ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1436 คุณหนูตระกูลฟาง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1436 คุณหนูตระกูลฟาง

บทที่ 1436 คุณหนูตระกูลฟาง

หมิงตูจวิ้นจู่คนนี้มีความคิดแปลกประหลาด ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงต้องระวังตัวให้ดี

พริบตาเดียวก็ถึงวันงานเลี้ยง

เสี่ยวหวานตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ และให้อาจั่วแต่งกายให้

เนื่องจากวันนี้นางจะไปงานเลี้ยงหงเหมิน นางจึงไม่ได้แต่งกายสดใสมากนัก นางสวมเสื้อคลุมสีขาวที่เรียบง่ายปักด้วยลวดลายดอกเหมยสีชมพูที่กระโปรง สายรัดเอวเส้นใหญ่สีขาวนวลเผยให้เห็นรูปร่างเพรียวบาง ทั้งยังให้ความรู้สึกสง่างามและหรูหรา

ผมสีดำขลับถูกมวยขึ้นเป็นทรง ประดับด้วยเครื่องประดับซึ่งทำจากไข่มุกเม็ดกลม ดวงตากลมโตฉายแววสดใส ริมฝีปากสีแดงคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ นอกจากนี้ยังสวมสร้อยคอที่ทำจากไข่มุก

แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็สง่างามยิ่งนัก

เมื่อมองไปที่ตัวเองในกระจกและไข่มุกสีขาวบนศีรษะของนาง กู้เสี่ยวหวานก็ยื่นมืออกไปสัมผัสมันและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางนำปิ่นปักผมไม้ที่ไม่เคยห่างกายวางลงในกล่องผ้าอย่างระมัดระวังและเก็บไว้ในลิ้นชัก

หลังจากเตรียมทุกอย่างให้พร้อม รถม้าของถานอวี้ซูก็มาถึงที่หน้าประตู

กู้เสี่ยวหวานหยิบเทียบเชิญและเดินออกไปทันที

โดยมีอาจั่วและอาโม่ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานพาอาโม่มาด้วย ถานอวี้ซูจึงพูดอย่างกังวลว่า “ท่านพี่ ข้าเกรงว่าในวันนี้อาโม่จะไม่สามารถเข้าไปได้”

วันนั้นอาโม่เอาชนะองครักษ์ส่วนตัวสองคนของซูหมิ่นด้วยทักษะศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงเกรงว่าซูหมิ่นจะไม่ยอมให้เขาเข้าไปด้วย

“เขาจะรออยู่ข้างนอก ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าจะแจ้งให้เขาทราบเอง” หลังจากพูดจบ กู้เสี่ยวหวานก็แตะกำไลหยกที่ข้อมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

รถม้าจอดอยู่หน้าจวนอันหรูหราหลังหนึ่ง มีสิงโตหินตัวสูงตั้งตระหง่านอยู่ที่หน้าประตู โคมไฟสีแดงสองดวงห้อยอยู่ใต้ชายคา และตัวอักษรสีทองสามตัวที่ถูกสลักเป็นคำว่า ‘จวนหมิงอ๋อง’ ไว้บนแผ่นป้ายไม้เนื้อดี

เมื่อรถม้าหยุดลง กู้เสี่ยวหวานก้าวลงจากรถม้าและยืนอยู่ที่ประตูจวนพลางมองดูเสือสองตัวที่หน้าประตู

หัวสิงโตถูกห้อยด้วยกระดิ่งห้อย ดูสง่าผ่าเผย มีหินกลม ๆ อยู่ใต้เท้าซ้ายของสิงโต ที่ฐานมีลวดลายสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อน

เมื่อยืนอยู่ที่ประตูด้านข้าง มองจากที่ไกล ๆ จะเห็นศาลาในลานได้ไม่ชัดนัก

นอกจากนี้ยังมีเวรยามสองคนถือดาบยืนอยู่ที่ประตู คล้ายกับที่เห็นในวัดกว่างหยวนในวันนั้น พวกเขามีสายตาและท่าทางที่ดูทรงพลัง

กู้เสี่ยวหวานและถานอวี้ซูหยิบเทียบเชิญแล้วเดินไปที่ประตู ก่อนที่พวกนางจะขึ้นบันไดก็มีเสียงตะโกนแปลกใจดังขึ้นที่ด้านหลัง “อวี้ซู อวี้ซู”

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ถานอวี้ซูก็ขมวดคิ้วและหันกลับไปมองคนที่ยกชายกระโปรงขึ้นและวิ่งเหยาะ ๆ มาทางตนเอง คนผู้นั้นร้องเรียกด้วยรอยยิ้ม “เพ่ยหยา เจ้าก็มาที่นี่ด้วยหรือ”

ครั้นเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาตามทาง เนื้อตัวบนร่างกายสั่นเทา เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก็เห็นว่าเด็กสาวหน้าแดงก่ำ มีเม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วหน้าผาก หอบหายใจอย่างเหนื่อล้าราวกับวิ่งมาเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม กู้เสี่ยวหวานมองไปยังจุดที่นางผู้นั้นลงมาจากรถม้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แต่เหตุใดกลับมีท่าทางเหนื่อยหอบขนาดนั้น

จากนั้นได้ยินถานอวี้ซูพูดอย่างเป็นทุกข์ “เพ่ยหยา เจ้าวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมเจ้าอยู่ในสภาพนี้? ช่วงนี้เจ้าคงไม่ได้กลับมากินเยอะอีกแล้วใช่ไหม ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าน้ำหนักขึ้นอีกแล้ว ท่านหมอไม่ได้บอกหรือว่าสุขภาพของเจ้าไม่ดี จะอ้วนขึ้นมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ”

ฟางเพ่ยหยาฝืนยิ้ม “อวี้ซู ถ้าข้าไม่กินข้าก็จะหิว ดังนั้นข้าจึงทำได้แค่กิน และข้าจะหลับหลังจากกิน เจ้าดูสิ เราไม่ได้เจอกันพักหนึ่งแล้ว แล้วข้าก็น้ำหนักมากขึ้นจริง ๆ”

“ดูเจ้าสิ ถ้ายังอ้วนขนาดนี้ ใครจะกล้าแต่งงานกับเจ้า” แม้ว่าถานอวี้ซูจะแกล้งฟางเพ่ยหยา แต่นางก็เป็นห่วงอย่างจริงใจ

“ใช่แล้วเพ่ยหยา ข้าจะแนะนำพี่สาวให้เจ้ารู้จัก” จากนั้นก็หันไปทางกู้เสี่ยวหวาน “ท่านพี่ นี่คือฟางเพ่ยหยา คุณหนูของจวนเสมียน” ถานอวี้ซูแนะนำ “เพ่ยหยา นี่คือพี่สาวของข้า”

“พี่สาวของเจ้า?” ฟางเพ่ยหยามองหญิงสาวหน้าตางดงามที่ยืนอยู่ตรงหน้า และรู้สึกว่ากลิ่นอายของหญิงสาวผู้นี้เหมือนนางเซียนบนท้องฟ้าซึ่งทำให้นางตกตะลึง “อวี้ซู ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจ้ามีพี่สาวด้วย เจ้าไปหาพี่สาวที่งดงามราวกับนางเซียนมาจากที่ใดกัน”

“คนโง่” ถานอวี้ซูผลักฟางเพ่ยหยาเบา ๆ จากนั้นก็เหลือบมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง คิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในวันธรรมดา

“นี่คือท่านเสี้ยนจู่อันผิง” ถานอวี้ซูกล่าว

“อะไรนะ!” ฟางเพ่ยหยาตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นนางก็หันหน้าไปมองกู้เสี่ยวหวานด้วยดวงตากลมโตคู่หนึ่งและพูดว่า “นั่นแตกต่างจากข่าวลืออย่างสิ้นเชิง พี่เสี้ยนจู่งดงามขนาดนี้ ไม่เหมือนที่เขาลือกันเลย”

“ปล่อยให้คนเหล่านั้นพูดไปเถอะ” ถานอวี้ซูพูดอย่างเฉยเมย “ท่านพี่ของข้าเกิดมาสวย ไม่ว่านางจะเกิดและเติบโตที่ไหน นางคือไข่มุก พวกที่เอาแต่นินทาว่าร้ายจะไปน่าเชื่อถือได้อย่างไร”

ถานอวี้ซูเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

ฟางเพ่ยหยามองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความชื่นชม “ท่านพี่ อวี้ซูเรียกท่านว่าท่านพี่แล้ว เพ่ยหยาขอเรียกท่านว่าท่านพี่บ้างได้ไหม”

กู้เสี่ยวหวานมองน้องสาวที่ดูเหมือนมีอารมณ์เล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน”

“ท่านพี่ ท่านพี่” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฟางเพ่ยหยาเต็มไปด้วยเนื้อหนังอวบแน่น และแม้กระทั่งดวงตาของนางก็แคบลง ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะอ้วนเกินไปจริง ๆ เมื่อนางยิ้มจึงมองไม่เห็นดวงตา

“เฮ้ มานับญาติอะไรกันที่นี่ ปรากฏว่าเป็นท่านพี่นี่เอง” ทันใดนั้น เสียงที่ไม่น่าไว้วางใจก็ดังขึ้น กู้เสี่ยวหวานมองไปรอบ ๆ และเห็นคนสองคนในชุดสีเหลืองเดินมาจากด้านหลัง ดูเหมือนว่าพวกนางจะอายุน้อยกว่าฟางเพ่ยหยา

เมื่อเห็นคนสองคนที่กำลังเดินมา ใบหน้าของฟางเพ่ยหยาก็เปลี่ยนไปทันที

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท