ตอนที่ 3200 ศัตรูมาเยือน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3200 ศัตรูมาเยือน

เขาจันทร์ฉาย

อาณาเขตของสำนักวิญญาณสวรรค์

เพียงครึ่งเค่อเงาร่างหลินสวินก็ทะยานมาถึง

หลินสวินไม่ได้ไปสร้างความลำบากให้เจ้าตัวเล็กที่เฝ้าประตูเขาพวกนั้น แต่มุ่งตรงผ่านกระบวนผนึกใหญ่แน่นหนาไปโดยไร้สุ้มเสียง กระทั่งเข้าไปในสำนักวิญญาณสวรรค์

ไม่นานเขาก็มาถึงหน้าถ้ำสถิตแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในส่วนลึกของเขาจันทร์ฉาย

‘เป็นสถานที่ฝึกปราณที่ไม่เลวทีเดียว’

หลินสวินสองมือไพล่หลัง สำรวจถ้ำสถิตแห่งนี้ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยยื่นมือตวัดไปกลางอากาศเบาๆ

วู้ม!

พลังผนึกที่ปกคลุมรอบถ้ำสถิตเกิดคลื่นสะเทือนรุนแรงทันที

แต่กลับไม่มีการตอบสนองใดอยู่เนิ่นนาน

หลินสวินพลันเลิกคิ้ว ก้าวเท้าไปข้างหน้า พลังผนึกซึ่งปกคลุมรอบถ้ำสถิตระเบิดออกมาเหมือนเครื่องแก้วที่แตกง่ายทันที ส่วนเงาร่างเขาก็เข้าไปในถ้ำสถิตแล้ว

‘ผู้หญิงคนนี้ระวังตัวนัก ถึงกับหนีไปก่อนก้าวหนึ่ง…’

สายตาหลินสวินกวาดมองรอบถ้ำสถิต นำชาถ้วยหนึ่งมาไว้ในมือ น้ำชาอุ่น เห็นชัดว่าคนดื่มชาจากไปเกือบครึ่งเค่อแล้ว

‘ครึ่งเค่อก่อนข้าสังหารพวกเหวินถูหยางหน้าประตูเขาสำนักสวรรค์ยุทธ์ ผู้หญิงคนนี้คงสังเกตเห็นการตายของพวกเหวินถูหยางตอนนั้นจึงหลบหนีไปทันที’

เมื่อตระหนักถึงจุดนี้หลินสวินขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาคิดไม่ถึงว่าเถียนรั่วจิ้งจะระวังตัวเช่นนี้จริงๆ

‘หนีไปก็ไม่เป็นไร ข้าอยากดูนักว่าเจ้ายังจะซัดเลิกคลื่นลมได้อีกแค่ไหน’

หลินสวินหันหลังจากไป

แต่เมื่อเงาร่างเขาใกล้ออกจากสำนักวิญญาณสวรรค์ จิตรับรู้พลันจับเงาร่างคุ้นเคยหนึ่งได้…

เว่ยเสียน!

หรือก็คือผู้สืบทอดสำนักวิญญาณสวรรค์ที่เคยเล่นงานชิงเฟิง ทำให้ชิงเฟิงหมดสติไปคนนั้น

เวลานี้เว่ยเสียนที่สวมอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ ใบหน้างามสง่ากำลังคุยเล่นกับหญิงงามคนหนึ่ง

ทันใดนั้นเว่ยเสียนอึ้งงัน เบิกตากว้าง มองมาพลางกล่าวตกตะลึง “ชิงเฟิง!? ทำไมเฒ่าสวะอย่างเจ้าถึงอยู่ในสำนักวิญญาณสวรรค์ของข้า”

หลินสวินยิ้มเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามข้างกายเว่ยเสียน “หากพลังปราณเว่ยเสียนถูกกำจัด เจ้ายังรับปากว่าจะครองคู่กับเขาไหม”

หญิงงามตกตะลึง เห็นชัดว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

เว่ยเสียนสีหน้าขรึมลง พุ่งตัวไปข้างหน้า ซัดฝ่ามือไปทางหลินสวิน

แต่ไปได้ครึ่งทางร่างเขาพลันแข็งทื่อ จากนั้นพลังขับเคลื่อนบนตัวไหลออกเหมือนลูกหนังถูกเจาะรู

เพียงพริบตาเท่านั้นมรรควิถีทั้งตัวเว่ยเสียนหายไปจนเกลี้ยง ทั้งตัวเหมือนแก่ชราลงหลายปี เหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อเห็นภาพนี้หญิงงามตกใจจนร้องเสียงแหลม “กรี๊ด…!”

