ตอนที่ 3206 ตัดมารในใจ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตั้งแต่หลินสวินเข้าสู่หอเซียน กระทั่งสังหารจู๋เฉิงกับทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคน ล้วนไม่ถึงครึ่งเค่อ!

ความเร็วของหลินสวินว่องไวนัก แทบจะบุกเข้ามาราวทำลายล้าง ไม่เจอศัตรูที่พอจะสู้กันได้สักคน

เวลานี้สายตาเขากวาดมองโดยรอบพลางกล่าวทันที “เจ้าสำนักหอเซียนสุ่ยฉางหลิวอยู่ไหม”

เสียงดังกระหึ่มกลางฟ้าดินแถบนี้

“ผู้อาวุโสโปรดให้อภัย หอเซียนของข้าไม่มีความคิดเป็นศัตรูกับผู้อาวุโส!”

เสียงเคารพยำเกรงหนึ่งดังขึ้น ที่มาเร็วกว่าเสียงคือชายชราผมขาวคนหนึ่ง เขายืนอยู่กลางอากาศ โค้งตัวคำนับ สีหน้าเปี่ยมความกระวนกระวาย

คนผู้นี้ก็คือสุ่ยฉางหลิวเจ้าสำนักหอเซียน ระดับอมตะขั้นดับเทพคนหนึ่ง

“พวกเจ้าหอเซียนครอบครองศิลาเทพแปรมรรค ย่อมถูกผู้แปรมรรคหมายตาโดยง่ายเป็นธรรมดา ข้าไม่เอาความกับเรื่องพวกนี้”

หลินสวินมองคนผู้นี้แล้วกล่าว “แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้เจ้าทำ”

สุ่ยฉางหลิวรีบกล่าว “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”

หลินสวินบอกเรื่องการจัดแจงที่อยู่ให้ทุกคนทั้งสำนักสวรรค์ยุทธ์ออกมาทันที

สุ่ยฉางหลิวถอนหายใจยาว เขายังคิดว่าเป็นคำขอเกินกว่าเหตุอะไร ใครจะคิดว่าแค่จัดแจงหาที่อยู่ให้ผู้ฝึกปราณบางส่วนเท่านั้น

“ผู้อาวุโสมอบให้ข้าจัดการก็พอ”

สุ่ยฉางหลิวตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด

“หลังจากข้าออกจากโลกนี้ไป ชิงเฟิงจะอยู่ที่หอเซียน มีเขาดูแล อานุภาพของหอเซียนน่าจะไม่ด้อยกว่าแต่ก่อน” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

ในใจสุ่ยฉางหลิวเครียดขมึง รู้ว่าหลินสวินพูดเช่นนี้ ความจริงแล้วกำลังเตือนตนว่าอย่าคิดเป็นอื่น มิฉะนั้นการมีอยู่ของชิงเฟิงย่อมเป็นภัยคุกคามต่อหอเซียนได้!

“หืม?”

หลินสวินกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่เขาพลันเลิกคิ้วทันที ครู่ต่อมาเงาร่างเขาหายไปกลางอากาศ

ฟุ่บ!

ร่างงามสายหนึ่งพุ่งไปยังทางเข้าหอเซียน

นางสวมชุดกระโปรงขาวหิมะ ผิวพรรณพิสุทธิ์ผุดผ่อง รูปโฉมงามเลิศ เป็นเถียนรั่วจิ้งนั่นเอง

แต่ตอนนี้สีหน้านางหวาดหวั่น ใบหน้างามซีดเผือด ดูตื่นตระหนกหาใดเปรียบ

เมื่อเห็นทางเข้าหอเซียนปรากฏอยู่ไกลๆ เถียนรั่วจิ้งลอบโล่งอก เจ้าหมอนั่นมัวแต่สังหารศัตรู เกรงว่าคงลืมเจ้าตัวจ้อยอย่างตนแล้วกระมัง

เช่นนั้นก็ยิ่งดี!

เถียนรั่วจิ้งเพิ่งนึกถึงตรงนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนยกใหญ่ ร่างหยุดชะงักกลางอากาศ

ตรงทางเข้าหอเซียนเงาร่างหนึ่งยืนกลางอากาศ เป็นชิงเฟิง หรือก็คือหลินสวิน

ใจของเถียนรั่วจิ้งตกไปที่ตาตุ่ม อึ้งงันอยู่ครู่ใหญ่ กล่าวเศร้าหมองทันที “ผู้แปรมรรคที่น่าเกรงขาม เป็นบุคคลผู้สูงส่งระดับใด แต่กลับสร้างความลำบากให้คนตัวจ้อยอย่างข้าตลอด ข้าควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือควรรู้สึกโศกเศร้าดี”

หลินสวินมองหญิงสาวที่ทำให้ชิงเฟิงลุ่มหลงมาเก้าร้อยปีคนนี้แล้วกล่าว “เรียนผูกต้องเรียนแก้ กฎกรรมบนตัวชิงเฟิง แน่นอนว่าข้าต้องจัดการให้เขา”

เถียนรั่วจิ้งกล่าวเดือดดาล “เรื่องของเขาเกี่ยวอะไรกับผู้อาวุโส หรือผู้อาวุโสคิดว่าข้าต้องขอโทษและสำนึกผิดต่อเรื่องเมื่อปีนั้น ไม่มีทาง!”

ท่าทางนางราวกับคลุ้มคลั่ง ใบหน้างามบิดเบี้ยว “ข้าไม่เคยนึกเสียใจต่อการกระทำเมื่อปีนั้น เขาช่วยชีวิตข้า แต่มีสิทธิ์อะไรให้ข้าแต่งกับเขา รากฐานมรรคเขาบาดเจ็บ แต่เรื่องอะไรข้าต้องดูแลเขาด้วย”

แววตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เรื่องแต่งงานกับเขาเจ้าเป็นคนพูดเอง แต่เจ้ากลับผิดสัญญา แน่นอนว่าเจ้าเปลี่ยนใจได้ ไม่สนใจแผลมรรคของชิงเฟิงได้ แต่เจ้าอย่าลืมสิ ตอนนั้นใครเป็นคนช่วยเจ้า! หรือว่าแม้แต่บุญคุณช่วยชีวิตก็นิ่งดูดาย”

ใบหน้างามของเถียนรั่วจิ้งปรวนแปรไม่หยุด ก่อนกัดฟันกล่าว “ปีนั้นข้าไม่ได้บอกให้เขามาช่วยข้า เขาอยากมาช่วยเอง เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า”

หลินสวินเลิกคิ้ว แม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าคนผู้หนึ่งถึงกับพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้

ผู้หญิงคนนี้ถึงกับทำให้ชิงเฟิงลุ่มหลงมาเก้าร้อยปี นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับชิงเฟิง

“ผู้อาวุโส”

เถียนรั่วจิ้งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “หากท่านอยากเห็นท่าทางคุกเข่าอ้อนวอนของข้า เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว ข้ายอมตายแต่ไม่มีทางก้มหัวให้สวะอย่างชิงเฟิง!”

หลินสวินกล่าว “เจ้าคิดผิดแล้ว หลังข้าจากไปชิงเฟิงจะมีพลังปราณขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ ครองยอดมรรคาที่สมบูรณ์สายหนึ่ง แม้ถูกจำกัดด้วยพลังกฎระเบียบฟ้าดินของโลกนี้ ชีวิตนี้ไม่อาจออกจากโลกแปรมรรค แต่ในโลกแปรมรรคนี้เขากลับยืนอยู่เหนือโลกได้ตลอด ส่วนเจ้า… สุดท้ายจะอยู่แค่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเท่านั้น”

คำพูดนี้ราวกับใบมีดคมกริบแทงเข้ากลางใจเถียนรั่วจิ้งอย่างไร้ปรานี ทำให้นางหายใจติดขัด ผิวหนังทั่วร่างสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีครั้งแล้วครั้งเล่า

สวะซึ่งถูกนางเดียดฉันท์ชิงชังมาเก้าร้อยปี ภายหน้ากลับเป็นบุคคลชั้นยอดที่นางได้แต่แหงนมอง การโจมตีเช่นนี้ทำให้นางมีความรู้สึกว่าจะพังทลาย

“ต่อให้เป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่ยอมก้มหัว! ข้ามีแต่จะแค้นเขายิ่งขึ้น!”

เถียนรั่วจิ้งกล่าวข่มขู่ นัยน์ตาเจือสีเลือด

เวลานี้หลินสวินพลันยิ้มแล้ว

เขารู้สึกว่าความยึดติดตรงส่วนลึกก้นบึ้งจิตใจของชิงเฟิงสลายหายไปในยามนี้

กล่าวอีกนัยคือยามนี้ชิงเฟิงทำลายความลุ่มหลงนานเก้าร้อยปีจนย่อยยับแล้ว ทำให้สภาวะจิตของเขาได้รับการปลดปล่อย!

“ลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง ในใจเจ้าชิงเฟิงคือปราการหนึ่ง ส่วนในใจชิงเฟิงเจ้าเป็นเหมือนมารในใจ”

หลินสวินกล่าวเสียงเบา “แต่ตอนนี้มารในใจของชิงเฟิงถูกกำจัดแล้ว”

เถียนรั่วจิ้งอึ้งงัน จากนั้นค่อยเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นดังตึงราวกับถูกฟ้าผ่า ดวงตาทั้งสองเลื่อนลอย “ที่แท้เจ้าพูดมากกับข้าเช่นนี้ก็เพื่อช่วยชิงเฟิงตัดมารในใจ แต่ข้ายังคงไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าต้องช่วยเขาเช่นนี้”

นางเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

หลินสวินกล่าว “ช่วยเขาก็เท่ากับช่วยข้า ถ้าความยึดมั่นในใจเขาไม่สลาย ข้าก็ไม่อาจจากโลกแปรมรรคนี้ไปได้อย่างแท้จริง นี่ก็คือกฎกรรม เจ้าเข้าใจไหม”

เถียนรั่วจิ้งหดหู่ กล่าวขมขื่น “ที่แท้ในโลกแปรมรรคนี้ข้าก็คือกฎกรรมที่คุกคามเจ้าได้…”

หลินสวินกล่าวอย่างแปลกใจ “ถือว่าเจ้าฉลาด เจ้าคาดเดาไม่ผิด หากเจ้าตระหนักถึงจุดนี้ก่อน บางทีอาจสร้างความวุ่นวายให้ข้าอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่เส้นทางของเจ้าคับแคบตั้งแต่ต้น”

หลินสวินพูดจบแล้วหันหลังจากไป

เขาไม่ได้ช่วยชิงเฟิงจัดการเถียนรั่วจิ้ง

หากเขาเดาไม่ผิด ภายหน้าชีวิตเถียนรั่วจิ้งต้องอยู่กับความนึกเสียใจไร้สิ้นสุด กระทั่งสภาวะจิตรับแรงกดดันของปราการนั้นไม่อยู่จนพังทลาย

บทลงโทษนี้เหี้ยมโหดยิ่งกว่าฆ่านางนัก

“เพราะเขาช่วยชีวิตข้า ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้…”

เถียนรั่วจิ้งที่ทรุดลงกับพื้น แววตาว่างเปล่า สีหน้ามึนงง

วันนั้นนางถูกผู้ฝึกปราณของหอเซียนขับไล่อย่างไร้ปรานี ร่อนเร่อยู่ในโลกภายนอก

มีสุ่ยฉางหลิวเจ้าสำนักหอเซียนออกหน้าด้วยตัวเอง ชิงเหิงกับผู้ฝึกปราณทั้งสำนักสวรรค์ยุทธ์ล้วนถูกจัดเตรียมให้ฝึกปราณอยู่ในหอเซียน

นับจากวันนี้พวกเขาล้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของหอเซียน บนโลกนี้ไม่มีสำนักสวรรค์ยุทธ์อีกแล้ว

พวกชิงเหิงกับฝูอวิ๋นจื่อรู้สึกเหมือนฝันไปอย่างอดไม่ได้

หวนนึกถึงก่อนหน้านี้ พวกเขายังเป็นแค่ขุมอำนาจชั้นรองที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในเขตตะวันออก

เพียงพริบตาก็เข้าสู่หอเซียนหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกกันหมด!

หนึ่งคนบรรลุ ทั้งหมดล้วนก้าวเดียวทะยานฟ้า!

“ผู้อาวุโสชิงเฟิงถึงกับเป็นผู้แปรมรรค…”

โดยเฉพาะยามนึกถึงช่วงก่อนหน้านี้ พวกเขายังเคยปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลินสวิน แต่ไม่ได้เคารพเขาเท่าไร ในใจพลันอดละอายใจไม่ได้

“พวกเจ้าสองคนเข้ามานี่ นี่คือตำราฝึกปราณที่ผู้อาวุโสหลินสวินมอบให้พวกเจ้าสองคน จำไว้ อย่าแพร่งพรายให้คนอื่น!”

เจ้าสำนักฝูอวิ๋นจื่อเข้ามา มอบม้วนหยกสองม้วนให้ชุนหนิงกับไต้เหยียน

“มอบให้พวกเราหรือ”

ทั้งสองคนต่างอึ้งงัน จากนั้นค่อยหัวเราะแหะๆ

ในใจฝูอวิ๋นจื่อรู้สึกอิจฉาอย่างอดไม่ได้ เขารู้เรื่องว่าหลินสวินกวาดล้างทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าตำราฝึกปราณที่หลินสวินทิ้งไว้ต้องไม่ธรรมดาแน่

“ทำให้เจ้าหนูโง่งมสองคนอย่างพวกเจ้าโชคดีจริงๆ!”

ฝูอวิ๋นจื่ออดกล่าวพึมพำไม่ได้

จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้ว ผู้ฝึกปราณทั้งสำนักสวรรค์ยุทธ์ล้วนสามารถเข้ามาฝึกปราณในหอเซียนได้ สำหรับเขาถือเป็นเรื่องดีที่ไม่กล้าจินตนาการ

‘ภายหน้าใครยังกล้าพูดว่าอาจารย์อาชิงเฟิงเป็นความอัปยศของสำนักอีก’

ฝูอวิ๋นจื่ออดคิดไม่ได้ เมื่อผู้แปรมรรคหลินสวินจากไป อาจารย์อาชิงเฟิง… จะเท่ากับครองมรรควิถีระดับอมตะขั้นหลุดพ้นโดยปริยาย!

เวลานี้หลินสวินกำลังพิจารณาศิลาเทพลึกลับแปลกประหลาด

ศิลาเทพนี้ตั้งตระหง่านอยู่กลางเขตหวงห้ามของหอเซียน สูงแค่สามฉื่อ ทั้งแท่นอบอวลด้วยกลิ่นอายบ่อเกิดแรกกำเนิด พื้นผิวป้ายหินไม่มีตัวอักษรใดๆ

แต่เมื่อหลินสวินกวาดสายตามองไปกลับรู้สึกได้ บนศิลาเทพนี้ประทับมรรคาเทียมฟ้าไว้มากมาย มรรคาแต่ละอย่างล้วนสมบูรณ์และแข็งแกร่ง เชื่อมต่อตรงไปยังระดับนิรันดร์

แต่เมื่อสัมผัสโดยละเอียดกลับไม่อาจล่วงรู้ถึงความลับของมรรคาพวกนี้

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่รู้สึกผิดคาด

ด้วยนี่ก็คือศิลาเทพแปรมรรค วิวัฒน์จากบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกแปรมรรค ผู้แปรมรรคมีแต่ต้องประทับมรรคาสมบูรณ์สายหนึ่งไว้บนนี้ ถึงจะชักนำผลมรรคแรกกำเนิดมาจนจากโลกนี้ไปได้

หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วสื่อจิตทันที

สุ่ยฉางหลิวกำลังจัดเตรียมเรื่องต่างๆ ให้กับผู้ฝึกปราณสำนักสวรรค์ยุทธ์อยู่ในแดนลับหอเซียน แต่เสียงสื่อจิตของหลินสวินดังขึ้นข้างหูเขา

‘วันหน้าหากมีหญิงสาวมาหาข้าคนแซ่หลิน ไม่ว่านางมีชื่อแซ่อะไร ไม่สนว่ามีฐานะหรือท่าทางเช่นไร สหายยุทธ์โปรดแจ้งข้าทันที’

สุ่ยฉางหลิวตัวสั่น รับคำสั่งอย่างเคร่งครัด ‘ขอรับ!’

นับจากวันนี้หลินสวินนั่งสมาธิสงบจิตอยู่หน้าศิลาเทพแปรมรรค เขากำลังลองหยั่งรู้พลังบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกแปรมรรค

ข่าวว่าหลินสวินบุกเข้าสู่หอเซียน กวาดล้างระดับอมตะขั้นหลุดพ้นของสี่สำนักใหญ่ สังหารทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนแพร่สะพัดทั่วโลกแปรมรรคแล้ว เปิดฉากความโกลาหลที่ไม่เคยมีมาก่อน

เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันนี้ภายใต้เวิ้งฟ้าที่เมฆมงคลสีขาวตรงทางเข้าหอเซียนลอยอยู่ตรงนั้นเหมือนเคย

ชายหนึ่งหญิงหนึ่งพุ่งตัวมาแต่ไกล

ฝ่ายชายร่างผอมบาง เป็นเด็กหนุ่มอายุไม่มาก ระวังตัวและประหม่า สายตาสำรวจมองเป็นพักๆ แฝงความระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด

เขาคอยตามหลังหญิงสาวมาติดๆ คล้ายกลัวว่าหญิงสาวจะทิ้งเขาไปโดยไม่สนใจ

ฝ่ายหญิงมีพลังปราณแค่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ หน้าตาธรรมดาทั่วไป

นางเงยหน้ามองเมฆมงคลสีขาวแถบนั้น คิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับเด็กหนุ่มข้างกาย “เจ้ารออยู่ที่นี่”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างประหม่า “ท่านพี่ ท่านจะไปไหน”

หญิงสาวชี้เมฆมงคลสีขาวบนเวิ้งฟ้า “หอเซียน”

ยามสิ้นเสียงบริเวณใกล้เคียงพลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้น เสียงวิจารณ์มากมายดังตามมา ผู้ฝึกปราณไม่น้อยชี้นิ้วมาทางพี่น้องคู่นี้ สีหน้าเปี่ยมแววเย้ยหยัน

เด็กหนุ่มระดับกำลังภายในคนหนึ่ง หญิงสาวระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่ง ถึงกับกล้าคิดเพ้อเจ้อว่าจะเข้าสู่หอเซียนหรือ

……………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท