้งทันที

ยุคธรรมส่งตู้เฟิงออกมา ยุคพ่อมดส่งเวิงซิงไห่ออกมา ส่วนฝ่ายเจียงหมิงสุ่ยก็มีเจียงหมิงสุ่ยออกมาสู้

นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ทำให้หลินสวินระวัง

อย่างพวกฉือเชียนจี อี้อู๋อิ๋น พวกนี้ล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกบัวชะตา รากฐานพลังแต่ละคนล้ำลึกสุดหยั่งอย่างที่พวกจอมเทพหวงหลงเทียบไม่ติด

ส่วนซู่หวั่นจวินที่ทำให้พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าในที่นั้นหวั่นเกรงที่สุดก็ไม่ได้เข้าร่วมเหมือนกับที่นางพูดไว้

“ตอนนี้เริ่มจับฉลากได้ ในนั้นมีฉลากเปล่าหนึ่งชิ้น ถ้าใครจับได้ก็จะเข้าสู่การต่อสู้รอบต่อไป”

ขณะพูดฉือเชียนจีสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง แสงดำสายหนึ่งผุดขึ้นแล้วเปลี่ยนรูปกลางอากาศ ควบรวมเป็นกระบอกจับฉลากกระบอกหนึ่ง ในกระบอกมี ‘ฉลากมรรค’ ที่หลอมขึ้นจากพลังมหามรรคสิบเก้าแท่ง

เนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้มีสิบเก้าคน

ดังนั้นนอกจากฉลากเปล่าแท่งหนึ่งในนั้นแล้ว ฉลากอีกสิบแปดแท่งจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม บนฉลากล้วนมีตัวเลขหนึ่งถึงเก้าสลักอยู่

ผู้ที่จับได้เลขเดียวกันจะเป็นคู่ต่อสู้กัน

ทันทีที่ฉลากมรรคสร้างเสร็จ ไม่ว่าใครก็เล่นตุกติกไม่ได้

ต่อให้เป็นฉือเชียนจีก็ทำไม่ได้

กติกานี้ดำรงอยู่ในโลกบัวชะตาแห่งนี้มาไม่รู้กี่ยุค

ทันใดนั้นทุกคนทยอยก้าวออกมาจับฉลาก

เมื่อถึงตาหลินสวิน เขาจับฉลากออกมาได้เลข ‘หก’ คู่ต่อสู้ของเขาก็คือคนที่ในมือมีฉลากเลข ‘หก’ อีกคนหนึ่ง

และฉลากเลขหกยังหมายถึงออกไปสู้เป็นลำดับที่หกด้วย

“สองคนที่จับเลขหนึ่งได้ก้าวออกมา ส่วนคนอื่นแยกย้ายไปให้หมด”

ฉือเชียนจีเอ่ยเสียงกังวาน

ทันใดนั้นทุกคนต่างแยกย้ายออกไป เหลือเพียงเงาร่างสองร่างที่ยืนอยู่ในลานนั้น

เป็นเจียงหมิงสุ่ยกับสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งนามว่าเฟ่ยหูเซิ่ง

“ทั้งสองท่านตัดสินใจว่าจะประลองตัดสินเป็นตายหรือประลองแพ้ชนะ”

ฉือเชียนจีถาม

เจียงหมิงสุ่ยกับเฟ่ยหูเซิ่งต่างเลือกประลองแพ้ชนะโดยไม่ต้องนัดหมาย

“สหายยุทธ์ พวกเราตัดสินแพ้ชนะในสามกระบวนท่าเป็นอย่างไร”

เฟ่ยหูเซิ่งเอ่ยปาก

เขาสวมชุดเทา รูปลักษณ์เหมือนชายหนุ่ม สะพายทวนสีเขียวคู่หนึ่งไว้บนหลัง เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่เคยข้ามด่านเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาห้าครั้ง

“ได้”

เจียงหมิงสุ่ยพยักหน้า

ไม่นานนักศึกใหญ่ก็ปะทุ

สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งสองต่างสำแดงวิชาต่อสู้ ออกโจมตีเต็มกำลัง

สถานการณ์การต่อสู้ไม่ถึงกับโหดร้าย แต่กลับเรียกได้ว่าชวนอกสั่นขวัญแขวน เพราะต้องตัดสินแพ้ชนะในสามกระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นเจียงหมิงสุ่ยหรือเฟ่ยหูเซิ่งต่างก็ใช้ไพ่ตายก้นกรุ อภินิหารที่สำแดงออกมาต่างชวนตะลึง

ผ่านไปสามกระบวนท่า เจียงหมิงสุ่ยเอาชนะได้อย่างหวุดหวิด

เฟ่ยหูเซิ่งถอยออกจากลานอย่างเงียบๆ พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าจากฝ่ายที่เขาอยู่เหล่านั้นต่างเผยสีหน้าขมขื่น

เฟ่ยหูเซิ่งแพ้ เท่ากับคนที่อยู่ในฝ่ายเดียวกับเฟ่ยหูเซิ่งอย่างพวกเขาก็เสียโอกาสชิงแท่นมรรคบัวชะตาในครั้งนี้ไปด้วย

และเมื่อเห็นภาพนี้หลินสวินกลับผ่อนคลายทันที อย่างน้อยเจียงหมิงสุ่ยก็ไม่ได้ถูกคัดออกในการต่อสู้รอบแรก ต่อไปยังมีโอกาสจัดการเขาด้วยตัวเอง

“ต่อไปขอเชิญสหายยุทธ์ที่จับได้ฉลากหมายเลขสองออกมา”

ฉือเชียนจีประกาศ

สวบ! สวบ!

เงาร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้นที่นั่น คนหนึ่งรูปลักษณ์น่าเกรงขาม แต่งชุดภิกษุสีขาว มือถือแส้สีขาวโพลน ผู้นำยุคธรรมตู้เฟิงนั่นเอง

อีกคนเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งนามว่า ‘ยงสิง’ เขาเองก็เทียบได้กับยักษ์ใหญ่อย่างเจียงหมิงสุ่ย จู๋เทียนจวินเช่นกัน

แต่เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้เป็นตู้เฟิง ยงสิงก็นิ่วหน้า จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนส่ายหัวถอนใจว่า “ไม่ต้องสู้แล้ว ข้ายอมแพ้”

ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นในการต่อสู้รอบที่สองหรือรอบที่สาม ยงสิงอาจจะยังมีความมั่นใจไปสู้กับอีกฝ่าย

ถึงอย่างไรหลังผ่านการต่อสู้มาครั้งสองครั้ง ต่อให้ตู้เฟิงแข็งแกร่งแค่ไหนพลังต่อสู้ก็ต้องพร่องไปบ้าง หากบาดเจ็บสาหัสยังถึงขั้นสามารถถูกผู้อื่นชิงความได้เปรียบไปได้

แต่ตอนนี้ตู้เฟิงซึ่งอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ไม่ใช่คนที่ยงสิงจะต้านทานได้แต่อย่างใด

เขาจึงยอมแพ้ตรงๆ แล้ว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท