ตอนที่ 3147 โลกแปรปุถุชน การต่อสู้ประตูสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3147 โลกแปรปุถุชน การต่อสู้ประตูสวรรค์

แหล่งสถานอัศจรรย์ โลกหงหลิง

บรรยากาศหนาทึบเหมือนแดนแรกกำเนิดอบอวลกลางฟ้าดิน ภูผาธารากว้างใหญ่เงียบสงัด

ใจกลางโลกนี้มีภูเขาลูกหนึ่งตั้งตระหง่าน

ลักษณะภูเขาสูงชันทะลวงเมฆา

‘ท่านปู่ยังปิดด่านอยู่…’

เฉินหลินคงยืนตรงไหล่เขา มองกระท่อมสะอาดเรียบง่ายหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ในใจพลันจนปัญญาอย่างอดไม่ได้

ยังต้องรอจนถึงเมื่อไหร่

เมื่อเฉินหลินคงเพิ่งมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในใจเขา

‘ใกล้แล้ว’

เพียงสองคำทำให้เฉินหลินคงตัวสั่น นัยน์ตาส่องประกาย “ท่านปู่ ท่านตื่นแล้วหรือ”

“ตัวแปรมาแล้ว ใครจะนั่งติด”

ครั้งนี้เสียงดังออกมาจากกระท่อมหลังนั้น นิ่งสงบราบเรียบ ดังก้องเหมือนท่วงทำนองมหามรรค “อย่ารีบร้อน รอเมื่อจุดเปลี่ยนมาแล้วเจ้าค่อยลองดูดีๆ ใช้ใจไปหยั่งรู้”

เฉินหลินคงเป็นยอดคนที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง แต่เวลานี้กลับกล่าวอย่างว่าง่ายถึงขีดสุด “ท่านปู่ ท่านก็คิดลงมือจัดการผู้บงการหลังม่านนั่นยามตัวแปรมาเยือนหรือ”

ประตูกระท่อมที่ปิดสนิทเปิดออกแล้ว เงาร่างสูงสง่าหนึ่งก้าวออกมาจากในนั้น

พริบตานี้ฟ้าดินซึ่งแต่เดิมมืดสลัวเลือนรางพลันเปลี่ยนเป็นส่องประกายหลากสีสันขึ้นมาทันใด สรรพสิ่งเหมือนแผ่พลังชีวิตไร้สิ้นสุด

“หลินคง อย่าใจร้อน ใจไม่สงบจิตเลื่อนลอย จิตเลื่อนลอยย่อมฟุ้งซ่าน ถ้าถูกพวกอภินิหารยิ่งใหญ่บางคนสังเกตเห็นย่อมจัดการเจ้าได้โดยง่าย”

ร่างสูงโปร่งนั้นพูดพลางก้าวขึ้นไปบนอากาศ มาถึงเหนือชั้นเมฆ

ในทัศนวิสัยของเขา ทั้งแดนเทพมากเร้นเหมือนมองเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด

โลกนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในแดนเทพมากเร้นนั้นราวกับไข่มุกเปล่งประกายมากมาย

สายตาของเงาร่างสูงโปร่งมองผ่านโลกส่องประกายเหมือนไข่มุกนับไม่ถ้วนนี้ไปยังที่ห่างไกลยิ่งกว่า ที่นั่นมีเส้นทางลึกลับมืดมัวสายหนึ่งนามว่า ‘ทางพิฆาตเซียน’

อีกด้านหนึ่งของทางพิฆาตเซียนก็คือแดนเทพสรรพวิญญาณ

“แดนเทพสรรพวิญญาณมีเก้าชั้นฟ้า หนึ่งชั้นฟ้าหนึ่งประตู หนึ่งประตูหนึ่งนัยเร้นลับ หลินคง ข้าขอถามเจ้า ปีนั้นยามเจ้าเข้าสู่ด่านแรก ‘โลกแปรปุถุชน’ เจ้าบุกผ่านประตูสวรรค์บานนั้นอย่างไร”

เสียงนิ่งสงบดังมาจากเวิ้งฟ้า

เฉินหลินคงพูดโดยไม่ต้องคิด “ตอนนั้นข้าใช้มหามรรคของตนร่วมการต่อสู้มหามรรคสามสิบเก้าครั้งในโลกแปรปุถุชน สามสิบครั้งแรกข้าใช้กระบี่ไปมาก ทั้งสิ้นเปลืองแรงกำลังและความคิดมากมาย เก้าครั้งต่อมาจึงคร้านจะพูดมากความอีก ใช้กระบี่เดียวถล่มสิ้น ถึงตอนนี้จึงชิงผลมรรคแรกกำเนิดมาได้ผลหนึ่ง ทะยานเข้าไปในประตูสวรรค์”

เมื่อพูดถึงเรื่องพวกนี้เฉินหลินคงอดจิตใจปั่นป่วนไม่ได้

โลกแปรปุถุชน

สถานที่ขัดเกลาปุถุชน

เมื่อผู้ฝึกปราณทุกคนเข้าสู่โลกนี้จะมีการต่อสู้มหามรรค ใครชนะย่อมสามารถใช้วิชามรรคของตนเปลี่ยนสถานการณ์ในใต้หล้าได้ ใช้กฎระเบียบของตนแปลงเป็นกฎเหล็กและกฎเกณฑ์ชี้นำสรรพชีวิต ทำให้สรรพสิ่งในโลกนี้ยอมรับหลักมหามรรคของตน ยกย่องเป็นบรรทัดฐาน

เมื่อทำถึงขั้นนี้แล้วจะได้รับ ‘นัยเร้นลับ’ ของโลกนี้… ผลมรรคแรกกำเนิด!

พลังกฎระเบียบฟ้าประทานอย่างหนึ่งที่เกิดจากบ่อเกิดแรกกำเนิด

ถึงตอนนี้ก็บุกผ่านประตูสวรรค์ชั้นแรกได้อย่างราบรื่น

“ปีนั้นยามเจ้าอยู่โลกแปรปุถุชน เจ้าแปลงวิชามรรคเป็นสิ่งใด”

บนเวิ้งฟ้าร่างสูงโปร่งนั้นเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ

เฉินหลินคงกล่าว “ศิลากระบี่เล่มหนึ่ง แม้ยาวแค่สามฉื่อแต่มีอานุภาพขวางน่านฟ้า ตอนนั้นจัดอยู่ในระเบียบมรรควัฏจักรโลกแปรปุถุชน”

เขาพูดถึงตรงนี้แล้วอดเอ่ยถามไม่ได้ “ท่านปู่ ท่านถามเรื่องพวกนี้ทำไม”

“ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา มีบุคคลเทียมฟ้าจากแต่ละยุคสมัยมาเยือนแหล่งสถานอัศจรรย์ ด่านแรกนี้จะปรากฏในโลกแปรปุถุชน”

“หากข้าคำนวณไม่ผิด มาถึงวันนี้ผู้บุกผ่านประตูสวรรค์ด่านแรกมีถึงหนึ่งพันหกร้อยสิบสี่คนแล้ว แต่เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้ผู้ที่ติดอยู่ในโลกแปรปุถุชนมีเท่าไร”

ร่างสูงโปร่งนั้นถามเองตอบเอง “อย่างน้อยย่อมมีมากนับหมื่น!”

“ผู้ก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตนับหมื่นก็หมายถึงมหามรรคเทียมฟ้านับหมื่น ใครก็อยากโดดเด่นเหนือคนอื่นในการต่อสู้มหามรรค ทำให้มรรคของตนครอบครองพื้นที่อยู่ในระเบียบมรรควัฏจักรโลกแปรปุถุชน แค่คิดก็รู้ถึงความดุเดือดของการต่อสู้แล้ว”

ร่างสูงโปร่งพูดถึงตรงนี้แล้วเอ่ยถาม “หลินคง ตอนนั้นเจ้าใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะบุกผ่านประตูสวรรค์ของโลกแปรปุถุชน”

“สามสิบสามปี” เฉินหลินคงกล่าวฉับพลัน

ร่างสูงโปร่งถามอีก “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าหากศิษย์คนเล็กของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลมาแล้ว เขาจะใช้เวลาบุกผ่านโลกแปรปุถุชนนี้นานเท่าไร”

“นี่…”

เฉินหลินคงจมสู่ภวังค์ความคิด

ปีนั้นตอนเขาจากแหล่งสถานศุภโชคมา หลินสวินเพิ่งเป็นผู้ฝึกปราณบนมรรคาอมตะ

ถ้าหลินสวินมีความสามารถฟันฝ่าจากทะเลโชคชะตามาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์นี้อย่างราบรื่น อย่างน้อยพลังปราณก็ต้องอยู่ในขั้นไร้ขอบเขต

กอปรกับความเข้าใจเรื่องรากฐานและพรสวรรค์ของหลินสวิน เฉินหลินคงกล่าว “คนอย่างเขาถ้าเข้าสู่ขั้นไร้ขอบเขต พลังต่อสู้ใช่ว่าคนระดับเดียวกันจะเทียบได้ ถ้าคิดบุกฝ่าประตูสวรรค์แห่งโลกแปรปุถุชนนี้ย่อมไม่ด้อยไปกว่าข้าแน่”

ร่างสูงโปร่งอดหัวเราะร่าไม่ได้ “ความเร็วช้าไม่อาจวัดความสูงต่ำของแต่ละมรรควิถี ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าหลินสวินต้องต่างจากผู้ประชันทุกคนในอดีตแน่”

เฉินหลินคงจมสู่ห้วงความคิดอย่างอดไม่ได้

ตูม!

พยับเมฆลึกล้ำ แสงอสนีวูบไหว บนท้องฟ้าเหนือภูผาธาราดั้งเดิมราวรกร้าง เมฆดำโหมกระหน่ำ อสนีบาตปั่นป่วน กระเทือนจนหมื่นภูผาสั่นคลอน สรรพวิญญาณแตกตื่น

ไม่นานฝนเม็ดใหญ่สาดพรมลงมา ทำให้ฟ้าดินเปี่ยมหมอกฝนเลือนราง ยังมีเสียงคำรามของสิ่งมีชีวิตดังมาแต่ไกล

หลินสวินกับซย่าจื้อยืนอยู่ใต้กำแพงหินตรงเชิงเขาลูกหนึ่ง กำแพงหินเว้าเป็นโพรงราวสิบจั้ง สามารถหลบฝนได้พอดี

สายตาหลินสวินกวาดมองโดยรอบ แววตาพลันเหม่อลอย

ก่อนหน้านี้เขากับซย่าจื้อเหยียบแท่นมรรคบัวชะตามาด้วยกัน จากนั้นก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเหมือนดาวเคลื่อนดาราคล้อย เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้น

พวกเขาสองคนแหวกอากาศมาปรากฏตัวที่นี่ มองเห็นภาพภูผาธารารกร้าง คืนฝนพรำดุจน้ำตกเช่นนี้

“นี่ก็คือแหล่งสถานอัศจรรย์หรือ”

หลินสวินไม่กล้ายืนยันอยู่บ้าง

เขาแผ่จิตรับรู้ออกไปสัมผัสฟ้าดินแถบนี้

เพียงพริบตาการหยั่งรู้อัศจรรย์น่าเหลือเชื่อมากมายผุดขึ้นในใจ

‘โลกแปรปุถุชน โลกที่หนึ่งของแดนเทพสรรพวิญญาณ อาณาเขตไร้สิ้นสุด กว้างใหญ่หาใดเปรียบ มีอาณาจักรที่ปุถุชนคนธรรมดาสร้างขึ้นสี่สิบเก้าแห่งกระจายอยู่ในแต่ละพื้นที่ของโลกนี้ ทุกอาณาจักรล้วนมีสรรพชีวิตนับหมื่น…’

‘การต่อสู้มหามรรค ใช้วิชามรรคของตนสร้างอิทธิพลในใต้หล้า แปลงกฎระเบียบของตนเป็นกฎเกณฑ์สั่งสอนสรรพชีวิต เปลี่ยนมรรคของตนให้เข้ากับระเบียบมรรควัฏจักรในโลกนี้ ครั้นแล้วจึงได้รับ ‘ผลมรรคแรกกำเนิด’ เข้าสู่ประตูสวรรค์…’

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ในที่สุดหลินสวินก็กล้าแน่ใจ ตนกับซย่าจื้อมาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์แล้วจริงๆ!

แต่การมีอยู่ของโลกแปรปุถุชนนี้กลับดูน่าเหลือเชื่อนัก

การต่อสู้มหามรรค สิ่งที่ประชันกันคือความสูงต่ำ สิ่งที่สู้กันก็คืออิทธิพลด้านมหามรรคของแต่ละคน เช่นนี้จึงจะทำให้วิชามรรคของตนเข้ากับ ‘ระเบียบมรรควัฏจักรโลกแปรปุถุชน’ กลายเป็นกฎเหล็กและกฎเกณฑ์ที่ขัดเกลาสรรพชีวิตได้

“น่าสนใจ”

หลินสวินบอกเรื่องที่รู้มากับซย่าจื้อ

ซย่าจื้อคิดไปคิดมาแล้วกล่าวเสียงชัดกระจ่าง “ก็แค่สู้กัน แข่งกันว่ามหามรรคของใครร้ายกาจกว่า”

หลินสวินยิ้มขึ้นมา “ก็ถูก”

ในหัวกลับนึกถึงผู้คนมากมายอย่างอดไม่ได้

เช่นอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมล จักจั่นทอง เฉินหลินคงเป็นต้น

ทั้งนึกถึงสหายที่รู้จักกันมาหลายปีตอนอยู่ทะเลโชคชะตาอย่างพวกสิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลีด้วย

‘ก็ไม่รู้ว่าจะเจอพวกเขาในโลกแปรปุถุชนนี้หรือไม่…’

หลินสวินใคร่ครวญ

ทันใดนั้นจุดที่ห่างออกไปมีเสียงอสนีดังก้อง ในคืนฝนพรำป่วนคลั่งที่มืดสนิทมีเสียงเข่นฆ่าโรมรันระลอกหนึ่งดังขึ้นรางๆ

หลินสวินไม่ตระหนกกลับยินดี เอ่ยว่า “ไป พวกเราไปดูกัน”

เขาเพิ่งมาถึง หากเจอสหายร่วมวิถีบางคนที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ของโลกแปรปุถุชนสักหน่อย แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาไปสืบเสาะทีละเรื่องด้วยตัวเอง

หลินสวินกับซย่าจื้อเคลื่อนแหวกอากาศไปทันที มุ่งไปทางใต้ไม่นานก็เจออารามเก่าแก่หลังหนึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาที่ปกคลุมด้วยฝนห่าใหญ่

เสียงเข่นฆ่าโรมรันนั้นดังมาจากอาราม

หลินสวินอดแปลกใจไม่ได้ แผ่จิตรับรู้ออกไป ภาพที่เห็นพลันเปลี่ยนไปทันที

ก็เห็นอารามที่ไม่สะดุดตานั้นกลับกลายเป็นอารามเทพเปี่ยมแสงทองหมื่นจั้งหลังหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัส ราวกับที่พำนักของทวยเทพ

เมื่อมองอย่างละเอียดในอารามกลับบูชารูปปั้นเทพองค์หนึ่ง ผมเผ้าพลิ้วไหว หน้าตาน่าเกรงขาม คล้ายเทพมาเยือนโลก เวลานี้รูปปั้นเทพส่องประกายสว่างไสว ปรากฏเป็นเงาร่างกำยำเจิดจรัสกรำศึก

คู่ต่อสู้ของเขาคือชายชุดเทาคนหนึ่ง มือถือดาบศึกสีเขียว ร่างเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงหมื่นชั้น อานุภาพน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

เป็นขั้นไร้ขอบเขตใหญ่คนหนึ่ง

เมื่อเห็นภาพนี้หลินสวินพลันเลิกคิ้ว

เห็นชัดว่าเขามองออก ว่าอารามเทพเปี่ยมแสงทองหมื่นจั้งกับมายาเทพภายในนั้นล้วนวิวัฒน์มาจากพลังกฎระเบียบ ไม่ใช่คนจริงๆ

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสิ่งที่ชายชุดเทานั่นกำลังสู้ด้วย เป็นพลังของอารามเทพแห่งนี้!

‘ในป่าลึกกลับมีอารามเทพอัศจรรย์ไม่ธรรมดาหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน ทั้งยังมีขั้นไร้ขอบเขตใหญ่วิ่งมาห้ำหั่นในคืนฝนพรำนี้ นี่เขากำลังทำอะไร’

หลินสวินสงสัยยิ่งกว่าเดิมแล้ว

ในตอนนี้เอง…

ฟุ่บ!

ทันใดนั้นชายชุดเทาคล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ถอยตัวออกมาจากอารามเทพ

อารามเทพเปล่งแสงทองหมื่นจั้งกับมายาในอารามนั้นล้วนสงบลงทันที เมื่อมองดูอีกครั้งอารามนั่นตั้งตระหง่านกลางหมู่เขา เก่าแก่เต็มกำลัง ไม่มีกลิ่นอายแม้แต่น้อย

“สหายยุทธ์คนใดมาเยือนที่นี่ โปรดปรากฏตัว”

ชายชุดเทานั่นกล่าวเสียงขรึม เสียงดังก้องรัตติกาลมืดมิด ถึงกับกลบเสียงอสนีบาตบนเวิ้งฟ้านั่น

เขากุมดาบศึกสีเขียว เงาร่างสูงตระหง่าน พลังกฎระเบียบบนตัวเปลี่ยนเป็นหมอกม่วงสลัวราง กลิ่นอายแข็งแกร่งหาใดเปรียบ

“ข้าคนแซ่หลินมาโดยไม่ได้รับเชิญ หากเป็นการรบกวนหวังว่าสหายยุทธ์จะเข้าใจ”

หลินสวินก้าวมาแต่ไกล ประสานมือไปทางชายชุดเทา

ด้านหลังเขาซย่าจื้อเดินตามมาติดๆ

สายตาชายชุดเทากวาดมองหลินสวินกับซย่าจื้อแล้วขมวดคิ้วกล่าว “สหายยุทธ์ไม่รู้หรือว่าในโลกแปรปุถุชนนี้ ยามต่อสู้มหามรรคห้ามสอดแนมคนอื่น”

ต่อสู้มหามรรค?

หลินสวินอึ้งงัน จากนั้นก็ประสานมือพูดตามจริง “สหายยุทธ์อย่าได้โกรธ ข้าคนแซ่หลินเพิ่งมาถึงโลกนี้ ยังไม่เข้าใจเรื่องราวบนโลกนี้”

นัยน์ตาของชายชุดเทาฉายแววกระจ่าง กล่าวว่า “ที่แท้ก็เพิ่งฟันฝ่าจากทะเลโชคชะตามาถึงที่นี่ ถือว่าเข้าใจได้”

เห็นชัดว่าเขาผ่อนคลายลงไม่น้อย เก็บดาบศึกสีเขียวในมือลงไป ประสานมือทักทาย “พบกันถือเป็นวาสนา ข้าชื่อ ‘เนี่ยถิง’ ก่อนที่ยุคเซียนยุทธ์จะดับสูญ ข้าฟันฝ่ามาถึงโลกแปรปุถุชนนี้ ขอถามสหายยุทธ์มีนามว่ากระไร”

หลินสวินประสานมือกล่าวเช่นกัน “ข้าชื่อหลินสวิน มาจากยุควิญญาณยุทธ์”

“ที่แท้ก็เป็นสหายยุทธ์หลินสวิน… หืม? เดี๋ยวก่อน เจ้าก็คือหลินสวินนั่นหรือ!?”

ชายชุดเทาที่เรียกตัวเองว่าเนี่ยถิงพูดเหมือนตระหนักถึงอะไรบางอย่าง เบิกตากว้างทันใด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท