ตอนที่ 693 คนไม่ฉลาดช่างน่ารำคาญจริงๆ
ในยามพลบค่ำ ฉินหลิวซีกลับมาที่บ้านฉิน ทันทีที่เข้ามาในลานก็เห็นฉินหมิงฉุนนั่งอยู่บนบันได ด้านข้างคือศิษย์น้อยวั่งชวน
เมื่อเด็กทั้งสองเห็นนางก็ดวงตาเป็นประกาย พุ่งเข้ามาหาพร้อมกัน เพียงแต่เมื่อฉินหมิงฉุนนึกถึงสถานะของตัวเอง วิ่งมาได้ไม่กี่ก้าวก็ชะลอตัวลง เดินเข้าไปหาฉินหลิวซีอย่างสุขุม ยกมือขึ้นคำนับ “คารวะพี่หญิงใหญ่”
วั่งชวนกระโจนเข้าไปหาฉินหลิวซีอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นดังนั้นก็หยุดลง ยกมือหนึ่งข้างคำนับฉินหลิวซี “คารวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีใบหน้ายิ้มแย้ม “เหตุใดพวกเจ้าจึงรู้มารยาทกันเพียงนี้ ฉินเสี่ยวอู่ ไยเจ้าไม่ไปสำนักศึกษา”
ฉินหมิงฉุนมองนางอุ้มวั่งชวนขึ้นมาหอมแก้มด้วยความอิจฉาเล็กน้อย เอ่ย “เมื่อวานเป็นวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง สำนักศึกษาหยุดสามวัน เหตุใดพี่หญิงใหญ่จึงไม่อยู่ฉลองเทศกาลที่เรือนขอรับ”
เขาเงยหน้ามองฉินหลิวซี ดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งเต็มไปด้วยความผูกพันและความโหยหา นับวันดูแล้ว ตั้งแต่ที่ฉินหลิวซีไปเมืองหลวงจนถึงวันนี้ เขาก็ไม่ได้พบนางนานแล้ว
คิดถึงเป็นอย่างมาก
เมื่อฉินหลิวซีเห็นความโหยหาในสายตาของเขา ก็ดึงมวยผมซาลาเปาก้อนเล็กบนศีรษะเขา เอ่ย “ข้ามีธุระจึงรีบกลับมาไม่ได้ อยู่ที่สำนักศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์สอนไปถึงไหนแล้ว เข้าไปพูดคุยข้างในเถิด”
เถิงเจาที่เดินมาจากทางด้านเรือนที่เก็บยา โค้งคำนับฉินหลิวซี “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
“กำลังทำอะไรหรือ”
“ช่วยฉีหวงกำจัดวัชพืช” เถิงเจามองวั่งชวนเกาะอยู่บนตัวของฉินหลิวซี ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เสวียนซิน เจ้าท่องจุดฝังเข็มแล้วหรือยัง”
วั่งชวนอุทานขึ้นมา ก้มศีรษะลงภายใต้สายตาของศิษย์พี่ กล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ยังเลยเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเถิงเจาดูแย่ยิ่งกว่าเดิม
ฉินหมิงฉุนอธิบายแทนนางว่า “เจาเจา เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป นางแอบขี้เกียจเพียงครู่เดียว ไม่ได้นานมาก ข้ารับรองได้”
วั่งชวนกัดนิ้ว ในใจคิดว่า ‘อาจารย์อาน้อยกำลังช่วยรับรองว่านางแอบขี้เกียจจริงๆ’
ฉินหลิวซีบีบจมูกเล็กๆ ของนาง ก่อนจะเอ่ย “การเรียนและการพักผ่อนควรมีความสมดุลกัน แต่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ในวันนี้ก็ต้องทำให้เสร็จสิ้น อีกสักครู่ข้าจะตรวจการบ้านเจ้า”
วั่งชวนรู้ดีว่า นางจบเห่แน่แล้ว
ฉินหมิงฉุนมองฉินหลิวซีตาปริบๆ
“เจ้าก็ด้วย”
ฉินหมิงฉุนสบถเบาๆ ยืดอกน้อยๆ ขึ้นพลางเอ่ย “อาจารย์บอกว่าข้าก้าวหน้ากว่าเดือนที่แล้วมาก ท่านตรวจสอบได้เลย”
หนึ่งชั่วยามต่อมา เขามองฉินหลิวซีด้วยสายตาน่าสงสาร ขดตัวอยู่ในมุมหนึ่ง ด้านข้างก็คือวั่งชวนที่ท่าทางราวกับกำลังไว้ทุกข์ ส่วนบนระเบียงหน้าต่าง เป็นปีศาจโสมน้อยที่กำลังฟ้องอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
“พวกเขาทั้งสองคนไม่มีทางที่จะศึกษาเล่าเรียน ส่วนมากมักจะคุยกันว่าจะเล่นอะไรดี จะกินอะไรดี” เหอะ ดื่มน้ำหวานหอมหวานขนาดนี้ แต่มันกลับไม่ได้ลิ้มลอง ต้องฟ้องให้เข็ด
“ขี้ฟ้อง” เถิงเจาใช้มือเด็ดใบของมัน อืม ใบนี้อยู่สูงกว่าใบอื่น
ใบของปีศาจโสมน้อยสั่นอย่างบ้าคลั่ง “ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อน อย่าตัดใบของข้าอีก ข้าดูแลมันอย่างดี ทุ่งหญ้ายังไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยขนาดนี้เลย มันใช่เรื่องเสียที่ไหน”
ฉินหมิงฉุนเหลือบมอง สมหน้าหน้า ใครใช้ให้เจ้าฟ้อง
วั่งชวนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ วิ่งไปหาฉินหลิวซีพลางออดอ้อนเสียงหวาน “อาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะตั้งใจท่องแผนภาพจุดฝังเข็มอย่างแน่นอน”
ฉินหมิงฉุนก็รีบเอ่ย “ข้าจะท่องกฎของลูกศิษย์สำนักศึกษากลับหลังอย่างไหลลื่นแน่นอน” หลังหยุดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาว่า “แม้ว่าข้าจะท่องกฎของศิษย์ไม่ค่อยได้ แต่อาจารย์บอกแล้วว่าข้ามีพรสวรรค์ในการคำนวณเลข”
ฉินหลิวซีมองดูบรรดาถั่วน้อยเหล่านี้ จึงเอ่ยว่า “จะเรียนหรือไม่ จะเรียนอย่างไร เรียนเก่งแค่ไหน ล้วนขึ้นอยู่กับตัวของพวกเจ้าเอง เพราะเรียนรู้ได้มากแค่ไหนก็ล้วนเป็นของพวกเจ้าเองทั้งสิ้น ข้าไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าแทนพวกเจ้าได้ หากอยากจะกลายเป็นผู้ที่เก่งกาจก็ต้องยอมจ่าย นี่คือความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง”
แม้ว่าจะเกิดมาโชคดี แต่ก็ไม่มีใครที่เกิดมานอนเฉยๆ ก็ชนะ ย่อมต้องขวนขวาย
“เข้าใจแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ”
เมื่ออบรมเสร็จสิ้น ฉินหลิวซีจึงให้พวกเขาทั้งหมดออกไป
ฉีหวงจึงได้เข้ามา เอ่ยด้วยความไม่พอใจนัก “กลับมาก็สั่งสอนเลย ไม่รู้เลยหรือว่าพวกเขาคิดถึงท่านมากแค่ไหน”
“หากไม่กระตุ้นสักหน่อยก็จะพากันขี้เกียจ ข้าไม่อยากลากพวกเขาไปจนโต ทางที่ดีควรจะรีบให้ยืนได้ด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด” ฉินหลิวซีเดินไปที่ห้องชำระพลางบ่นไปด้วย
ฉีหวงหัวเราะ “แม้แต่เจาเจาเอง ปีนี้ก็อายุเพียงแค่แปดขวบ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงวั่งชวนน้อยกับคุณชายน้อยห้าที่พึ่งอายุเพียงหกขวบ ท่านก็เฝ้ารอให้ยืนได้ด้วยตัวเองได้แล้ว มีใครที่ไหนเลี้ยงต้นกล้าให้เติบโตอย่างท่านบ้าง ต้องการให้พวกเขาเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่อย่างใจจดใจจ่อ”
“เจ้าไม่เข้าใจ เด็กในตระกูลยากจนต้องเป็นผู้นำแต่เนิ่นๆ”
ฉีหวงส่ายหน้า “นี่มันผิดหลักการนะเจ้าคะ”
เห็นได้ชัดว่าต้องการให้พวกเขาทั้งหมดเติบโต จากนั้นตัวเองก็จะได้นอนขี้เกียจ แต่นางกลับเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่าเด็กในตระกูลยากจนควรจะเป็นผู้นำเนิ่นๆ
เถิงเจาและคนอื่นๆ รู้สึกเย็นวูบที่ท้ายทอย เข้าฤดูร้อนแล้วความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิยังไม่หายไปหรือ
ฉินหลิวซีล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ฉีหวงนำมาให้ มองดูชุดใหม่ซึ่งตัดเย็บได้พอดีกับตัว อดถามไม่ได้ว่า “เป็นชิวเหนียงและคนอื่นๆ ส่งมาให้เมื่อไม่นานนี้หรือ”
“เจ้าค่ะ ถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้วไม่ใช่หรือ บอกว่าท่านสูงขึ้นเล็กน้อย ขนาดก็นับว่าพอดี ลำบากพวกเขาให้ต้องใส่ใจแล้ว” ฉีหวงเอ่ยพลางถอนหายใจ
ฉินหลิวซีเอ่ย “ก่อนกลับมาเมืองหลีข้าได้พบกับกงปั๋วเฉิง คาดว่าคงเป็นเขาที่กำชับมา”
ฉีหวงกล่าวว่า “ท่านกงปั๋วใส่ใจแล้ว”
ฉินหลิวซียกมุมปาก
ก่อนหน้านี้นางเคยเอ่ยว่าเสื้อผ้าของนางมีคนทำให้โดยเฉพาะ ก็คือกงปั๋วเฉิงที่เป็นผู้จัดเตรียม เลี้ยงช่างเย็บปักสองสามคนโดยเฉพาะเพื่อทำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้นางตลอดทั้งสี่ฤดู มีเสื้อผ้าบุรุษและเสื้อผ้าสตรี ส่วนเรื่องลวดลาย ส่วนใหญ่จะเป็นลายอักขระของลัทธิเต๋ากับลายเมฆมงคล และลายอักษรฝู[1]
เมื่อมีลูกศิษย์เพิ่มมาสองคน นางก็เพิ่มช่างสองคนในกลุ่มช่างเย็บปัก และทำเสื้อผ้าให้พวกเขาด้วยเช่นกัน
ช่างปักที่ตัวเองเป็นคนเลี้ยงก็มากเกินพอที่จะตัดเย็บเสื้อผ้าให้คนเพียงไม่กี่คน เสื้อผ้าที่ตัดเย็บนั้นก็ย่อมประณีต พิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุแข็งแรงและสวมสบายเป็นอย่างมาก ไม่ได้ดูหรูหรา แต่ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ประณีต ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ละเอียดอ่อน
“วันเทศกาลข้าไม่อยู่ ทางด้านนายหญิงผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไรหรอกกระมัง”
“ท่านเองก็รู้ดี ในช่วงเทศกาลใหญ่ ซ้ำท่านก็ไม่อยู่จวน ย่อมต้องเอ่ยสักสองสามประโยค แต่ก็ถูกนายหญิงใหญ่ดักคอไว้” ฉีหวงเอ่ยต่อ “เมื่อวานนี้คุณชายตระกูลหวังก็มาคารวะนายหญิงใหญ่ บอกว่าท่านรับคุณชายเฉวียนเป็นคนไข้ นายหญิงใหญ่จึงใช้เรื่องนี้มากันไว้เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเบะปาก น่าเบื่อนัก
นางเดินออกมาจากห้องนอน เห็นปีศาจโสมน้อยนอนแผ่อยู่บนระเบียงหน้าต่าง เดินไปนั่งลงบนเตียงหลัวฮั่น ถามว่า “เจ้าเองก็ฝึกบำเพ็ญมาเป็นเวลาพันปีแล้ว รู้จักทะเลทรายดำหรือไม่”
“ทะเลทรายดำ รู้สิ แต่นั่นไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของต้าเฟิงไม่ใช่หรือ”
ฉินหลิวซีเริ่มสนใจ “ทะเลทรายดำเคยมีภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนั้นพังทลายและจมลงเมื่อพันปีก่อน เจ้ารู้หรือไม่”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้”
ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้มทันที “แล้วเจ้าบอกว่ารู้จักทะเลทรายดำไม่ใช่หรือ”
“นี่เป็นคำบอกเล่าไม่ใช่หรือ แต่ก็แค่รู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้ ที่นั่นมีภูเขาจมลงหรือไม่ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” ปีศาจโสมน้อยเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ข้าปีศาจโสมหมกมุ่นอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นจึงไม่ถูกสิ่งอื่นเบี่ยงเบนความสนใจ”
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม ดึงใบของมันหนึ่งใบพลางเอ่ย “ดังนั้นเจ้าจึงได้ตกอยู่ในกำมือของข้า เพราะสายตาคับแคบ!”
ปีศาจโสมน้อย “!”
ตกอยู่ในกำมือเจ้าก็เป็นเพราะถูกเจ้าบังคับลักพาตัวไม่ใช่หรือ
อีกอย่างเจ้าด่าก็ส่วนด่า เหตุใดต้องลงไม้ลงมือ ดึงใบไม้ของข้าทำไม
ฉินหลิวซีนำใบไม้ใส่เข้าไปในปากแล้วเคี้ยว ดูเหมือนว่าจะต้องเปิดดูบันทึกเก่าๆ สักหน่อย ดูว่าจะหาคำตอบได้หรือไม่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็บ่นในใจถึงความฉลาดที่มีอยู่อย่างจำกัดของเฮยซา เจ้าบอกว่าล้วนเป็นชาวเผ่าดั้งเดิมของทะเลทรายดำ อาศัยมานับพันปี แต่กลับไม่รู้ที่มาที่แท้จริงของภูเขาลูกนั้น แต่ละคนไม่มีสมองกันทั้งนั้น น่ารำคาญจริงๆ
เฮยซาไม่รู้ว่าถูกคนดูถูกแล้ว ขณะนี้กำลังต่อสู้พัวพันกับเว่ยเสียอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ เขาไม่ชินที่เห็นบุรุษผู้นี้เหน็บดอกไม้ น่าเกลียดอย่างมาก
[1] ฝู (福) โชคดีมีสุข