ตอนที่ 222 ฟ้องร้องผู้ใด
คนผู้นั้นดูแล้วอายุราวสามสิบกว่า หน้าตาท่าทางองอาจ รูปร่างสูงใหญ่ แต่พอเทียบตัดกับลาดำปลอด ทำให้ดูรูปร่างเล็กอยู่บ้าง
“ที่คุณหนูเพิ่งขวางเกี้ยวไว้ก็คือเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน หน้าประตูศาลซุ่นเทียนก็อยู่ไม่ไกล เหตุใดคุณหนูไม่ไปที่ศาล”
จูเสี่ยวเยวี่ยเงยหน้ามองน้ำตาคลอแววตาไร้หนทาง “ข้า…ข้ากลัวไปที่ศาลแล้วจะไม่ได้ออกมา…”
สาวน้อยตรงหน้าเจ้ากรมตรวจสอบเหอรูปร่างผอมมาก แต่ไม่ใช่ความผอมที่ไม่อาจทานแรงลม คล้ายดังต้นไม้ต้นหนึ่ง บอบบางแต่แข็งแกร่ง
“คุณหนูจะฟ้องร้องเรื่องใด”
จูเสี่ยวเยวี่ยกำมือที่ถือคำร้องไว้แน่น แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ท่านก็คือใต้เท้าผู้ทรงธรรมหรือ”
เจ้ากรมตรวจสอบเหอส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่ใต้เท้าผู้ทรงธรรม ข้าเป็นเพียงขุนนางตรวจสอบ”
ในกลุ่มคนมามุงดู มีคนหวังดีเอ่ยเตือน “คุณหนูมาจากนอกเมืองกระมัง ขุนนางตรวจสอบเมืองหลวงเก่งกาจมาก เจ้าได้รับความอยุติธรรมใดหาใต้เท้าท่านนี้ก็ได้”
จูเสี่ยวเยวี่ยลังเลเล็กน้อย สองมือยกคำร้องไปตรงหน้าเจ้ากรมตรวจสอบเหอ “ขอใต้เท้าโปรดอ่าน”
เจ้ากรมตรวจสอบเหอรับคำร้องมา ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียด พออ่านคำร้องจบ แววตาที่มองจูเสี่ยวเยวี่ยก็เปลี่ยนไป
เรื่องที่เขียนไว้ในคำร้องเป็นเรื่องคาดไม่ถึงจริงๆ และยังเป็นเรื่องน่าตกใจ!
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาดังเข้าหูของเจ้ากรมตรวจสอบเหอ “คุณหนูท่านนี้ต้องการฟ้องร้องผู้แทนพระองค์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ผู้แทนพระองค์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติไม่ใช่ชิ่งอ๋องกับรองเจ้ากรมเผยหรือ”
พวกชิ่งอ๋องไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติมีความชอบ ตอนกลับมาชาวเมืองหลวงยังมาเรียงแถวต้อนรับ ร่มหมื่นราษฎร์ที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ล้นหลามเหล่านั้นได้มาเพราะช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ บรรดาขุนนางมีความชอบเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่ เป็นภาพทรงจำประทับในความทรงจำของเหล่าราษฎรเมืองหลวง
“เรื่องกวาดล้างสังหารชาวบ้านเป็นมาอย่างไรกัน ไม่ใช่กล่าวหาว่าพวกชิ่งอ๋องทุจริตเงินช่วยผู้ประสบภัยอย่างนั้นหรือ”
“คำร้องที่คนผู้นั้นเพิ่งอ่านจบ ใช่หมายความว่าเพราะต้องการทุจริตเงินช่วยผู้ประสบภัยจึงได้สังหารคนทั้งหมู่บ้าน…”
“ต้องกล่าวหาเหลวไหลเป็นแน่!”
“ก็ไม่แน่ นายท่านอาศัยอำนาจบารมีกระทำชั่วร้ายก็มีมากมาย…”
เจ้ากรมตรวจสอบเหอตัดบททันที “คุณหนูตามข้ามา”
“ข้า…” จูเสี่ยวเยวี่ยลังเล สีหน้าอึดอัด
เจ้ากรมตรวจสอบเหอเข้าใจความเป็นห่วงของสาวน้อยตรงหน้า เอ่ยแสดงสถานะตนเอง “ข้าแซ่เหอ ดำรงตำแหน่งขุนนางตรวจสอบในกรมตรวจสอบ”
มีคนส่งเสียงตกใจ “ข้าเคยได้ยินชื่อเจ้ากรมตรวจสอบเหอ เจ้ากรมตรวจสอบเหอเป็นขุนนางดี! ปีที่แล้วมีขุนนางข่มเหงหญิงสาวชาวบ้าน หญิงสาวผู้นั้นได้รับความอับอายกระโดดแม่น้ำตาย คนที่บ้านไปฟ้องร้องไร้หนทาง จึงไปยื่นฎีกาต่อเจ้ากรมตรวจสอบเหอ…”
จูเสี่ยวเยวี่ยไม่ลังเลอีก “ข้าจะไปกับใต้เท้าเจ้าค่ะ”
เจ้ากรมตรวจสอบเหอจูงลาพาจูเสี่ยวเยวี่ยไปที่หน้าประตูศาลซุ่นเทียน
คนมามุงดูเดินตามมาด้านหลัง มองทั้งสองคนเข้าไปในศาล ก็รวมตัวกันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอยู่ไม่ไกลนัก
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนเพิ่งกลับมาศาลได้ไม่นาน ก็ได้ยินลูกน้องรายงานว่าเจ้ากรมตรวจสอบเหอพาคุณหนูผู้หนึ่งมาฟ้องร้อง ได้แต่รีบไปที่ห้องโถงว่าความ
“เจ้าเอง” จำได้ว่าจูเสี่ยวเยวี่ยก็คือคนที่มาขวางเกี้ยวเขาเพื่อยื่นคำร้อง เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนมองไปทางเจ้ากรมตรวจสอบเหอด้วยแววตาสงสัย “เจ้ากรมตรวจสอบเหอ ท่านรู้จักหญิงผู้นี้หรือ”
ต่อหน้าเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน เจ้ากรมตรวจสอบเหอดูแล้วก็มิได้ระมัดระวังท่าทีเคร่งครัดมากนัก “ไม่รู้จัก ระหว่างทางมาได้พบหญิงสาวร้องขอความเป็นธรรมอยู่ริมทางจึงได้พามาด้วยกัน อยากฟังคำร้องทุกข์ของนางสักหน่อย”
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนได้ยินก็รู้สึกปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที
ทั้งราชสำนักมีผู้ใดไม่รู้จักเจ้ากรมตรวจสอบเหอบ้าง ตำแหน่งไม่สูง แต่อารมณ์กร้าวไม่น้อย ก็เหมือนเจ้าลาดำปลอดที่เขาขี่ทุกวัน ทั้งหน้าเหม็นทั้งดื้อรั้น มีแต่สร้างความยุ่งยากให้ผู้อื่น
คนที่ถูกเจ้ากรมตรวจสอบเหอจับตามักเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรู้สึกลำบากใจ แต่เจ้าหน้าเหม็นนี่กลับมีชื่อต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ทำให้ทุกคนจำต้องระวังท่าที
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนอดมองไปทางจูเสี่ยวเยวี่ยไม่ได้ “เจ้าชื่อแซ่อันใด มาจากที่ใด ต้องการฟ้องร้องผู้ใด”
จูเสี่ยวเยวี่ยคุกเข่า สะอื้นเอ่ยว่า “ข้าน้อยแซ่จู นามว่าเสี่ยวเยวี่ย มาจากตำบลไท่ผิง อำเภอเป่ยเฉวียน ติ้งเป่ย ข้าน้อยฟ้องร้องชิ่งอ๋องกับรองเจ้ากรมเผยผู้แทนพระองค์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ…”
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนสีหน้าแปรเปลี่ยน ตัดบทจูเสี่ยวเยวี่ย “บังอาจ เจ้ารู้ไหมว่าชิ่งอ๋องเป็นองค์ชาย”
จูเสี่ยวเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าน้อยทราบ คนที่ข้าน้อยฟ้องร้องก็คือองค์ชายรอง ชิ่งอ๋อง!”
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนสีหน้าดำทะมึน แต่เพราะเจ้ากรมตรวจสอบเหออยู่ด้วย จึงไม่กล้าสะบัดแขนเสื้อหนีเผือกร้อนชิ้นนี้ “คดีที่เกี่ยวพันถึงเชื้อพระวงศ์อยู่ในความดูแลของสำนักราชวัง ข้าไม่มีสิทธิสอบสวน เห็นแก่ที่เจ้าความรู้อ่อนด้อย ข้าจะไม่เอาผิดเจ้า เจ้าไปได้แล้ว!”
หากเจ้ากรมตรวจสอบเหอไม่ได้อยู่ตรงนี้ ชาวบ้านชั่วร้ายกล้ามาฟ้องร้ององค์ชาย ย่อมถูกจับเข้าคุกก่อนค่อยว่ากัน
เจ้ากรมตรวจสอบเหอค่อยๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าเถียน ที่คุณหนูจูฟ้องยังมีรองเจ้ากรมคลังเผยจั่ว อย่างน้อยท่านก็ควรอ่านคำร้องสักหน่อยกระมัง”
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนสะอึก
เจ้าหน้าเหม็นนี่ ตนเองกระโดดลงหลุมยังไม่พอ ยังต่ำช้าลากคนอื่นลงไปเปรอะมูลอุจจาระด้วย!
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนได้แต่สูดลมหายใจเฮือก พยายามระงับอารมณ์ที่คิดปะทะไม่ไว้หน้า จากนั้นก็เอ่ยเสียงเข้มขึ้นว่า “นำคำร้องมา”
เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งรับคำร้องจากมือจูเสี่ยวเยวี่ยก็นำไปให้เจ้ากรมศาลซุ่นเทียน
แม้ว่าเตรียมใจรับความยุ่งยากไว้แล้ว แต่พอเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนอ่านคำร้องจบก็นิ่งตะลึงไปทันที
ทุจริตเงินช่วยผู้ประสบภัย? กวาดล้างสังหารชาวบ้าน? หากเป็นเรื่องจริง ๆ…ขณะที่ตกใจมากเกินไป มือเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนก็สั่นเทาปล่อยคำร้องปลิวร่วงลงพื้น
บรรยากาศเงียบกริบไปชั่วขณะ พอเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนตั้งสติได้ ก็จ้องมองสาวน้อยที่คุกเข่าบนพื้นเขม็ง “บังอาจ เจ้ารู้ไหมว่าใส่ร้ายองค์ชายและขุนนางราชสำนัก มีโทษประหารทั้งตระกูล”
จูเสี่ยวเยวี่ยเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มรันทด “ครอบครัวข้าน้อย ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านล้วนตายใต้คมดาบทหารทางการหมดแล้ว แม้แต่ทารกแบเบาะก็หนีไม่พ้น หากต้องโทษประหารทั้งตระกูล ยังจะเหลือผู้ใดให้ประหารอีกหรือ”
“ดังนั้นเจ้าจึงกล้ากล่าววาจาเหลวไหล?” เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนถามเอาเรื่อง
ยามนี้จูเสี่ยวเยวี่ยเข้าใจการจัดการของซินโย่วอย่างถ่องแท้แล้ว
หากนางเดินดุ่มๆ ไปฟ้องร้องกับทางการ วิ่งไปที่ทำการไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงต้องเผชิญหน้ากับใต้เท้าเช่นนี้กระมัง
“สิ่งที่เขียนในคำร้องทุกตัวอักษรล้วนเป็นความจริง หากข้าน้อยกล่าวเท็จเพียงครึ่งคำ ขอให้วิญญาณแตกสลาย ไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดไป!”
เสียงสาวน้อยสาบานรุนแรงดังก้องกลางโถงที่ทำการศาล เจ้าหน้าที่พากันสีหน้าแปรเปลี่ยน
คนในยุคนี้ส่วนใหญ่เชื่อเรื่องการสาบาน หญิงสาวผู้นี้กล้าสาบานรุนแรงเช่นนี้ เรื่องในคำร้องเกรงว่า…
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนไหนเลยเชื่อใจพวกชิ่งอ๋อง แต่ทันทีที่ไปข้องเกี่ยวกับคดีใหญ่เช่นนี้ ดีไม่ดีอาจร่วงจากตำแหน่ง แค่นี้ยังนับว่าเบา ไม่แน่ศีรษะยังอาจหลุดจากบ่า
ขณะที่เขากำลังคิดปัดทิ้งอีก เจ้ากรมตรวจสอบเหอก็เอ่ยว่า “คำพูดของคนคนเดียวจะพิสูจน์อันใดได้”
“คือว่า…” เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนน้ำตาคลอเบ้าแล้วจริงๆ
“คุณหนูจูเป็นเจ้าทุกข์ฟ้องร้อง ตามหลักควรตามผู้ถูกฟ้องมาที่ศาลด้วย แต่ผู้ถูกฟ้องก็คือชิ่งอ๋อง อีกคนก็คือรองเจ้ากรมคลังฝ่ายซ้าย เรื่องราชวงศ์จัดการโดยสำนักราชวัง ส่วนรองเจ้ากรมเผยเป็นขุนนางระดับสูง ส่งคนไปตามตัวมาย่อมไม่เหมาะสม”
“ใช่เลย!” เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนรู้สึกซาบซึ้งใจ พลันรู้สึกว่าเจ้ากรมตรวจสอบเหอหล่อเหลาขึ้นมาทันที
เจ้ากรมตรวจสอบเหอยังคงมีสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตามความเห็นข้า กราบทูลฝ่าบาทดีกว่า”
“ใช่…” เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนรับคำไปตามสัญชาตญาณ แต่ก็พลันตั้งสติได้ทันที “กราบ กราบทูลฝ่าบาท?”
“อืม”
เจ้ากรมศาลซุ่นเทียนปฏิเสธทันที “เจ้ากรมตรวจสอบเหอล้อเล่นกระมัง ชิ่งอ๋องเป็นถึงองค์ชายสูงศักดิ์ รองเจ้ากรมเผยเป็นขุนนางระดับสาม หรือว่าพอมีชาวบ้านมาฟ้องร้อง ก็จะต้องไปกราบทูลฝ่าบาท”
“เช่นนั้นใต้เท้าเถียนคิดว่าควรทำเช่นไร” เจ้ากรมตรวจสอบเหอถามน้ำเสียงนิ่งเรียบ