ชายหญิงคู่หนึ่งในถ้ำสถิตคือพวกหลินสวิน
ครึ่งเดือนก่อนพวกเขาทยอยเข้าสู่โลกโลกาสวรรค์แล้ว
เป็นอย่างที่ศัตรูพวกนั้นคาดเดา หลินสวินรู้เรื่องโลกโลกาสวรรค์อยู่แล้ว ทั้งรู้ดีว่าก่อนจะหยั่งรู้และครองพลังต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ ต่อให้พลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีพลังไปต่อกรกับศัตรูพวกนั้น
ดังนั้นพริบตาแรกที่มาถึงโลกนี้ เขากับซย่าจื้อจึงเลือกจำศีลฝึกปราณ
เวลานี้…
บนตัวหลินสวินปรากฏภาพมหามรรคอัศจรรย์ออกมา ราวกับกลายเป็นฟ้าดินไร้รูปไร้ขอบเขต ภายในแบกรับอารยธรรมยิ่งใหญ่เจิดจรัส เผยมหามรรคทั่วหล้านับไม่ถ้วน หมื่นลักษณ์หมื่นวิญญาณล้วนวิวัฒน์อยู่ภายใน มีพลังชีวิตไร้สิ้นสุดพลุ่งพล่านอบอวล
เบิกม่านแรกกำเนิด แรกพบโลกาสวรรค์
สีดำถูกมองเป็นสีแห่งสวรรค์ สีเหลืองถูกมองเป็นสีแห่งโลกหล้า
โลกาสวรรค์จึงเป็นตัวแทนแห่งฟ้าดิน
แต่ในสายตาของผู้ฝึกปราณ โลกาสวรรค์กลับเป็นแดนไร้รูปยามจักรวาลแรกกำเนิด มีพลังแบกรับอารยธรรม มหามรรค พลังชีวิต หมื่นลักษณ์ หมื่นวิญญาณ
หรือกล่าวได้ว่าโลกาสวรรค์ก็คือฟ้าดินเช่นกัน แต่กลับสื่อถึงโลก จักรวาล แดนมีรูปไร้รูปทั้งหมด โลกเล็กเท่าทรายหิน โลกใหญ่เท่าสรรพสิ่ง ล้วนมองว่าเป็น ‘โลกาสวรรค์’
เมื่อหยั่งรู้ต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ มหามรรคที่ผู้ฝึกปราณครอบครองจะแปรสภาพเป็นแดนแรกกำเนิด ทำให้มหามรรคของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์
นี่ไม่ใช่การทะลวงระดับปราณ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเหมือนย้อนกำเนิดมหามรรคของตน
กล่าวสรุปโดยง่าย ในโลกโลกาสวรรค์นี้ การหยั่งรู้ต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ทำให้ควบรวมไอโลกาสวรรค์ในมหามรรคของตนได้ สามารถแปรเปลี่ยนเป็นฟ้าดิน แบกรับอารยธรรม แบกรับมหามรรค!
เมื่อทำได้ถึงขั้นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการวิวัฒน์ยุคสมัยหนึ่งแล้ว
ครึ่งเดือนมานี้หลินสวินหยั่งรู้และครองต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ได้โดยง่าย พลังมหามรรคทั้งตัวกำลังผ่านการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงช้าๆ!
การต่อสู้ในโลกโลกาสวรรค์นี้ สิ่งที่เทียบกันคือไอโลกาสวรรค์ที่ควบรวมของใครแข็งแกร่งกว่า คนนั้นย่อมได้เปรียบในการต่อสู้
ความจริงคือนี่เป็น ‘การต่อสู้มหามรรค’ ในอีกนัยหนึ่ง
แค่สิ่งที่ประชันกันคือพลังต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ที่มหามรรคของตนครอบครองเท่านั้น
นับแต่อดีตจนปัจจุบันมีคำพูดหนึ่งมาตลอด โดยทั่วไปผู้ฝึกปราณที่ออกจากโลกโลกาสวรรค์ได้ มรรควิถีของเขาแทบจะบรรลุถึงขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์กันทั้งสิ้น
สาเหตุอยู่ที่ไอโลกาสวรรค์ซึ่งควบรวมออกมาก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนหนึ่งบนมรรคาของผู้ฝึกปราณ!
ถ้าอยากออกจากโลกโลกาสวรรค์ ไอโลกาสวรรค์ที่ตนควบรวมต้องสามารถดึงดูดการขานรับจากบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกโลกาสวรรค์มาได้!
เช่นนี้จึงจะชักนำผลมรรคแรกกำเนิดเพื่อเข้าสู่ประตูสวรรค์
เท่านี้ก็คาดเดาได้ว่าเมื่อผู้ฝึกปราณควบรวมไอโลกาสวรรค์ถึงขั้นดึงดูดการตอบสนองจากฟ้าดินมาได้ ก็จะมีจุดเปลี่ยนซึ่งทำให้มรรควิถีของตนบรรลุถึงขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์แล้ว
แต่สำหรับหลินสวินเรื่องนี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เหตุผลนั้นง่ายมาก ตอนอยู่โลกแปรมรรคหลินสวินบรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์แล้ว!
ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาเข้าสู่โลกโลกาสวรรค์ เมื่อไปหยั่งรู้และควบคุมต้นกำเนิดโลกาสวรรค์อีก กลับกลายเป็นว่าไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย สัมผัสถึงแก่นอัศจรรย์ของต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังควบคุมมันได้ด้วย
แม้แต่ตอนควบรวมไอโลกาสวรรค์ก็มีท่าทีว่าจะรุดหน้า ทำให้เขาหลอมชำระมหามรรคทั้งตัวถึงห้าส่วนได้ในเวลาอันสั้นแค่ครึ่งเดือน!
‘ต้นกำเนิดโลกาสวรรค์สามารถแบกรับอารยธรรมและมหามรรค ทำให้ผู้ฝึกปราณแปลงเป็นฟ้าดิน แบกรับอารยธรรมและมหามรรคได้เช่นกัน นี่เท่ากับกลายเป็นยุคสมัยหนึ่งแล้ว…’
ระหว่างนั่งสมาธิหลินสวินยังทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ ต้นกำเนิดโลกาสวรรค์นี้เลิศล้ำเกินบรรยายจริงๆ
อีกด้านหนึ่งบนตัวซย่าจื้อเปี่ยมพลังต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ต่างจากหลินสวิน ฟ้าดินของนางกลับมืดดุจรัตติกาลนิรันดร์ อารยธรรมและมหามรรคที่นางแบกรับไว้ภายใน กลับเร้นลับล้ำลึกเหมือนดวงดาวแต้มแต่งกลางฟ้าดิน มืดมิดดุจรัตติกาลนิรันดร์
กาลเวลาล่วงเลย ผ่านไปหลายวันอย่างรวดเร็ว
หลินสวินที่กำลังฝึกปราณพลันลืมตา
พลังผนึกนอกถ้ำสถิตเกิดคลื่นสะเทือนชั้นหนึ่ง ถูกเขาสังเกตเห็นตั้งแต่พริบตาแรกทันที
‘มีผู้ฝึกปราณผ่านหมู่เขาแถบนี้!’
หลินสวินนึกถึงตรงนี้แล้วลุกขึ้น แผ่จิตรับรู้เข้าไปในผนึก ภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นทันที…
ก็เห็นว่ากลางหมู่เขากว้างใหญ่มีเงาร่างเหมือนลำแสงหนึ่งวาบผ่านท้องฟ้าเหนือหมู่เขา
จากนั้นเงาร่างสามสายพลันปรากฏ ตามคนเบื้องหน้าไปติดๆ!
‘เฒ่าโดดเดี่ยว!’
แม้ว่าภาพนั้นจะหายไปชั่วพริบตา แต่หลินสวินยังรู้ว่าผู้ที่ถูกตามล่านั้นคือเฒ่าโดดเดี่ยว!
นัยน์ตาเขาฉายแววเยียบเย็นน่าพรั่นพรึงทันที
ตอนอยู่โลกแปรปุถุชนสิงเจี้ยนสยาเคยบอกว่าอาจารย์ของเขาหยวนชูส่งข่าวมา กำชับว่าเมื่อหลินสวินเข้าสู่โลกโลกาสวรรค์แล้วต้องไปหาเฒ่าโดดเดี่ยว เช่นนี้ถึงจะได้รับการคุ้มครองจากเฒ่าโดดเดี่ยว
แต่เพราะหลินสวินรู้เรื่องโลกโลกาสวรรค์ก่อนแล้ว ดังนั้นหลังจากเข้าสู่โลกนี้จึงคิดว่ารอหยั่งรู้และครองพลังต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ก่อนค่อยไปหาเฒ่าโดดเดี่ยว
แต่ใครจะคิดว่าเฒ่าโดดเดี่ยวกลับกำลังถูกคนตามล่า!
“ซย่าจื้อ เจ้าจดจ่อกับการฝึกปราณอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอก”
หลินสวินสูดหายใจลึกพลางตัดสินใจ
“ได้”
ซย่าจื้อที่กำลังฝึกปราณตอบรับคำหนึ่ง
หลินสวินพุ่งตรงออกจากถ้ำสถิตใต้ดินไปโดยไม่รอช้า จากนั้นเงาร่างเขาจึงเคลื่อนแหวกอากาศไป
ฟุ่บ!
เขาใช้พลังทั้งหมด ความเร็วถึงขั้นสะเทือนใต้หล้า ทั้งตัวราวภาพมายา ทุกก้าวย่างคล้ายดาราโคจรสลัดภูผาธาราไร้สิ้นสุดไว้เบื้องหลัง
…
ฮู่ว… ฮู่ว…
ระหว่างหนีตายเฒ่าโดดเดี่ยวหอบหายใจกระชั้นถี่ สีหน้าไม่น่าดู
เขาถูกตามล่ามานานถึงสี่วันแล้ว ตลอดทางหลบหนีผ่านภูผาธาราฟ้าดินมาไม่รู้เท่าไร แต่กลับไม่อาจสลัดทูตชะตาสวรรค์สามคนที่อยู่ด้านหลังได้
และตอนนี้เฒ่าโดดเดี่ยวคาดเดาเจตนาที่ศัตรูตามล่าเขาออกแล้ว เห็นชัดว่าจะจับตัวเขาเป็นตัวประกัน ใช้วิธีนี้มาข่มขู่หลินสวิน
นอกจากทำให้เฒ่าโดดเดี่ยวเดือดดาลแล้ว เขายังลอบโล่งอกอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าถูกตามล่าจนน่าอนาถอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยทุกอย่างนี้ก็พิสูจน์แล้ว หากไม่ใช่ว่าหลินสวินยังไม่มาถึงโลกโลกาสวรรค์นี้
ก็ต้องเป็นมาถึงโลกโลกาสวรรค์แล้วแต่ยังไม่ถูกศัตรูเจอตัว!
สำหรับเฒ่าโดดเดี่ยวเท่านี้ก็พอแล้ว
‘ต้องคิดหาวิธีสลัดศัตรูพวกนี้’
เฒ่าโดดเดี่ยวหน้านิ่วคิ้วขมวด
สภาพของเขาตอนนี้ไม่เข้าทีนัก หนีติดต่อกันมาสี่วัน ทำให้เขาสูญเสียพลังทั้งตัวอย่างหนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ใช้เวลาไม่นานก็จะยืนหยัดไม่อยู่
แต่เฒ่าโดดเดี่ยวรู้ดีว่าตนทรมาน คู่ต่อสู้สามคนที่ตามล่าตนมาตลอดทางนั้นก็ไม่ดีไปกว่ากันเท่าไร
ถึงอย่างไรตนก็หนีมาสี่วัน ส่วนพวกเขาก็ตามมาสี่วันแล้ว…
“เจ้าเฒ่า เจ้าหนีไม่พ้นแล้ว”
เสียงของฉงซวีดังไล่หลังมา แฝงความเกลียดชังเยียบเย็น
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย ตามมาทันก่อนค่อยว่ากัน”
เฒ่าโดดเดี่ยวกลอกตาใส่
สี่วันนี้ไม่รู้ว่าเขาถูกถากถาง เย้ยหยัน ข่มขู่มากี่ครั้ง ตอนนี้เมื่อได้ยินคำขู่เช่นนี้อีกจึงรู้สึกว่าแค่น่าขัน
แต่เวลานี้กลางฟ้าดินที่ห่างออกไปพลันปรากฏเงาร่างหนึ่งกะทันหัน มือถือทวนศึกสีเงินเล่มหนึ่ง ร่างสูงโปร่งเหมือนจอมศึกเหนือพิภพ
เมื่อเขาปรากฏตัว พลังโลกาสวรรค์ไร้รูปปรากฏ กลายเป็นฟ้าดินแห่งหนึ่ง ภายในนั้นแผ่กลิ่นอายอารยธรรมมหามรรค ยิ่งใหญ่สง่างามผิดธรรมดา
คนผู้นี้เหมือนเฝ้ารออยู่นานแล้ว แหวกอากาศมาปรากฏบนทางข้างหน้าเฒ่าโดดเดี่ยวกะทันหัน ภายใต้ความไม่ทันตั้งตัวเฒ่าโดดเดี่ยวที่กำลังหนีเต็มกำลังหยุดชะงัก เมื่อคิดจะหลีกหลบโลกซึ่งวิวัฒน์จากพลังโลกาสวรรค์นั้นก็ปกคลุมลงมาแล้ว
ตูม!
ฟ้าดินสะเทือน หมื่นลักษณ์สะท้าน
ต่อให้เฒ่าโดดเดี่ยวตอบสนองรวดเร็ว ทั้งสำแดงพลังโลกาสวรรค์ของตน แต่ยังคงถูกซัดจนร่างโซเซ กระอักเลือดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
“เซียวอวิ้นจื่อ!”
เขาหน้าเปลี่ยนสี รู้ฐานะของชายกุมทวนศึกสีเงินนั่น เป็นหนึ่งในทูตชะตาสวรรค์เก้าคน เซียวอวิ้นจื่อ
นี่ทำให้เฒ่าโดดเดี่ยวใจตกไปที่ตาตุ่ม
เขาหนีเต็มกำลังมานานสี่วัน ยังเจอการโจมตีกะทันหันนี้อีก สภาพทั้งตัวดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมแล้ว
สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือฉงซวี ปาเจวี๋ย เฟ่ยหยาตามมาทันแล้ว
“เจ้าเฒ่า เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าเจ้าหนีไม่พ้น!”
ฉงซวียิ้มหยัน
พวกเขาสามคนยังมาไม่ถึง แต่บนตัวทุกคนกลับเผยโลกกว้างใหญ่ วิวัฒน์จากไอโลกาสวรรค์ทั้งตัว สามารถแบกรับอารยธรรมและมหามรรคได้
ด้านหน้าเซียวอวิ้นจื่อลงมืออีกครั้งแล้ว
ตีขนาบพร้อมกันทั้งหน้าหลัง!
พลันเห็นเฒ่าโดดเดี่ยวสูดหายใจเข้าลึกๆ พลังขับเคลื่อนบนตัวดังกึกก้อง โลกโลกาสวรรค์แห่งหนึ่งแหวกผ่านอากาศ เผยอานุภาพไร้ขอบเขตออกมา
เขาตัดสินใจทุ่มสุดตัวเพื่อตีฝ่าหาทางรอด
เมื่อก่อนเขาเคยสู้กับทูตชะตาสวรรค์พวกนี้มาไม่รู้กี่ครั้ง ทุกครั้งล้วนถอยหนีได้เสมอ
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป สภาพของเขาย่ำแย่เกินไปแล้ว ตอนนี้ยังถูกทูตชะตาสวรรค์สี่คนที่มีพลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าเขาปิดล้อมอีก สถานการณ์เรียกว่าอันตรายถึงขีดสุด
“ทุกท่าน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการกำจัดหลินสวิน ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าปล่อยให้เจ้าเฒ่านี่หนีไป!”
ฉงซวีกล่าวเสียงขรึม
ขณะกล่าวศึกใหญ่ปะทุอย่างสมบูรณ์แล้ว
ก็เห็นว่ากลางภูผาธาราแถบนี้ราวกับมีโลกยุคสมัยมากมายประลองและต่อสู้กัน ปะทะกันไม่หยุด ก่อให้เกิดละอองแสงน่ากลัวเจิดจรัสไร้สิ้นสุด
เฒ่าโดดเดี่ยวลองฝ่าวงล้อมหลายครั้ง แต่ทุกครั้งไม่เพียงถูกสกัด ยังบาดเจ็บสะสมด้วยเหตุนี้ ทั้งตัวล้วนชุ่มเลือด
โลกมหามรรคที่เขาวิวัฒน์ออกมาก็ม้วนตลบรุนแรงต่อเนื่อง ถูกพวกฉงซวีกำราบอย่างสมบูรณ์ แทบจะพังทลาย
‘ครั้งนี้จะถูกจัดการตรงนี้จริงหรือ’
เฒ่าโดดเดี่ยวเช็ดเลือดแดงสดตรงมุมปาก ในใจรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้
จากนั้นนัยน์ตาเขาฉายแววคลุ้มคลั่ง “ต่อให้ข้าต้องตายก็จะลากพวกเจ้าไปปรโลกด้วย!!”
เขาส่งเสียงคำรามทุ่มสุดตัวแล้ว
เมื่อเห็นดังนี้พวกเซียวอวิ้นจื่อ ฉงซวี ปาเจวี๋ย เฟ่ยหยาอดยิ้มหยันไม่ได้ ถึงตอนนี้แล้วเพิ่งทุ่มสุดตัว สายเกินไปแล้ว!
กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว การหนีมาตลอดสี่วันทำให้เฒ่าโดดเดี่ยวผลาญมรรควิถีทั้งตัวไปมาก ซ้ำถูกเซียวอวิ้นจื่อโจมตีอย่างหนักโดยไม่ตั้งตัวอีก ต่อให้เขาทุ่มสุดตัว ในสายตาศัตรูพวกนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
แต่ก็เป็นตอนนี้ที่พวกเซียวอวิ้นจื่อตัวแข็งทื่อ รู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงพุ่งเข้ามาใกล้ ทำให้พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน หลบหลีกไปตามจิตใต้สำนึก
ฟุ่บ!
พริบตาที่พวกเขาหนีห่างออกไป ร่างสูงโปร่งหนึ่งเหินห้วงอากาศเข้ามา ปรากฏตัวตรงหน้าเฒ่าโดดเดี่ยวที่กำลังจะสู้สุดชีวิต
………………….