ตอนที่ 3181 ชีวิตข้าไม่โดดเดี่ยว มรรคข้ามีศัตรู

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3181 ชีวิตข้าไม่โดดเดี่ยว มรรคข้ามีศัตรู

บรรยากาศเงียบสงบ กลางฟ้าดินนอกจากกลุ่มแสงเปลวเพลิงนับไม่หวาดไม่ไหวนั่นแล้ว ก็ดูเหมือนเหลือราชันไท่ชูที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นมรรคกับ หลินสวินที่เพิ่งมาถึงที่นี่เพียงสองคน

เมื่อได้ยินคำพูดของไท่ชู หลินสวินแปลกใจอย่างไม่อาจเลี่ยง กล่าวว่า “เจ้ารอข้าแต่แรกแล้วหรือ”

“ใช่ กล่าวให้ถูกต้องคือทุกสิ่งที่เจ้าเห็นเบื้องหน้า เป็นเพียงพลังเจตจำนงสายหนึ่งของข้าเท่านั้น”

หน้าตาของไท่ชูไม่ถึงขั้นหล่อเหลา แต่กลับมีกลิ่นอายพิสุทธิ์สายหนึ่ง ดุจดั่งไผ่เขียวริมผา อยู่ลำพังกลางทะเลเมฆ

กลิ่นอายบนตัวเขาก็อ่อนโยนราบเรียบเช่นกัน ทำให้คนไม่รู้สึกถึงความกดดันและเป็นปรปักษ์ใดๆ สักนิด

แต่หลินสวินไม่กล้าดูเบาอีกฝ่าย

ต่อให้เป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนง แต่ในเมื่อร่างต้นของเขาคือไท่ชู ภัยคุกคามที่มีอยู่ก็แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

“รอข้าทำไม”

หลินสวินถามอีก

ไท่ชูยิ้มกล่าว “เจ้ามาครานี้ น่าจะเพราะสังเกตเห็นว่าพรสวรรค์ในตัวอาจมีปัญหา ดังนั้นจึงมาย้อนทวนต้นกำเนิดถูกต้องหรือไม่”

“ไม่ผิด”

หลินสวินไม่ได้ปฏิเสธ

ไท่ชูกล่าวอย่างใคร่รู้ “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ การทำเช่นนี้จะทำให้ชีวิตในอดีตของเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงขึ้นมากมาย กฎกรรมที่ยากคาดเดาสารพัดจะเกิดขึ้นตามมา และส่งผลกระทบต่อมรรคาที่เจ้าครอบครองในตอนนี้”

เวลานี้จู่ๆ หลินสวินก็ตระหนักถึงปัญหาอย่างหนึ่ง

รูปจำลองเจตจำนงที่ไท่ชูทิ้งไว้ตรงหน้า ดูเหมือนจะเข้าใจไปตามจิตใต้สำนึกว่าตนมาจากธารชีวิตของโลกย้อนกำเนิด!

หลินสวินคิดถึงตรงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวตรงไปตรงมา “เจ้าเดาผิดแล้ว ข้ามาโดยอาศัยเรือนิรันดร์ นี่จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่ออดีตของข้า และย่อมไม่อาจส่งผลต่อมรรควิถีในตอนนี้ของข้าเช่นกัน”

ไท่ชูอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “เจ้ารู้ว่าข้าเดาผิด เหตุใดกลับบอกความจริงออกมาเล่า”

หลินสวินกล่าว “ถึงเวลานี้ข้าก็คร้านจะปกปิดอะไรแล้ว และข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำเช่นนี้เหมือนกัน หาไม่ข้าคงจะผิดหวังยิ่ง”

“ผิดหวังอะไร”

ไท่ชูกล่าวอย่างใคร่รู้

หลินสวินเอ่ยเรียบๆ “ผิดหวังที่คนระดับเจ้ากลับรู้จักแต่ใช้ลูกไม้ตื้นๆ หากเป็นเช่นนี้ โลกนี้ก็ขาดศัตรูที่สามารถทำให้ข้านับถือไปหนึ่งคนแล้ว”

ไท่ชูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวคล้ายทอดถอนใจ “เจ้าทำให้ข้านึกถึงคำที่มือกระบี่คนหนึ่งกล่าวไว้ บนโลกนี้สิ่งที่พบเจอยากที่สุดก็คือศัตรูที่น่าชื่นชมนับถือ”

“น่าเสียดาย เขาละทิ้งมรรควิถีในตัวจากไป เรื่องนี้ทำให้ข้าเศร้าใจไประยะหนึ่งเช่นกัน”

“แต่ยังดีที่โลกนี้ยังมีเฉินซี มีเจ้าเฒ่าโพธิที่ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อประชันหมากกับข้า มีจักจั่นทองที่มหามรรคเทียบเคียงกับข้า…”

เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ สายตามองมายังหลินสวิน “ตอนนี้มีเจ้าเพิ่มมาหนึ่งคน เช่นนี้ชีวิตข้าก็ไม่โดดเดี่ยว มรรคข้ามีศัตรู ไยจะไม่เบิกบาน”

สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความรื่นรมย์และกระปรี้กระเปร่า

“เช่นนั้นข้าต้องรู้สึกเป็นเกียรติใช่หรือไม่”

หลินสวินกล่าว

รอยยิ้มของไท่ชูเบิกบาน กล่าวว่า “ไม่ต้องก็ได้ สิ่งที่ข้าชื่นชมตอนนี้คือสภาวะจิตของเจ้า ส่วนมรรคาของเจ้าในตอนนี้ยังไม่เพียงพอจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”

เสียงราบเรียบกลับเสมือนกำลังแจงข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง

หลินสวินไม่ได้รู้สึกขุ่นข้องแต่อย่างใด กลับกันยังเอ่ยแก้อย่างจริงจัง “ผิดแล้ว ตอนนี้ข้าอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของร่างต้นของเจ้า แต่พลังเจตจำนงของเจ้าก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”

เขาเว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้น ยามข้าไปถึงแดนเทพมากเร้น ใครกล้ามั่นใจว่าข้าในตอนนั้นจะสู้เจ้าไม่ได้”

ไท่ชูปรบมือยิ้มกล่าว “พูดได้ดี! พวกโง่เง่าบนโลกใบนี้เยอะเกินไป ผู้ที่มีความสามารถตามที่พูดกลับมีเพียงหยิบมือ ข้ายิ่งรอคอยขึ้นอีกว่าเจ้าในตอนนี้จะไปจากที่นี่อย่างไร”

หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน “ไม่ว่าเจ้าจะรอคอยหรือไม่ ในเมื่อข้ามาได้ก็ย่อมออกไปได้”

ตั้งแต่พบหน้ากันจนถึงตอนนี้ ทั้งคู่เหมือนสหายที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้ม ไม่เห็นกลิ่นอายความตึงเครียดใดๆ สักนิด

แต่ความรู้สึกและท่าทีที่เผยออกมาระหว่างสนทนากลับคล้ายเป็นการประลองของดาบคมไร้รูป

ประหนึ่งฟ้าคำรามกลางความเงียบ!

ไท่ชูนิ่งเงียบครู่หนึ่ง รอยยิ้มตรงมุมปากหุบไปแล้ว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด”

“ขอโปรดชี้แจง” หลินสวินกล่าว

ไท่ชูกล่าว “นี่คือมุมหนึ่งของเขตผนึกชีวิต”

“เขตผนึกชีวิตหรือ”

หลินสวินประหลาดใจ

“ไม่ผิด ผู้ที่เกิดมามีชีวิตสามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ในสายตาผู้ฝึกปราณอย่างพวกเรา หมื่นโลกทั่วหล้า สรรพชีวิตหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า สัตว์เดรัจฉาน หรือจะเป็นพวกภูตพรายผีสาง มารปีศาจ หรือแม้แต่เผ่าพันธุ์ต่างๆ นับไม่หวาดไม่ไหวนั่น ว่ากันถึงที่สุดล้วนเป็นชีวิตที่สดใหม่”

ไท่ชูกล่าว “แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างขั้นไร้ขอบเขตก็ไม่มีทางไปสร้างชีวิต เช่นนั้นเจ้าคิดว่าชีวิตมาจากที่ใด”

หากเป็นเมื่อก่อนหลินสวินย่อมตอบว่า ชีวิตในคราแรกสุดฟูมฟักโดยโลกแรกกำเนิด แบ่งฟ้าแบ่งดิน ดังนั้นหมื่นชีวิตจึงมีวิญญาณ สติปัญญาตื่นรู้และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในมหามรรค จากนั้นด้วยการสืบพันธุ์และเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตหลากหลายรูปแบบในหมื่นโลกทั่วหล้า

แต่ตอนนี้หลินสวินกลับอึ้งงั้น

หากโลกแรกกำเนิดฟูมฟักชีวิต เช่นนั้นฟูมฟักอย่างไรกันเล่า

ที่ไท่ชูถาม เห็นชัดว่ากำลังถามว่าต้นกำเนิดของชีวิตรังสรรค์ขึ้นมาจากพลังมหามรรคแรกกำเนิดชนิดใดกันแน่

“ในสายตาของคนอย่างพวกเรา มหามรรคอย่างโชคชะตา กฎกรรมเรียกได้ว่าสูงสุดแล้ว แต่แก่นแท้และต้นกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตกลับแทบไม่มีใครสามารถสัมผัสได้”

ไท่ชูกล่าวเรียบเรื่อย “กระทั่งข้าก็รู้เรื่องพวกนี้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น ไม่อาจสอดส่องนัยเร้นลับภายในนั้น ทว่าตั้งแต่มาถึงเขตผนึกชีวิตแห่งนี้ ในที่สุดข้าก็พบนัยเร้นลับที่เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดชีวิตบางส่วน”

ไท่ชูกล่าวพลางชี้ไปยังกลุ่มแสงเพลิงนับไม่ถ้วนกลางฟ้าดินบริเวณใกล้เคียงนั่น เอ่ยว่า “เจ้าดู พวกนี้เป็นพลังพรสวรรค์ที่ฟูมฟักอยู่ที่นี่ ทุกวันทุกขณะล้วนมีพรสวรรค์ใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้น และมีพรสวรรค์บางส่วนสูญหายไป อัศจรรย์ยิ่ง”

หลินสวินหันมองไป กลุ่มแสงเพลิงที่ลุกโชนดุจดั่งดวงดาวไพศาลนั่นพลันเปลี่ยนไปจากเดิมในพริบตา

พรสวรรค์!

พลังอย่างหนึ่งที่ติดตัวมาแต่เกิด

สามารถตื่นขึ้นจากสายเลือด สามารถควบคุมจากในจิตวิญญาณ และสามารถงอกเงยในจุดใดก็ได้ในร่างกาย

อย่างเช่นเผ่าพันธุ์เกิดมามีปีก ตั้งแต่กำเนิดก็สามารถบินท่องกลางฟ้าดิน บางพันธุ์เกิดมามีตาเพียงข้างเดียว แต่กลับครอบครองอภินิหารสุดพิเศษ

และสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างหงส์เซียน เต่าดำ เสือขาว มังกรเจินหลงยิ่งมีพลังพรสวรรค์สารพัดที่ติดตัวมาแต่เกิด

การมีอยู่ของพรสวรรค์ทำให้สิ่งมีชีวิตในโลกก็มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น

แต่หากย้อนทวนต้นกำเนิด พรสวรรค์ใดก็ตามล้วนถือกำเนิดภายในชีวิต!

และตอนนี้กลางฟ้าดินนี้กลับมีพลังพรสวรรค์ไร้สิ้นสุดดุจทรายในลำธารประดับอยู่ ปริมาณมากมายนั้นทำให้คนที่มีมรรควิถีอย่างหลินสวินยังไม่อาจระบุจำนวนเจาะจงได้ในปราดเดียว

อีกทั้งยามมองสำรวจ เขาสามารถมองเห็นกลุ่มแสงเพลิงมากมายกำลังหายไป ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มแสงเพลิงใหม่ถือกำเนิดขึ้น

ก่อเกิดมอดดับ เวียนวนไปมา ไร้ที่สิ้นสุด

“พรสวรรค์เป็นพลังที่เกิดมาพร้อมกับชีวิต แต่ในที่แห่งนี้เจ้ากลับสามารถมองเห็นพลังพรสวรรค์นับไม่ถ้วนถือปรากฏและเลือนหายไป สาเหตุเป็นเพราะกลางฟ้าดินนี้มีพลังที่สามารถฟูมฟักและสร้างพรสวรรค์กระจายอยู่ พลังเช่นนี้ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับความลับแห่งชีวิตแน่”

ไท่ชูกล่าวเนิบนาบ

“ดังนั้นเจ้าจึงมั่นใจว่าที่นี่คือเขตผนึกชีวิตหรือ”

หลินสวินกล่าว

“ไม่ นี่น่าจะเป็นเพียงมุมหนึ่งของเขตผนึกชีวิตเท่านั้น”

กล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาไท่ชูเจือแววแปลกไป “สหายน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่ามุมหนึ่งของเขตผนึกชีวิตที่พวกเราอยู่ในตอนนี้ตั้งอยู่ที่ใด”

หลินสวินกล่าว “ในเมื่อเจ้าถามเช่นนี้ ย่อมต้องคิดว่าข้าน่าจะเคยได้ยินชื่อสถานที่นี้แล้ว หากสันนิษฐานเช่นนี้… หรือว่าจะอยู่ในแดนเทพอัศจรรย์”

ไท่ชูอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ไม่ผิด”

แต่ในใจหลินสวินกลับไม่อาจสงบ

แหล่งสถานอัศจรรย์แบ่งออกเป็นสามส่วน คือแดนเทพสรรพวิญญาณ แดนเทพมากเร้น และแดนเทพอัศจรรย์

และแดนเทพอัศจรรย์ก็ถูกมองเป็นสถานที่ลึกลับที่สุดในแหล่งสถานอัศจรรย์!

แต่ในข้อมูลที่หลินสวินรู้มา ในกาลเวลานับแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเหยียบเข้าไปในนั้น เพราะในนั้นมีอันตรายยิ่งใหญ่ ผู้ที่เข้าไปเป็นต้องตาย!

และเพราะสัมผัสถึงอันตรายยิ่งใหญ่ระดับนี้ บุคคลชั้นเลิศอย่างพวกเฉินซี เจ้าแห่งคีรีดวงกมล จักจั่นทอง จึงจำศีลอยู่ในแดนเทพมากเร้น

ฉะนั้นการคาดเดาก่อนหน้านี้ของหลินสวินก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

แต่ไท่ชูกลับกล่าวว่าโลกภายในประตูนิรันดร์แห่งนี้ถึงกับอยู่ในแดนเทพอัศจรรย์จริงๆ นี่จะไม่ให้หลินสวินตกใจและแปลกใจได้อย่างไร

“แปลกใจมากหรือ นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่เคยไปถึงแดนเทพมากเร้น ไปสัมผัสกลิ่นอายของแดนเทพอัศจรรย์อย่างแท้จริง”

ไท่ชูยิ้มน้อยๆ “ครั้งนี้หากเจ้ามีโอกาสไปจากที่นี่ จะไปลองสัมผัสดูสักหน่อยก็ได้”

ความหมายนอกเหนือจากคำพูดก็คือ หากเจ้าออกไปไม่ได้ ทั้งหมดที่พูดไปล้วนเสียเปล่า

หลินสวินกล่าว “เจ้าเป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนงเท่านั้น กลับมั่นใจในตัวเองขนาดนี้ว่าจะรั้งข้าได้ หากข้าเดาไม่ผิด นี่เกรงว่าต้องเกี่ยวข้องกับพลังพรสวรรค์ของข้ากระมัง”

“ไม่ผิด”

แววตาไท่ชูชัดกระจ่างเยือกเย็น กล่าวอย่างใจเย็น “จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของเจ้า ย่อมเพื่อสืบหาที่มาของหุบเหวกลืนกิน เพื่อขจัดภัยแฝงนี้ และข้าบังเอิญรู้ว่าภัยแฝงของหุบเหวกลืนกินอยู่ที่ใด”

นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลงน้อยๆ กล่าว “เชิญชี้แนะ”

ไท่ชูคิดๆ แล้วกล่าว “นี่ยังต้องเริ่มเล่าจากสมบัติอย่างเรือนิรันดร์ ก่อนหน้านี้นานมาแล้วยามข้าเข้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์ครั้งแรกเคยได้รับศุภโชคน่าเหลือเชื่อไม่น้อย ที่วิเศษอัศจรรย์ที่สุดในนั้นก็คือเรือนิรันดร์”

นัยน์ตากระจ่างชัดของเขาทอแววรำลึก “เวลานั้นข้าท่องในแดนเทพมากเร้นเนิ่นนาน เพราะสัมผัสถึงอันตรายของแดนเทพอัศจรรย์ รู้ตัวว่าหากมุ่งหน้าไปสำรวจต้องตายสถานเดียว ฉะนั้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามโดยตลอด แต่ข้าก็ไม่ยินยอมหยุดฝีเท้าอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงตัดสินใจใช้วิชาแยกร่างไปลองดู”

“เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีข้าก็หลอมร่างแยกออกมาสามพันสาย ร่างแยกแต่ละสายล้วนมุ่งหน้าไปสำรวจในแดนเทพอัศจรรย์ด้วยวิธีแตกต่างกัน แต่ร่างแยกเหล่านั้นล้วนไม่ได้กลับมาอีกโดยไม่มีข้อยกเว้น คิดๆ แล้ว… คงเพราะประสบเคราะห์สูญสิ้นทั้งหมดแล้ว”

“แต่ข้าไม่ยินยอม หนึ่งแสนปีต่อจากนั้น ทุกๆ สิบปีข้าจะหลอมรวมร่างแยกมุ่งหน้าไปสำรวจแดนเทพอัศจรรย์…”

ไท่ชูกล่าวถึงตรงนี้ก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจยิ่ง “ทุกครั้งล้วนล้มเหลว ยามความล้มเหลวนับไม่ถ้วนนั้นสะสมขึ้นเรื่อยๆ ทําให้ข้าถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “ยังดีในปีที่หนึ่งแสนที่ข้าพยายามไม่หยุดหย่อน เรื่องก็เกิดการพลิกผันในที่สุด”

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท