ตอนที่ 3171 ศึกไล่ล่า
ผู้ฝึกปราณภาคีอาคเนย์เหล่านั้นพลันตระหนก
ตูม!
กลิ่นอายชวนประหวั่นอบอวลออกมาจากร่างพวกเขา แต่ละคนต่างเรียกสมบัติออกมาทันที เคลื่อนตัวเข้าไปในพยับหมอกที่ห่างไกลเต็มกำลัง
ความเร็วของการตอบสนองทำให้ผู้คนอึ้งค้างนัก
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ สามารถโลดแล่นทั่วโลกมืดมนแห่งนี้มานานปี มีหรือจะธรรมดา
แต่สิ่งที่ไวกว่าความเร็วของพวกเขาก็คือเจตกระบี่ที่พุ่งขวางอากาศสายหนึ่ง!
อานุภาพดุจสายรุ้งทะลวงเมฆ แฝงพลังยิ่งใหญ่สยบหมื่นมรรคทั่วหล้า ปรากฏกลางฟ้าดินเปี่ยมหมอกหนาแถบนี้กะทันหัน
ตูม!
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้เพียงรู้สึกเหมือนมีกระบี่เล่มหนึ่งฟันลงกลางใจ รวดร้าวเหมือนถูกกรีดแหวก ราวกับถูกเฉือนจิตวิญญาณในชั่วขณะเดียว ภาพเบื้องหน้าเป็นสีดำ
สภาวะจิตบาดเจ็บสาหัส แผลมรรคทั่วไปจะเทียบได้อย่างไร
ก็เห็นเงาร่างพวกเขาโซเซ การขับเคลื่อนพลังทั่วร่างปั่นป่วน อดส่งเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดไม่ได้
“แย่แล้ว!”
“ขอความช่วยเหลือเร็ว!!”
เสียงเพิ่งดังขึ้นซย่าจื้อก็ลงมือแล้ว นางโบกสะบัดทวนกระดูกขาว แทงออกไปห้าครั้งติดในพริบตา
ตึงๆๆๆๆ!
เงาร่างทั้งห้าล้มลงอย่างรวดเร็ว ร่างกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่องทั่วฟ้า กายสิ้นมรรคสลาย
ส่วนอีกคนที่เหลืออยู่ก็ถูกซย่าจื้อจับไว้อย่างแน่นหนา
ตูม!
คราวนี้เจตกระบี่ยิ่งใหญ่ที่พุ่งขวางอากาศนั้นจึงสลายไป
เงาร่างของหลินสวินก้าวเข้ามา มองคนที่ถูกซย่าจื้อจับตัวไว้เล็กน้อยก่อนยิ้มกล่าวอย่างอดไม่ได้ “คนพวกนี้ข่มอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ”
“พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะย้อนกลับมาโจมตี” ซย่าจื้อพูดพลางส่งตัวผู้ฝึกปราณคนนั้นให้หลินสวิน
นี่คือชายสวมชุดคลุมพญางูคนหนึ่ง เป็นผู้นำของผู้ฝึกปราณกลุ่มนี้ ปัจจุบันกำลังหมดสติ
หลินสวินไม่คิดจะปลุกอีกฝ่ายมาซักถาม โคจรวิชาลับเริ่มค้นจิตวิญญาณโดยตรง
ไม่นานความทรงจำมากมายถูกหลินสวินรับรู้ราวกับกระแสน้ำ
หลินสวินถึงได้รู้ว่าผู้ฝึกปราณเหล่านี้มาจากภาคีอาคเนย์ หนึ่งในเก้าภาคีไท่ชู ครั้งนี้มาจัดการตนด้วยรับคำสั่งจากขู่เหอจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์
ในโลกมืดมนนี้ทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์มีทั้งหมดห้าสิบเจ็ดคน ผู้นำคือชายชราชุดขาวคนหนึ่งนามว่าถูซานเหลิ่ง
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลสัพเพเหระอย่างอื่นด้วย
แน่นอนว่าสิ่งที่มีประโยชน์กับหลินสวินที่สุดในการค้นจิตวิญญาณ ก็คือทำให้หลินสวินได้รับภาพภูมิลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับโลกมืดมน!
เมื่อมีแผนภาพนี้แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นหลงทางในโลกนี้
ขณะเดียวกันในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจ เป้าหมายที่ทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์ซุ่มโจมตีก่อนหน้านี้ เพราะต้องการล่อเขากับซย่าจื้อไปยังพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งนามว่า ‘น้ำพุมืดมน’
ใกล้เขตต้องห้ามแห่งนั้นมีราชันวิญญาณหมอกตนหนึ่งครอบครอง แผนการของทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์พวกนี้ก็ง่ายมาก นั่นคือการยืมดาบฆ่าคน!
เมื่อรู้เรื่องพวกนี้แล้วหลินสวินกลับไม่รู้สึกผิดคาด
ตั้งแต่เข้าสู่โลกแปรปุถุชนก็มีทูตชะตาสวรรค์จากภาคีหรดีคิดฆ่าตน การเจอเคราะห์สังหารจากทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์ในโลกมืดมนตอนนี้ก็อยู่ในการคาดเดาของหลินสวิน
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจ พาซย่าจื้อมุ่งหน้าไปยังที่ห่างไกล
…
เขาเทพสังหาร
“นับเวลาดูแล้ว หากพวกชิ่งขุยทำสำเร็จ ตอนนี้คงล่อหลินสวินกับผู้หญิงนั่นไปใกล้น้ำพุมืดมนแล้ว”
โหย่วเจียงในชุดคลุมเพลิงเอ่ยปากเสียงเบา
ข้างกายเขายังมีผู้ฝึกปราณภาคีอาคเนย์หลายสิบคนยืนอยู่ แต่ละคนกลิ่นอายซ่อนคม กระจายอยู่ทั่วเขาเทพสังหารที่พยับหมอกปกคลุมนี้ ยากจะถูกคนสังเกตเห็น
“มีข่าวส่งกลับมาหรือไม่”
ถูซานเหลิ่งในชุดขาวที่เป็นผู้นำขมวดคิ้วกล่าว
“ไม่มี”
โหย่วเจียงส่ายหัว
“ไม่ว่าภารกิจสำเร็จหรือล้มเหลว ด้วยนิสัยของพวกชิ่งขุยต้องส่งข่าวมาทันทีแน่ แต่ตอนนี้กลับไม่มีข่าวส่งกลับมา…”
สีหน้าถูซานเหลิ่งเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “จากที่ข้าดู เรื่องราวเปลี่ยนเป็นไม่เข้าทีแล้ว!”
โหย่วเจียงใจกระตุกวูบ กล่าวว่า “หรือพวกเขาประสบเคราะห์แล้ว”
“ประสบเคราะห์ยังเป็นเรื่องเล็ก ห่วงว่าตอนนี้หลินสวินคงรีบเร่งมาเขาเทพสังหารนี้แล้ว!”
ถูซานเหลิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนตัดสินใจ “ไม่อาจรออีกต่อไปแล้ว พวกเราออกเดินทางทันที มุ่งหน้าไปยังน้ำพุมืดมน!”
เขาพูดพลางเริ่มเคลื่อนไหวก่อน
โหย่วเจียงอึ้งไปครู่หนึ่ง แม้รู้สึกว่าถูซานเหลิ่งระวังตัวเกินไปอยู่บ้าง แต่ยังนำทุกคนตามไป
“ระหว่างทางให้ทิ้งร่องรอยไว้ ข้าอยากให้พวกหลินสวินรู้ว่าพวกเรามุ่งหน้าไปยังน้ำพุมืดมนแล้ว”
ระหว่างทางถูซานเหลิ่งพลันเอ่ยปาก
“ขอรับ”
โหย่วเจียงพยักหน้ารับคำ
ไม่นานพวกเขาก็หายไปในพยับหมอกไร้ขอบเขต
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
เงาร่างของหลินสวินกับซย่าจื้อปรากฏตัวบนเขาเทพสังหาร
“คนพวกนี้ระวังตัวจริง” หลินสวินกล่าว เขาตรวจสอบโดยรอบแล้ว พบว่าศัตรูจากไปอย่างรีบเร่งก่อนพวกเขามาถึงนานแล้ว
“ยังตามต่อไหม” ซย่าจื้อถาม
“ตาม”
หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด
แม้ว่าโลกมืดมนนี้จะปกคลุมด้วยพยับหมอก แต่ปัจจุบันเขามีภาพภูมิลักษณ์ของโลกนี้แล้ว สถานการณ์ไม่ใช่ฝ่ายถูกกระทำเหมือนตอนแรก
“มาทางนี้”
ไม่นานหลินสวินก็สังเกตเห็นร่องรอยที่พวกถูซานเหลิ่งเหลือไว้ยามจากไป ชัดเจนเกินไปแล้ว เห็นชัดว่าศัตรูพวกนั้นเจตนาเหลือไว้
เมื่อหลินสวินตามต่อไป ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ พวกถูซานเหลิ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางน้ำพุมืดมน
การกระทำเช่นนี้พอจะพิสูจน์เรื่องบางอย่างแล้ว
หนึ่งคือศัตรูระวังตัวอย่างยิ่ง ไม่กล้าสู้ซึ่งหน้ากับตนโดยง่าย เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายคงรู้เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว
สองคือน้ำพุมืดมนนั้นเรียกได้ว่าเป็นแดนอัปมงคลของโลกนี้ ศัตรูกำลังคิดจะใช้ประโยชน์จากเขตต้องห้ามแห่งนี้มาจัดการตน
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้กลับยิ่งทำให้หลินสวินสงสัย
ข้อมูลที่เขาได้รับจากการค้นจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ บอกว่าน้ำพุมืดมนนั่นแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้แม้แต่ทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์อย่างถูซานเหลิ่งก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามไปตรวจสอบ
เช่นนั้นในน้ำพุมืดมนนี้มีสิ่งประหลาดอะไรซ่อนอยู่กันแน่
แน่นอนว่าคงไม่ใช่ราชันวิญญาณหมอกนั่น
‘รอจัดการศัตรูพวกนั้นแล้วค่อยไปเยือนใกล้น้ำพุมืดมนนั่น…’
หลินสวินลอบกล่าวในใจ
ผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ
ความเร็วในการมุ่งหน้าของหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นช้าลง ด้วยหากมุ่งหน้าไปอีกพันลี้ก็เป็นเขตต้องห้ามที่น้ำพุมืดมนตั้งอยู่
ร่องรอยที่ศัตรูเหลือไว้ก็เริ่มหายไปนับจากนี้
กล่าวได้ว่าหนทางกลางฟ้าดินเปี่ยมพยับหมอกข้างหน้านี้ มีโอกาสสูงว่าจะเจอการจู่โจมกะทันหันและเคราะห์สังหารนานัปการ
แต่เหนือความคาดหมายของหลินสวิน เมื่อเขากับซย่าจื้อเข้าไปใกล้น้ำพุมืดมน ตลอดทางกลับไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น
“ทำไมไม่เจอร่องรอยของศัตรู”
ซย่าจื้ออดเอ่ยถามไม่ได้
ยามนี้หลินสวินเข้าใจถ่องแท้แล้ว “เป้าหมายของพวกเขาคืออยากให้ข้าสู้กับราชันวิญญาณหมอก แน่นอนว่าก่อนถึงตอนนั้นคงไม่มีทางโผล่หัวโดยง่าย”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้เสียงแค่นหัวเราะหนึ่งพลันดังขึ้น “หลินสวิน เจ้าไม่ควรมา”
เสียงดังก้องกลางหมอก
จากนั้นกลางหมอกหนาใกล้ๆ พลันมีกลิ่นอายอันตรายนับร้อยปรากฏ ทั้งหมดล้วนพุ่งมาทางพวกหลินสวินกับซย่าจื้อ
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดทันที นิ้วมือทำมุทราตวัดไปกลางอากาศ
ตูม!
พยับหมอกกลางฟ้าดินโดยรอบพลันแตกซ่านฟุ้งกระจาย ราวกับถูกพายุกวาดล้างจนเกลี้ยง จากนั้นสายตาหลินสวินกับซย่าจื้อก็เห็นวิญญาณหมอกแน่นขนัดพุ่งมาจากทั่วทิศราวกับกระแสน้ำ
นี่ไม่ใช่ราชันวิญญาณหมอก แต่กระบวนรบนั้นกลับดูน่ากลัวยิ่งกว่า
เพราะกลิ่นอายของวิญญาณหมอกพวกนั้นล้วนไม่ด้อยไปกว่าขั้นไร้ขอบเขตใหญ่!
แต่หลินสวินและซย่าจื้อกลับนิ่งสงบ
ตูม!
เงาร่างสูงโปร่งของหลินสวินพลันทะยานสู่ฟากฟ้า พริบตานั้นเหมือนหุบเหวกลืนกินตัดผ่านอากาศ แสงศักดิ์สิทธิ์มหามรรคยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตแผ่กระจาย แหวกผ่านพยับหมอกทั่วทิศ สาดส่องผืนฟ้าปฐพี
เมื่อเขาออกหมัดฟ้าดินครวญคร่ำ ห้วงอากาศทรุดตัว คล้ายแบกรับอานุภาพในพลังหมัดนั้นไม่อยู่ พวกวิญญาณหมอกเพิ่งพุ่งเข้ามาก็ถูกพลังหมัดยิ่งใหญ่นั้นกวาดล้าง กำราบเป็นวงกว้าง ไม่มีแรงดิ้นรนโดยสิ้นเชิง!
อีกทิศทางหนึ่งซย่าจื้อลงมือเช่นกัน เงาร่างอรชรก้าวเดินกลางอากาศ วาดทวนกระดูกขาวในมือ กระแสน้ำกาลเวลาสายหนึ่งปรากฏขึ้นทันใด ราวกับธารดาราเหนือฟากฟ้าทอดยาวลงมาบนโลก ขอแค่เป็นวิญญาณหมอกที่ถูกกวาดโดน แต่ละตนล้วนถูกพันธนาการแน่นหนาเหมือนตกอยู่ในวังวนเวลา
ต่อจากนั้นเมื่อหลินสวินกับซย่าจื้อร่วมมือกันเคลื่อนไหว วิญญาณหมอกที่พุ่งเข้ามาใกล้ราวกับฝูงแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ถูกกำราบกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ระหว่างนั้นราวกับพายุหอบเศษเมฆา
เพียงชั่วขณะวิญญาณหมอกพวกนั้นล้วนถูกกวาดล้างเกลี้ยง!
“นี่…”
ห่างออกไปมีเนินเขาเตี้ยลูกหนึ่ง ทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์อย่างพวกถูซานเหลิ่งล้วนยืนบนนั้น ทั้งเห็นภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งหมดตกใจจนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ มือเท้าเย็นเฉียบ
แม้แต่ใบหน้าชราของถูซานเหลิ่งยังเต็มไปด้วยความคร่ำเคร่ง
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
แข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาคาด
หากไม่เห็นกับตาตัวเอง พวกเขาคงไม่กล้าเชื่อว่าชายหญิงคู่หนึ่งที่เพิ่งเข้าสู่โลกแปรปุถุชนไม่ถึงหนึ่งปี จะมีอานุภาพพลิกฟ้าเช่นนี้ได้อย่างไร
“ขอบคุณทุกท่านที่มอบวิญญาณหมอกพวกนี้ให้ หากข้าคนแซ่หลินปฏิเสธคงเสียมารยาท”
เสียงหลินสวินดังขึ้นแต่ไกล สายตาเขามองมาทางผู้ฝึกปราณอย่างพวกถูซานเหลิ่ง
พยับหมอกกลางฟ้าดินแถบนี้ล้วนถูกสลายชั่วคราว ทำให้พวกถูซานเหลิ่งไม่อาจซ่อนตัวได้อีก
“บัดซบ!”
สีหน้าโหย่วเจียงคล้ำเขียว
เป็นอย่างที่หลินสวินพูด วิญญาณหมอกนับร้อยตนก่อนหน้านี้ล้วนเป็นวิญญาณหมอกที่ทูตชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์อย่างพวกเขากำราบได้ ก่อนหน้านี้ปล่อยออกมาเพื่อล้อมโจมตีหลินสวินกับซย่าจื้อ
ใครจะคิดว่าวิญญาณหมอกพวกนั้นกลับเป็นเนื้อเข้าปากเสือ ถูกหลินสวินกับซย่าจื้อกำราบและเก็บไปทั้งหมด!
“ไป!”
นัยน์ตาถูซานเหลิ่งหดรัด สังเกตเห็นว่าหลินสวินกับซย่าจื้อพุ่งมาทางนี้แล้ว มีหรือจะกล้าล่าช้าอีก
แต่เวลานี้เอง…
ตูม!
กลิ่นอายดุดันเยียบเย็นชวนประหวั่นไร้ขอบเขตพลันแผ่มาแต่ไกล ราวกับนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ที่หลับใหลมาชั่วกาลตื่นขึ้นมา
แค่กลิ่นอายนั้นก็ทำให้พวกถูซานเหลิ่งตัวแข็งทื่อ
ส่วนหลินสวินกับซย่าจื้อที่กำลังพุ่งตัวมาก็ผงะในใจ เงาร่างชะงักอยู่กลางทางพร้อมกัน
กลางฟ้าดินที่ห่างออกไป พยับหมอกทั่วฟ้าซ่านสลาย เงาร่างสูงหมื่นจั้งปรากฏ ทั้งตัวอบอวลด้วยไอขุ่นมัวโหมกระหน่ำราวน้ำตก เร้นลับดุดัน อานุภาพบดทลายห้วงอากาศกลางฟ้าดินแถบนั้น
มองจากไกลๆ เงาร่างหมื่นจั้งนั้นเหมือนจอมเทพฟ้าประทานที่ก้าวออกมาจากแดนแรกกำเนิด!