เมื่อมองไปอีกครั้งก็ไม่มีเงาร่างของหลินสวินแล้ว

“ไม่… ไม่… พลังปราณของข้า? พลังปราณของข้าล่ะ?!” เว่ยเสียนทรุดลงไปกองกับพื้น สั่นไปทั้งตัว สีหน้าตื่นตระหนกมึนงง ทั้งตัวราวกับมารคลั่งพังทลาย

ผู้ฝึกปราณที่สูงส่งอยู่เหนือผู้อื่นถูกเล่นงานจนกลับเป็นปุถุชนคนธรรมดาในชั่วขณะเดียว เรื่องนี้จะให้เว่ยเสียนยอมรับได้อย่างไร

“ศิษย์พี่ ข้าจะไปหาอาจารย์!”

หญิงงามเอ่ยเสียงสั่น กำลังหันหลังจากไป เว่ยเสียนตะโกนลั่น “ศิษย์น้อง เจ้า… เจ้าอย่าจากข้าไป! ขอร้องเจ้าล่ะ ขอร้องเจ้าล่ะ…”

“ศิษย์พี่ ข้าไม่ทำหรอก ท่านรอก่อน ข้าจะไปตามอาจารย์มา” หญิงงามฝืนยิ้มแล้วหันหลังจากไป

ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวมาอย่างรีบเร่ง เป็นอาจารย์ของเว่ยเสียนกับคนใหญ่คนโตบางส่วน

เว่ยเสียนหาไปหามาแล้วไม่เจอเงาร่างของหญิงงามนั่น ความหวังเสี้ยวสุดท้ายในใจดับสลาย

เขานึกถึงชิงเฟิงขึ้นมา นึกถึงคำดูถูกและถากถางซึ่งสวะอย่างชิงเฟิงได้รับในช่วงหลายปีมานี้…

‘ชิงเฟิงยังมีชิงเหิงศิษย์พี่เขาปกป้อง ยังมีมรรควิถีระดับกระบวนแปรจุติ ข้าล่ะ… ไม่มีพลังปราณ… ข้าไม่มีอะไรเลย…’

เวลานี้เว่ยเสียนพังทลายและคลุ้มคลั่งอย่างสมบูรณ์แล้ว

สำนักสวรรค์ยุทธ์

โถงใหญ่ของสำนัก

เมื่อหลินสวินมาถึง พวกชิงเหิงกับฝูอวิ๋นจื่อรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว

“สหายยุทธ์การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นหรือไม่” ชิงเหิงลุกขึ้นเอ่ยถาม

“เถียนรั่วจิ้งหนีไปล่วงหน้า หากไม่เกินคาดหมาย ถ้านางไม่ไปสำนักเซียนจงอางแดงก็ไปหอเซียน” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

เขากวาดมองทุกคนแล้วพบว่า ไม่ว่าชิงเหิงหรือพวกฝูอวิ๋นจื่อ ยามเผชิญหน้าตนล้วนนิ่งสงบนัก เห็นชัดว่ายอมรับความจริงที่ชิงเฟิงเป็นผู้แปรมรรคแล้ว

“เช่นนั้นก็ไม่เข้าทีแล้ว”

ชิงเหิงขมวดคิ้ว “ด้วยสติปัญญาของเถียนรั่วจิ้งต้องเดาเค้าเงื่อนบางอย่างออกแน่ ด้วยฐานะของนาง ไม่ว่าจะเป็นสำนักเซียนจงอางแดงหรือหอเซียน เกรงว่าคงส่งกำลังพลมาสืบเรื่องนี้ ถ้าพวกเขาพบว่าฐานะของสหายยุทธ์มีปัญหา…”

ไม่ต้องพูดจนจบความนัยล้วนเผยชัดเจนแล้ว

พวกฝูอวิ๋นจื่อหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด ไม่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร พวกเขาสำนักสวรรค์ยุทธ์คงไม่อาจวางตัวอยู่เหนือปัญหา!

กลับเห็นหลินสวินกล่าว “หากทุกท่านเชื่อใจข้าคนแซ่หลิน ข้าย่อมพาคนทั้งสำนักสวรรค์ยุทธ์จากที่แห่งนี้ไปพร้อมข้า”

พวกฝูอวิ๋นจื่อมองหน้ากันไปมา

ชิงเหิงกลับกล่าวตรงไปตรงมา “ได้!”

ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดมาก่อนแล้ว การตามหลินสวินไปจนสุดคือหนทางรอดเพียงหนึ่งเดียว มิฉะนั้นพวกเขาสำนักสวรรค์ยุทธ์จะไม่มีโอกาสรอดอีก

เมื่อเห็นชิงเหิงรับคำ พวกฝูอวิ๋นจื่อจึงพากันตกปากรับคำเช่นกัน

หลินสวินเห็นดังนี้แล้วไม่ลังเลอีก ทำการเคลื่อนไหวทันที

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

ตูม!

เขาวิญญาณแสงเฟิงอาณาเขตของสำนักสวรรค์ยุทธ์เกิดเสียงกัมปนาทรุนแรง จากนั้นค่อยผุดขึ้นจากพื้นดินทันที

ห่างไปไม่ไกลเมื่อสองมือของหลินสวินทำมุทรา เขาวิญญาณแสงเฟิงที่กว้างใหญ่หดเล็กลงต่อเนื่อง กระทั่งมีขนาดเท่ากำปั้นจึงถูกหลินสวินคว้ามากลางอากาศ ส่งมอบให้ชิงเหิงที่อยู่ข้างกาย

ชิงเหิงเก็บเขาวิญญาณแสงเฟิงเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระวังพลางกล่าว “สหายยุทธ์ ต่อจากนี้พวกเราจะไปไหนหรือ”

“ต่อให้ศัตรูเร่งเดินทางมาที่นี่ก็ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง พวกเราฉวยโอกาสนี้ไปจากที่นี่ก่อน รอข้าก้าวสู่มรรคาอมตะแล้วค่อยไปคิดบัญชีกับพวกเขาทั้งหมด”

หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด

ช่วงก่อนหน้านี้พลังปราณทั้งตัวเขาอ่อนแอ ได้แต่เก็บตัวจำศีลอยู่ในสำนักสวรรค์ยุทธ์

แต่ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว มรรควิถีทั้งตัวเขาบรรลุถึงระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ มีพลังป้องกันตัวเองแล้ว หากต้องการหาสถานที่ซ่อนตัว ต่อให้เป็นระดับอมตะก็ยากจะหาพบ

“ได้!”

ชิงเหิงพยักหน้า

“สหายยุทธ์อย่ากังวล ชีวิตนี้ข้าคนแซ่หลินผ่านเรื่องอันตรายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมานับไม่ถ้วน สถานการณ์ตอนนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร”

หลินสวินยิ้มเอ่ยปาก เขามองออกว่าชิงเหิงดูเหมือนสงบนิ่ง ความจริงในใจประหม่าและว้าวุ่นนัก

หลินสวินเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ทั้งท่านไม่ต้องห่วงอาการบาดเจ็บบนรากฐานมหามรรคของตน ข้าจะช่วยท่านจัดการเอง”

ชิงเหิงตัวสั่น ควบคุมความตื่นเต้นภายในใจอย่างเต็มที่ ประสานมือกล่าว “ขอบคุณสหายยุทธ์!”

หลินสวินยิ้มรับ ไม่พูดอะไรมากอีก พาชิงเหิงลอยล่องจากไป

สองวันต่อมา

ภายใต้เวิ้งฟ้า

เงาร่างเปี่ยมกลิ่นอายน่ากลัวมากมายเคลื่อนผ่านอากาศมา สุดท้ายค่อยหยุดอยู่ตรงอาณาเขตเดิมของสำนักสวรรค์ยุทธ์

ผู้นำคือหยวนจงผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งหอเซียน ระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสมบูรณ์คนหนึ่ง ทั้งเป็นหนึ่งในทูตชะตาสวรรค์ภาคีอีสานเจ็ดคนที่กระจายอยู่ในโลกแปรมรรค

ข้างกายเขามีระดับอมตะของหอเซียนติดตามมาด้วย ทั้งมีเฒ่าดึกดำบรรพ์ของสำนักเซียนจงอางแดงจำนวนหนึ่ง ล้วนมีมรรควิถีอมตะ

ส่วนเถียนรั่วจิ้งก็อยู่ในนั้นด้วย

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ระดับอมตะมากมาย มรรควิถีระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของนางกลับไม่อยู่ในสายตานัก

“เขาวิญญาณแสงเฟิงถึงกับหายไปแล้ว…”

นัยน์ตาเถียนรั่วจิ้งหดรัด

“ถ้าเช่นนั้นพวกเขาคงสังเกตเห็นว่าไม่เข้าที หนีไปก่อนล่วงหน้าแล้วหรือ”

หยวนจงผู้เป็นหัวหน้าขมวดคิ้ว

เขาสวมชุดยาวแขนกว้าง เกล้าผมยาวเป็นมวย รูปร่างสูงโปร่ง รอบตัวอบอวลด้วยวงแหวนเทพอมตะเกลี้ยงกลมโปร่งแสงเหมือนเทพเซียน

“น่าจะเป็นเช่นนั้น”

เถียนรั่วจิ้งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งพลางกล่าว “แต่ข้าน้อยเห็นว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งพิสูจน์ว่าฐานะของชิงเฟิงนั่นมีปัญหา! มีโอกาสสูงว่าจะเป็นหลินสวิน ผู้แปรมรรคที่ผู้อาวุโสทุกท่านตามหาอย่างยากลำบากตลอดหนึ่งปีมานี้!”

“นี่เป็นแค่การคาดเดาของเจ้า มีหลักฐานมาพิสูจน์หรือไม่”

มีคนเหลือบมองเถียนรั่วจิ้งอย่างเย็นชา

เถียนรั่วจิ้งใจสะท้าน เงียบไปครู่หนึ่งก่อนสูดหายใจลึก กล่าวทันทีว่า “แม้ข้าน้อยไม่มีหลักฐาน แต่กลับกล้าเอาหัวเป็นประกัน ชิงเฟิงนั่นต้องเป็นผู้แปรมรรคแน่!”

หลายวันก่อนนางเคยไปสำนักสวรรค์ยุทธ์เพื่อเจอชิงเฟิงด้วยตัวเอง ตอนนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูดทุกการกระทำของอีกฝ่ายแปลกไปอยู่บ้าง

กระทั่งกลับมายังถ้ำสถิตของตน นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ สวะระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง มีหรือจะสรุปชัดว่าใจตนมีปราการมารผจญผ่านคำพูดได้ในครู่เดียว

เมื่อนางออกคำสั่งให้เหวินถูหยางพาผู้แข็งแกร่งสำนักวิญญาณสวรรค์มากมายไปสำนักสวรรค์ยุทธ์จนพบเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนั้น ทำให้เถียนรั่วจิ้งได้ข้อสรุปชัดว่าบนตัวชิงเฟิงมีจุดประหลาด!

ไม่อย่างนั้นพวกเหวินถูหยางจะพินาศทั้งหมดในเวลาอันสั้นได้อย่างไร

สำนักสวรรค์ยุทธ์เป็นแค่ขุมอำนาจชั้นรอง ชิงเหิงผู้แข็งแกร่งที่สุดบาดเจ็บจนเกิดแผลมรรคแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่มีทางกำจัดพวกเหวินถูหยางได้แน่

เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว บนตัวชิงเฟิงมีปัญหา!

นี่ก็คือข้อสันนิษฐานของเถียนรั่วจิ้ง

“เจ้าพูดไม่ผิด หากฐานะของชิงเฟิงนั่นไม่มีปัญหา สำนักสวรรค์ยุทธ์ไม่เห็นต้องหนีไปก่อนล่วงหน้า”

แววตาของหยวนจงไหววูบ “หากผู้แปรมรรคที่ยืมกายหยาบและฐานะของชิงเฟิงคือหลินสวินจริง เช่นนั้นก็คาดเดาได้ว่าพวกเขาต้องสังเกตเห็นว่ามีโอกาสที่ข่าวจะแพร่งพรายถึงเลือกหลบหนีทันที”

มีคนขมวดคิ้วกล่าว “คราวนี้ก็ไม่เข้าทีแล้ว โลกแปรมรรคกว้างใหญ่เพียงใด พวกเราควรไปหาที่ไหน”

หยวนจงอดถอนใจยาวไม่ได้ หว่างคิ้วปรากฏแววอึมครึม “หาตัวยากจริงๆ”

เถียนรั่วจิ้งพลันกล่าวทันที “ผู้อาวุโสทุกท่าน ข้าน้อยเห็นว่าในเมื่อหลินสวินคนนี้เลือกหลบหนีไป ย่อมพิสูจน์ว่าตอนนี้เขายังไม่มีพลังสู้กับผู้อาวุโสทุกท่านโดยไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นว่ายังไม่ก้าวสู่มรรคาอมตะ”

หยวนจงอดมองเถียนรั่วจิ้งอีกครั้งไม่ได้กล่าวว่า “การวิเคราะห์ของเจ้าถือว่าไม่เลว แต่เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ก้าวสู่มรรคาอมตะ”

ในใจเถียนรั่วจิ้งตื่นเต้น รู้ว่าตนดึงดูดความสนใจจากหยวนจงแล้ว นางควบคุมความยินดีในใจเต็มที่พลางกล่าวเยือกเย็น

“ง่ายมาก หลินสวินนี่เข้าสู่โลกแปรมรรคถึงตอนนี้ อย่างมากเพิ่งผ่านไปหนึ่งปีกว่า เท่าที่ข้าน้อยรู้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันผู้แปรมรรคที่เข้าสู่โลกแปรมรรค แทบไม่มีสักคนที่ก้าวสู่มรรคาอมตะได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้”

นางเว้นช่วงไป เห็นว่าสายตาทุกคนมองมาทางนาง ใบหน้างามของเถียนรั่วจิ้งเผยรอยยิ้มมั่นใจ

“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเคยบอกแล้ว หลินสวินนั่นเลือกหนีไปโดยไม่สู้ ทุกอย่างนี้ล้วนพิสูจน์ว่าพลังของเขายังไม่บรรลุถึงขั้นต่อกรกับระดับอมตะได้!”

………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท